ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 180 การกุศล
อวี้ถังและพวกคุณหนูสกุลเผยพากันกลับไปที่พักของตัวเองก่อน นางอาศัยความทรงจำเขียนตำรับเครื่องหอมออกมา จากนั้นก็ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ยามนี้จึงส่งตำรับเครื่องหอมให้คุณหนูสาม เอ่ยว่า “พวกเจ้าก็ช่วยข้าดูหน่อยเถิด ในความทรงจำของข้ามีเพียงตำรับสามชนิดนี้”
ในหมู่คุณหนูสกุลเผย คุณหนูรองเป็นคนที่สนใจการทำเครื่องหอมมากที่สุด บางครั้งก็ทำกำยานหรือธูปหอมด้วยตัวเอง นางเป็นเพื่อนสนิทกับกู้ซีในเวลาอันรวดเร็ว คาดว่าคงเป็นเพราะความชอบที่เหมือนกัน เพียงแค่ยามนี้คุณหนูรองกลับไม่อยู่ที่นี่
ด้านคุณหนูสามแทบไม่มีความจำเป็นอะไร แต่นางชอบอ่านหนังสือ สงสัยกับทุกเรื่อง นางหยิบตำรับเครื่องหอมมาอ่านอย่างละเอียด คล้อยหลังดวงตาก็ค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นมา เอ่ยกับอวี้ถังอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง “ข้าคิดว่าพวกเราสามารถลองดูได้ หากพี่อวี้เชื่อใจข้า ข้าจะลองทำธูปหอมตามตำรับที่เจ้าเขียนออกมาให้ท่านแม่เฒ่าทั้งสองลองดูก่อน”
อวี้ถังมีอะไรให้ไม่เชื่ออีกกัน
ก่อนหน้านี้นางยังวางแผนให้กู้ซีช่วยนางลองทำ ยามนี้คุณหนูสามกลับเป็นฝ่ายขันอาสา ย่อมดีเป็นที่สุด
แต่นางคาดไม่ถึงว่าคุณหนูสามก็ทำเครื่องหอมเป็นเช่นกัน
คุณหนูสี่หัวเราะลั่น เอ่ยว่า “คุณหนูอวี้เข้าใจผิดแล้ว พี่สามแค่ไม่ชอบใช้กำยานอบกลิ่นเสื้อผ้า แต่นางนั้นสามารถทำเครื่องหอมได้”
ก็จริง พวกคุณหนูสกุลใหญ่สามารถเรียนรู้ได้มากมาย ขอเพียงแค่สนใจ ก็สามารถหาอาจารย์มาสอนได้ นี่เป็นสิ่งที่สกุลธรรมดาไม่อาจเทียบเคียงได้
“เช่นนั้นก็รบกวนคุณหนูสามแล้ว” อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
คุณหนูสามโบกไม้โบกมือ “นี่เป็นการทำกุศลกรรม ใครรู้ก็ยินดีจะช่วยทั้งนั้น พี่อวี้พูดเช่นนี้ เกรงใจกันเกินไปแล้ว”
คุณหนูสี่ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจกับเครื่องหอมเท่าใด ด้านคุณหนูห้าก็อายุน้อยเกินไป อ่านไม่เข้าใจ ทั้งสามคนผลัดกันอ่านตำรับเครื่องหอมครั้งหนึ่ง ก่อนจะส่งกลับไปให้อวี้ถัง
อวี้ถังให้ซวงเถาไปชงชาและนำขนมมาต้อนรับพวกนาง ยังถามพวกนางว่าต้องการพักที่นี่สักครู่หรือไม่
คุณหนูสกุลเผยทั้งสามสั่นศีรษะ ไม่รู้ว่าหัวข้อที่คุยกันเปลี่ยนเป็นเรื่องของคุณชายหยางได้อย่างไร
ยามนี้อวี้ถังจึงค่อยรู้ว่า ที่จริงคุณหนูสามก็มีคู่หมั้นแล้ว ทั้งยังหมั้นกันตั้งแต่ยังเด็ก เป็นลูกชายของลุงนาง อายุน้อยกว่าคุณหนูสามสองสามเดือน อาจเป็นเพราะรูปร่างของชายหนุ่มมักจะเติบโตช้า จนถึงตอนนี้เขายังสูงกว่าคุณหนูสามนิดเดียวเท่านั้น คุณหนูสามกังวลมาโดยตลอดว่าเขาจะตัวไม่สูง
เห็นคุณชายหยาง นางก็ยิ่งกังวลใจ
ลำพังคุณหนูสี่ยังเอ่ยว่า “ข้าว่าแล้ว เจ้าไม่ควรตอบรับงานแต่งครั้งนี้ ท่านย่ากล่าวว่า งานแต่งไม่ใช่เรื่องที่จะกำหนดเร็วเกินไปได้ ต้องดูว่าคนเติบโตมาเป็นอย่างไร ยามนี้จะร้องไห้ก็แทบไม่ทันแล้ว…ภายหลังพี่ใหญ่ พี่รองพาสามีกลับสกุลมารดามาเยี่ยมเยียน ดูสิว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”
พูดจนคุณหนูสามแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
อวี้ถังนั่งฟังอยู่ด้านข้าง พยายามอดทนจึงไม่ได้ขำออกมา เมื่อเห็นสถานการณ์ก็รีบกล่าวปลอบคุณหนูสาม “เจ้าอย่าฟังคุณหนูสี่พูดเหลวไหล ท่านพ่อและท่านแม่ทะนุถนอมพวกเจ้าราวกับของล้ำค่า ย่อมรู้ว่าญาติผู้น้องของเจ้ามีสิ่งที่ควรค่าให้ชื่นชมจึงได้กำหนดงานแต่งครั้งนี้ให้เจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้น”
คุณหนูสามผงกศีรษะด้วยใบหน้าเจื่อนๆ ยังคงไม่สบายใจเท่าใด
ทุกคนพากันแย่งปลอบใจนางอยู่พักใหญ่ นอกจากไม่สามารถคลายทุกข์ให้คุณหนูสาม นางกลับยิ่งรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีก
ยามนี้อวี้ถึงจึงพบว่า ที่แท้คุณหนูสามเป็นคนที่ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรก็จะชอบคาดการณ์ไปในทางที่เลวร้ายที่สุดก่อน
นี่ทำให้คนปวดศีรษะอยู่บ้าง
ยังดีที่ทางแม่เฒ่าทั้งสองรับแขกเสร็จแล้ว อาซานที่ถูกรั้งตัวไว้จึงวิ่งมารายงานพวกนาง “ท่านผู้เฒ่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องส่วนตัว นายหญิงรองสั่งการให้พวกสาวใช้จัดเก็บสิ่งของ เตรียมจะกลับเรือนนอกแล้วเจ้าค่ะ”
อวี้ถังส่งคนไปเรียกกู้ซี ทั้งให้คนไปรายงานนายหญิงรอง
ไม่นานนัก กู้ซีก็เข้ามา หญิงรับใช้ข้างกายนายหญิงรองก็เข้ามาเช่นกัน กล่าวว่าได้รับคำสั่งของนายหญิงรองให้เชิญพวกนางไปดื่มชาที่ห้องเซียงฝางด้านข้าง
ทุกคนพากันเดินไปห้องด้านข้าง
หญิงรับใช้และบ่าวรับใช้สัญจรไปมาในเรือน สาวใช้ไม่กี่คนยืนรายล้อมนายหญิงรองอยู่ในห้องหลัก นางกำลังสั่งให้พวกบ่าวรับใช้จัดเก็บข้าวของ
เมื่อเห็นพวกอวี้ถัง นายหญิงรองก็เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ดึงมือของคุณหนูห้า เอ่ยกับพวกนาง “ไปนั่งในห้องก่อนเถิด ที่นี่ยุ่งวุ่นวายไปหมด” ทั้งถามพวกนางว่าหิวหรือไม่ “ยามที่ไปถึงเรือนก็คงจะฟ้ามืดแล้ว พวกเจ้าต้องกินอะไรรองท้องเสียหน่อย” ยังเอ่ยชมอวี้ถัง “ขนมอร่อยอย่างยิ่ง ทั้งส่งมาได้ถูกเวลา คงจะลำบากไม่น้อย”
อวี้ถังรีบเอ่ยถ่อมตัวไม่กี่ประโยค
สิ่งที่นางสามารถคิดได้ พวกสาวใช้บ่าวรับใช้ในสกุลเผยก็ย่อมคิดได้เช่นกัน นายหญิงรองแค่ยกยอนาง จึงได้เอ่ยชมนางเช่นนี้ หากนางลำพองใจหรือเอาจริงเอาจังด้วยเหตุนี้ คิดว่าคนอื่นล้วนไม่มีความสามารถเหมือนตัวเอง นั่นก็สร้างความขบขันแล้ว
ทุกคนแบ่งกันนั่งตามความอาวุโส สาวใช้นำชาและของว่างขึ้นโต๊ะ ยามนี้นายหญิงรองจึงเอ่ยกับอวี้ถังอย่างอ่อนโยน “เรื่องของพวกเจ้าข้าได้ยินหญิงรับใช้พูดแล้ว นี่นับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย ข้าย่อมให้ความสนับสนุนพวกเจ้า พวกเจ้าต้องการเงินหรือกำลังคน? ข้าจะช่วยจัดการให้พวกเจ้า”
คุณหนูห้าหัวเราะอย่างเริงร่า พิงอยู่ข้างกายมารดา “พวกเราอยากถามท่านแม่ว่าเรื่องนี้ทำได้หรือไม่ หากทำได้ ก็จะขอให้ท่านแม่เฒ่าทั้งสองช่วยตัดสินใจ อีกอย่าง พี่อวี้เพิ่งเขียนตำรับเครื่องหอมออกมา อยากให้ท่านช่วยดูเช่นกัน”
นางเล่าเรื่องที่คุณหนูสามจะลองช่วยทำธูปหอมให้นายหญิงรองฟังเช่นกัน
นายหญิงรองรู้สึกชื่นใจอย่างยิ่ง
พวกเด็กๆ ร่วมตัวกันทำเรื่องดี นอกจากจะเพิ่มความสนิทสนมระหว่างพี่น้อง ยังทำให้พวกนางมีความเห็นอกเห็นใจต่อคนอื่นมากยิ่งขึ้น
ครั้งนี้นายหญิงรองกลับตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ฟังจบก็ยืนขึ้นทันที เอ่ยว่า “เรื่องนี้ทำได้แน่ ท่านแม่เฒ่าทั้งสองย่อมให้ความสนับสนุนพวกเจ้า พวกเจ้าไปพบท่านแม่เฒ่าทั้งสองพร้อมกับข้าก็เพียงพอแล้ว…อีกเดี๋ยวต้องกลับเรือนนอกแล้ว ฉวยยามที่พวกเรายังอยู่ในอารามดับทุกข์ จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสรรพไป อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องลงเขากลับเมืองหลินอันแล้ว”
หากเดินทางจากหลินอันมายังอารามดับทุกข์ ย่อมไกลอยู่บ้าง สิ่งที่สำคัญคือ ท่านแม่เฒ่าทั้งสองก็ดี นายหญิงรองก็ดี ต่างก็ต้องเตรียมรับมือกับเทศกาลปีใหม่แล้ว
พวกเด็กๆ ต่างก็ดีใจอย่างยิ่ง ตามนายหญิงรองไปพบท่านแม่เฒ่าอย่างเบิกบานใจ
ผู้ที่ชอบก่อความวุ่นวายอย่างคุณหนูสี่กลับดึงตัวนายหญิงรองไว้ “พี่สองยังอยู่กับท่านแม่เฒ่าหรือเจ้าคะ? คุณชายหยางคงกลับไปแล้วกระมัง ท่านแม่เฒ่าตอบรับงานแต่งของสกุลหยางแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
คาดว่านายหญิงรองคงเข้าใจนิสัยของคุณหนูสี่ดี ฟังจบก็ไม่โกรธแต่อย่างใด กลับบิดแก้มนางอย่างหยอกเย้า “เจ้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง จะสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม? การบ้านที่อาจารย์ให้พวกเจ้าทำ ทำเสร็จกันแล้วหรือยัง? หลังจากพวกเจ้าลงเขา ลูกพี่ลูกน้องของสกุลลุงเจ้าจะเข้ามาส่งของขวัญปีใหม่ให้แม่เจ้า พวกเจ้าก็ต้องไปเยี่ยมเยียนสกุลลุงเจ้าเช่นกัน หากการบ้านยังไม่เสร็จ ก็ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นแม่ของเจ้าจะปล่อยให้เจ้าออกไปข้างนอกพร้อมพวกพี่ๆ หรือไม่…”
ไม่เพียงสามารถหยุดยั้งคำพูดของคุณหนูสี่ได้ทันที ยังทำให้คุณหนูสี่ถึงกับขอความเมตตาจากนายหญิงรองว่า “ข้าจะไม่พูดจาเหลวไหลอีกแล้วเจ้าค่ะ” พาให้ทุกคนพากันหัวเราะขึ้นมา
ไม่นานนัก พวกนางก็มาถึงห้องที่ท่านแม่เฒ่าทั้งสองพักผ่อน คุณหนูรองกำลังยืนคุยอะไรบางอย่างกับท่านแม่เฒ่าทั้งสองด้วยใบหน้าขวยเขิน เมื่อเห็นพวกนางเข้ามา ก็วิ่งไปอีกฝั่งทันที
ทั้งแม่เฒ่าทั้งสองสบตายิ้มแก่กัน ท่านแม่เฒ่าเผยกำชับให้สาวใช้ข้างกายไปยกขนมและชามาให้พวกอวี้ถัง
เมื่อทุกคนนั่งลง นายหญิงรองก็เล่าจุดประสงค์ที่พวกอวี้ถังมาให้ท่านแม่เฒ่าทั้งสองฟัง ท่านแม่เฒ่าทั้งสองทั้งตกใจและดีใจ เอ่ยชมพวกคุณหนูสกุลเผยเสียยกใหญ่ ด้านท่านแม่เฒ่าเผยกลับโบกไม้โบกมือ “เรื่องดีขนาดนี้ มีอะไรให้ต้องปรึกษาอีก? หรืออารามดับทุกข์ไม่อยากยืนด้วยตัวเองกัน? เช่นนั้นต่อให้พวกเราสกุลเผยจะให้ความช่วยเหลือมากมายเท่าใด อย่างมากสุดก็ทำได้เพียงช่วยเหลือข้าวปลาอาหารสามมื้อของพวกนาง อยากให้สวรรค์ช่วยเหลือมนุษย์และทุกสรรพสิ่งพร้อมกัน นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้”
นายหญิงรองพยักหน้าระรัว เอ่ยถามท่านแม่เฒ่า “เช่นนั้นพวกเราควรเชิญเจ้าอาวาสมาพูดคุยเรื่องนี้หรือไม่เจ้าคะ?”
ท่านแม่เฒ่าอี้ชิงพูดก่อนท่านแม่เฒ่าเผยว่า “ข้าว่ายังจำเป็นต้องบอกกล่าวเสียหน่อย หากพวกนางไม่ยินดีจะทำอย่างไร? ไม่ใช่ว่าพวกเราไปกังวลแทนพวกนางหรอกรึ”
ท่านแม่เฒ่าเผยผงกศีรษะ ออกคำสั่งกับจี้ต้าเหนียง “เจ้าไปเชิญเจ้าอาวาสอารามดับทุกข์เข้ามา”
อวี้ถังกลับลอบครุ่นคิด
ชาติก่อน ดูเหมือนว่าอารามดับทุกข์จะพึ่งพาผลผลิตของพื้นที่ไม่กี่หมู่และภูเขารอบๆ ทั้งได้รับความช่วยเหลือจากผู้ศรัทธาในการดำรงชีวิตประจำวัน ก็ไม่รู้ว่าไม่ยินดีจะพึ่งตัวเองหรือว่าไม่มีโอกาสมาโดยตลอด
นางไม่อาจเดาได้ว่าเจ้าอาวาสจะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้
ด้านกู้ซีกลับขยำผ้าเช็ดหน้าในมือจนยับยู่ยี่
พวกผู้อาวุโสของสกุลเผยพากันกระตือรือร้นทำเรื่องนี้ดังที่นางคาดไว้ น่าเสียดายที่ความคิดนี้อวี้ถังเป็นคนเสนอออกมา แม้นางจะคิดทุ่มเทแรงกายแรงใจก็เป็นการช่วยให้อวี้ถังได้หน้าเท่านั้น นางไม่ยินดีจะทำเรื่องนี้
กู้ซีอดชำเลืองอวี้ถังแวบหนึ่งไม่ได้
อวี้ถังค้อมศีรษะ ขนตางามงอนที่เรียงตัวคล้ายพัดเล็กๆ กะพริบวูบวาว ดูอ่อนหวานใจกว้างอย่างยิ่ง
แต่นางเสนอความคิดสอนคนในอารามดับทุกข์ให้หลุดพ้นจากความลำบาก
คนเช่นนี้ จะมีความอ่อนโยนใจกว้างได้อย่างไร?
กู้ซีแค่นหัวเราะในใจ
เจ้าอาวาสอารามดับทุกข์เดินทางมาถึงแล้ว
บางทีนางอาจจะได้ยินข่าวมาก่อนแล้วว่าท่านแม่เฒ่าทั้งสองมีเรื่องจะปรึกษากับนาง นางเผยสีหน้าซาบซึ้งใจอยู่บ้าง เห็นท่านแม่เฒ่าทั้งสองก็คำนับให้ ทั้งยังท่องออกมาว่า ‘พระโพธิสัตว์คุ้มครอง ทำให้อารามดับทุกข์ของพวกเราประสบพบเจอคนดี’ อยู่หลายครั้ง
ท่านแม่เฒ่าทั้งสองก็ไม่พิธีรีตองอะไรกับนางมาก พูดถึงจุดประสงค์อย่างตรงไปตรงมา
เจ้าอาวาสนั้นดีใจจนน้ำตารินไหล สีหน้าอมทุกข์นั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาในชั่วพริบตา “ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนที่ข้าเริ่มดูแลอารามดับทุกข์ ก็เอาแต่คิดหาลู่ทางให้อารามดับทุกข์อยู่เรื่อยมา เคยทำหน่อไม้ เคยทำผักดองขาย แต่ท้ายที่สุดก็ได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย ท่านแม่เฒ่าทั้งสองสามารถชี้ลู่ทางให้ผู้คนที่มีชะตาขมขื่นในอารามดับทุกข์ได้ พวกเรา พวกเราเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้งก็ยังต้องขอบคุณท่านแม่เฒ่าทั้งสอง ตั้งแผ่นป้ายสรรเสริญให้แก่พวกท่าน…” พูดจบ ก็เตรียมจะคุกเข่าคาราวะ
ยังดีที่เฉินต้าเหนียงและจี้ต้าเหนียงตาไวรีบพยุงนางขึ้นมา ไม่ปล่อยให้นางคุกเข่าลงไป เฉินต้าเหนียงยังเอ่ยว่า “ท่านจะทำอะไร? นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการทรมานท่านแม่เฒ่าทั้งสองของพวกเราหรอกรึ? มีอะไรก็นั่งลงคุยกันดีๆ เถิด ท่านแม่เฒ่าพวกเราก็แค่คิดเสนอออกมา ดูว่าสามารถทำได้หรือไม่ จึงได้เชิญท่านมาปรึกษาหารือกันมิใช่รึ?”
เจ้าอาวาสค่อยสงบใจลง นั่งลงเก้าอี้กลมด้านข้างด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
สายตาของท่านแม่เฒ่าเผยพุ่งไปยังร่างอวี้ถัง
อวี้ถังเข้าใจทันที
ท่านแม่เฒ่าเห็นว่านางเป็นคนเสนอความคิด ยามนี้จึงผลักนางออกมา ให้นางอธิบายเรื่องทำเครื่องหอมให้เจ้าอาวาสฟัง
อวี้ถังรีบส่ายศีรษะให้ท่านแม่เฒ่า ทั้งยังส่งสีหน้าวิงวอนร้องขอ