ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 183 ไม่อาจตัดใจ
ตอนที่กู้ซีเก็บสัมภาระ เหล่าคุณหนูสกุลเผยก็ร่ำร้องว่าอยากจัดงานเลี้ยงส่งให้นาง คล้ายไม่เข้าใจความนัยของท่านแม่เฒ่าสกุลเผยที่ต้องการให้นางกลับบ้านไป หัวใจของกู้ซีรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย สีหน้าจึงไม่ย่ำแย่เหมือนตอนแรก แต่เรื่องงานเลี้ยงอำลานี้ นางยอมรับว่าตนหน้าไม่หนาขนาดแสร้งทำว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วไปกินดื่มกับเหล่าคุณหนูสกุลเผย
อวี้ถังไม่อยากแสร้งวางท่าต่อหน้ากู้ซี นางฟังออกถึงความหมายของท่านแม่เฒ่าสกุลเผย แต่วาจาเกรงใจสักคำยังไม่เอ่ยด้วยซ้ำ
นี่ทำให้กู้ซีลอบคาดเดาในใจ ว่าเป็นเพราะอวี้ถังรู้อะไรบางอย่างหรือเปล่า?
ไม่ว่าอย่างไร กู้ซีก็ต้องจากไป แต่เพราะใจนางไม่อาจยอมรับ คิดว่าตนจะไปบอกลาท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเป็นการส่วนตัวสักครั้ง หากถามอะไรจากปากท่านแม่เฒ่าสกุลเผยได้ก็คงดี อย่างเช่นว่าเหตุใดต้องเร่งให้นางรีบกลับบ้าน แต่ถ้าไม่มีโอกาส ก็ขอได้พูดคุยกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเป็นการส่วนตัวสักสองสามคำก็ยังดี…ไม่ว่าต่อไปนางแต่งเข้าไปเป็นนายหญิงของสกุลใด ล้วนแต่ต้องมีเรื่องให้เกี่ยวพันกับสกุลเผยทั้งสิ้น อีกอย่างหลายวันนี้ที่นางพักอยู่กับสกุลเผย ก็เข้ากับเหล่าคุณหนูสกุลเผยได้เป็นอย่างดี คุณหนูสกุลเผยมิใช่พวกมากเล่ห์คิดร้าย คุ้มค่าที่จะคบหาเอาไว้อย่างยิ่ง
คิดถึงตรงนี้ นางก็อดจะนึกถึงงานแต่งของคุณหนูรองไม่ได้
สกุลหยางเองก็เคยเข้าตาสกุลกู้ของพวกนางเช่นกัน เพียงแต่หญิงสาวสกุลกู้ที่อายุไล่เลี่ยกับคุณชายหยางมีเพียงบุตรสาวอนุสายรองไม่กี่คน เรื่องเกี่ยวดองจึงไม่มีให้เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ มารดาเลี้ยงของนางยังเสียดายหนักหนาที่น้องสาวต่างมารดาหลายคนของนางอายุห่างจากคุณชายหยางมากเกินไป คุณชายหยางเป็นบุตรชายคนโต เกรงว่าจะไม่ยินดีแต่งงานกับภรรยาที่อายุน้อยเกินไปนัก
คู่หมายของคุณหนูสามก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
แม้จะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่สกุลฝั่งมารดาของคุณหนูสามก็เป็นครอบครัวบัณฑิต รับราชการสืบต่อกันมา ผ่านไปอีกหนึ่งถึงสองรุ่นก็คงผลิตจิ้นซื่อออกมาได้แล้ว ตอนนี้ในสกุลมีคนรับตำแหน่งขุนนางสูงสุดคือผู้ว่าการแห่งเจียงซี ซึ่งก็คือท่านลุงแท้ๆ ของญาติผู้น้องของคุณหนูสาม หากว่าญาติผู้น้องของคุณหนูสามเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีในการเล่าเรียนศึกษา ทั้งได้การสนับสนุนจากสองสกุล เส้นทางขุนนางจะรุ่งเรืองเพียงใดคงไม่ต้องพูดถึง
นี่จึงจะนับว่าเป็นรากฐานของสกุลได้
เพียงแต่บิดานางไม่ได้ความ ถูกมารดาเลี้ยงเป่าหูให้รู้จักแต่กดข่มน้องชายที่เกิดจากอนุเอาไว้ พวกนางบ้านรองต่อให้มีพี่ชายคอยเป็นหลักอยู่ แต่ก็คงค้ำจุนต่อไปได้ไม่นาน
กู้ซีถอนหายใจยาวเหยียด
เหอเซียงเดินเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย กระซิบที่ข้างหูนางว่า “คุณหนู นายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่สกุลเผยผู้นั้นส่งสาวใช้มาเจ้าค่ะ บอกว่าได้ยินว่าท่านจะกลับหังโจว จึงส่งกล้วยไม้สองกระถางมาให้เป็นของขวัญอำลา”
กู้ซีละล้าละลังพักใหญ่
นางไม่อยากเข้าไปยุ่งกับน้ำขุ่นในสกุลเผย แล้วนายหญิงใหญ่ทางนั้น…นางรู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ตอนแรกพยายามเข้าหานายหญิงใหญ่ เดิมแค่ต้องการให้ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยกับเผยเยี่ยนเห็นถึงฝีมือในการสร้างปฏิสัมพันธ์ของนาง บัดนี้มันกลับกลายเป็นข้ออ้างที่นายหญิงใหญ่ใช้เข้าใกล้นางแล้ว
ทั้งที่รู้ว่าไม่สมควร แต่การที่นายหญิงใหญ่สั่งคนมาส่งกระถางกล้วยไม้ให้นางอย่างกะทันหัน ทำให้นางรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ
พวกเขามิใช่คิดว่าข้ามาพักเรือนผู้อื่นนานเกินไปรึ ทั้งคิดว่าข้าขาดจิตสำนักและการอบรมว่าด้วยการวางตัวเป็นแขก เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ดีขึ้น แค่เล่นบทคนที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างก็พอแล้ว
อีกอย่าง สกุลหยางก็มิใช่จะต่อกรได้ง่ายๆ
แม้เมื่อก่อนจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่สกุลหยางรุ่นนี้กลับมีขุนนางถึงสามคน อย่างน้อยก็คงรุ่งเรืองก้าวหน้าไปได้อีกยี่สิบปี แล้วทำไมนางต้องผลักไสสกุลหยางให้ห่างออกไปด้วยเล่า?
กู้ซีหัวเราะ “เชิญสาวใช้คนนั้นเข้ามา ตกเงินรางวัลให้นางไปจำนวนหนึ่ง บอกว่าดอกไม้นี้ข้ารับเอาไว้แล้ว ขอบคุณความเอ็นดูของนายหญิงใหญ่ หากว่านายหญิงใหญ่มีโอกาสไปเมืองหังโจว ต้องให้นางแวะไปนั่งเล่นที่เรือนข้าให้จงได้ นายหญิงสกุลเราชื่นชอบการรับแขกมาก หากนางไปแล้วอย่างอื่นไม่พูดถึง เรื่องกินดื่มไม่มีทางตกหล่นแน่”
มารดาเลี้ยงของนางมีโรงสุราเป็นสินเดิม ตั้งแต่แต่งเข้าสกุลกู้ ก็ชอบนำสุราของตนออกมารับแขกในงานเลี้ยงเสมอ นับเป็นการเรียกลูกค้าเข้าร้านตัวเองแบบหนึ่ง แต่ก่อนตนรู้สึกรำคาญเป็นที่สุด แต่มาบัดนี้กลับคิดว่ามีมารดาเลี้ยงเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
เหอเซียงจึงพาตัวสาวใช้ของนายหญิงใหญ่เข้ามา
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยทางนั้น กำลังพูดคุยความในใจกับท่านแม่เฒ่าสกุลอี้อยู่ว่า “นึกว่าเป็นคุณหนูจากสกุลใหญ่ จะทำเรื่องใดล้วนไม่เอะอะแยกแยะหนักเบาได้ นางนั้นรู้หนักรู้เบาอยู่หรอก แต่นิสัย…ดังนั้นถึงได้บอกว่า นิสัยคนไม่อาจมองจากครอบครัวได้ทั้งหมด สิ่งที่หายากในหญิงสาวคือรู้ว่า เมื่อไรควรฉลาด เมื่อไรควรเลอะเลือน”
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้แต่ก่อนเป็นวีรสตรีผู้หนึ่ง เพียงแต่ต้องดูแลท่านผู้เฒ่าสกุลอี้ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาเกือบยี่สิบปี พออายุเริ่มมากขึ้น จึงมองคนมองเรื่องราวด้วยใจที่เปิดกว้าง อารมณ์ก็เย็นลงกว่าแต่ก่อนแล้ว นางได้ยินก็หัวเราะ “แล้วเจ้ายังไล่คนเช่นนี้อีก? ข้าเห็นคุณหนูผู้นั้นอับอายมาก กลัวจะฝังใจต่อสกุลเรา เป็นการเพิ่มความขัดแย้งให้ลูกหลานเสียเปล่าๆ”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยร้อง “เหอะ” ออกมาอย่างไม่เห็นด้วย “เด็กสาวที่สกุลเราสั่งสอนออกมา มิใช่บุปผาในห้องอุ่นที่มีไว้ชื่นชมแต่ไร้ประโยชน์ หากเล่ห์เหลี่ยมแค่นี้พวกนางยังเอาตัวรอดไม่ได้ ต่อไปจะรับมือกับพวกพี่สะใภ้และป้าสะใภ้ในสกุลที่มีทั้งอายุและประสบการณ์มากกว่าได้อย่างไร?”
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้หัวเราะหึๆ “ข้ารู้สึกว่าคุณหนูผู้นั้นไม่เลว คงไม่มีผู้มองโลกอย่างปรุโปร่งคอยสั่งสอน แต่คนนับว่าเฉลียวฉลาดอยู่”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยไม่รู้ว่าดูถูกสกุลกู้หรือไม่ชอบกู้ซีกันแน่ “พวกที่เติบโตมากับมารดาเลี้ยง มีไม่กี่คนที่จะออกมาดีได้หรอก ไม่มีปัญญาก็หลบๆ ซ่อนๆ เอาไว้สิ! เจ้าดูคุณหนูสกุลอวี้ ซื่อตรงเปิดเผย เคารพนบนอบไม่อวดฉลาด ข้าคิดว่าแบบนี้ดีกว่าเยอะ หากไม่ได้เก่งกาจพอจะสู้กับไฟ เช่นนั้นก็ต้องรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาไว้บ้าง!”
“เจ้านี่นะ!” ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ส่ายหน้ายิ้มๆ “มีใครไปขัดใจเจ้าอีกล่ะ? ถึงได้พาลโกรธไปถึงคุณหนูบ้านอื่น” พูดจบ ก็ชี้นิ้วไปทางห้องอุ่น “หรือว่าเรื่องทางนั้น?”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยพลันคลายสีหน้าลง “เจ้าว่ามันเป็นเวรกรรมอะไรของข้าเล่า? ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่เชื่อฟัง ดึงดันจะดองกับสกุลหยางให้ได้ ตอนนี้คนไม่อยู่แล้ว ก็ยังจะทิ้งเรื่องวุ่นวายเอาไว้ให้ข้า ตาเฒ่าสกุลข้าก็เหมือนกัน ตนเองไม่รู้จะออกทางไหน ถึงได้โยนหม้อใบใหญ่ทิ้งให้เจ้าสาม แล้วเจ้าสามทำอะไรได้เล่า? ทางหนึ่งก็พี่สะใภ้ที่เป็นม่าย ทางหนึ่งก็หลานชายกำพร้าพ่อ เขาเลือกทางไหนก็ผิดอยู่ดี! ข้าดูแล้ว จะพูดว่าเจ้าใหญ่อกตัญญู ก็เพราะได้ตาเฒ่ามานั่นแหละ ตนเองทำผิดพลาด ไม่มีทางแก้ ก็สะบัดมือทิ้งไม่สนใจ ให้คนอื่นมารับช่วงเก็บกวาดต่อ น่าสงสารแต่เจ้าสาม ใครใช้ให้เขานิสัยเหมือนข้าเล่า คิดแต่ให้คนในครอบครัวอยู่ดีมีสุข ตนเองทนรับกรรมหน่อย…”
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ทนไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา “เจ้ากำลังสงสารเจ้าสาม? หรือว่ากำลังชมตัวเองอยู่น่ะ?”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยใคร่ครวญ แล้วก็หัวเราะดังลั่น
ความอึดอัดในห้องสลายวับไป เหลือเพียงบรรยากาศผ่อนคลายเป็นสุข
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยกับท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ต้องหารือเรื่องงานแต่งของคุณหนูรองกับสกุลหยาง สุดท้ายกู้ซีก็ไม่มีโอกาสได้บอกลาท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเป็นการส่วนตัว
งานแต่งของคุณหนูรองกับคุณชายหยางถูกกำหนดลงอย่างรวดเร็ว เพราะคุณหนูรองเป็นหลานสาวของบ้านสาม แม้จะไม่ได้ออกเรือน แต่ไว้ทุกข์เพียงเก้าเดือนก็เพียงพอแล้ว คุณหนูคนอื่นยังแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีหม่นต่อไป เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อการจากไปของท่านผู้เฒ่าสกุลเผย สกุลหยางก็คิดเช่นเดียวกัน บอกว่าสองสกุลตกลงกันเป็นการภายในไว้ก่อน เชิญเพียงญาติสนิทมาเป็นสักขีพยาน รอให้บ้านใหญ่สกุลเผยออกทุกข์ ค่อยมาสู่ขออย่างเป็นทางการ แห่คุณหนูรองเข้าประตูไปอย่างยิ่งใหญ่อีกที
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยคิดว่าไม่จำเป็น บอกว่าจดจำคำของท่านผู้เฒ่าได้ก็เพียงพอแล้ว แต่ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ก็ยังดึงดัน บอกว่าความคิดของสกุลหยางตรงใจนางนัก จึงส่งคนไปบอกกับบิดามารดาของคุณหนูรองให้รับทราบ เรื่องนี้จึงนับว่าตกลงกันเรียบร้อย
เวลานี้กู้ซีกำลังเดินทางกลับเมืองหังโจวโดยมีคนของสกุลเผยไปส่ง อวี้ถังใคร่ครวญดูแล้วคิดว่าตนเองก็สมควรกลับเรือนเช่นกัน
นางไปพบท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเพื่อบอกลา
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยไม่ได้รั้งนาง แต่จัดผ้าต่วนแพรไหม หยูกยาอาหารแห้ง และของกินเล่นต่างๆ ให้เต็มสองคันรถลาก เหล่าคุณหนูสกุลเผยดึงมือนางไว้อย่างไม่อาจตัดใจ “ถึงเวลานั้นท่านจะต้องมาสวัสดีปีใหม่ให้ท่านแม่เฒ่าทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ!”
อวี้ถังไม่รู้ว่าตอนนั้นการไปเยือนที่จวนจะเหมาะสมหรือไม่ แต่ถ้ามีโอกาสนางก็อยากจะไปคารวะสองแม่เฒ่าในวันปีใหม่อยู่แล้ว
นางพยักหน้ารับและร่ำลากับคุณหนูสกุลเผยด้วยความอาลัย จากนั้นก็ขึ้นนั่งบนเกี้ยวที่สกุลเผยจัดไว้ให้ เดินทางกลับเรือนสกุลอวี้
พร้อมกับรถลากอีกสองคัน
อวี้ถังเพิ่งจะเข้าตรอกชิงจู๋ก็ถูกเพื่อนบ้านล้อมซ้ายล้อมขวาเอาไว้แล้ว คนนี้ถามว่าอวี้ถังไปไหนมา คนนั้นถามว่าสิ่งของบนรถลากได้มาจากไหน อวี้ถังไม่อยากประกาศถึงความเกี่ยวพันกับสกุลเผย ถึงตอบอย่างคลุมเครือไป จนป้าเฉินที่รอฟังเสียงอยู่ตลอดว่า เมื่อไรอวี้ถังจะกลับมาได้ยินเข้า จึงวิ่งไปจำนรรจาจนเพื่อนบ้านที่รายล้อมสลายตัวไปหมด อวี้ถังถึงผ่านเข้าประตูเรือนได้อย่างราบรื่น
คนสกุลเฉินเข้ามากอดอวี้ถัง ยังไม่ทันพูดอะไรสักคำน้ำตาก็ร่วงพรูลงมาแล้ว “ลูกสาวข้า ให้ข้าดูหน่อยสิ เจ้าไปทีก็หายไปตั้งครึ่งเดือน แม่นอนหลับไม่สนิทเลยสักคืน เจ้าอยู่กับสกุลเผยสบายดีหรือไม่? เหล่าคุณหนูสกุลเผยเป็นอย่างไร? พวกนางสร้างความลำบากให้เจ้าหรือเปล่า?”
เพียงแต่คำของนางยังไม่ทันจบดี อวี้เหวินที่รออยู่ด้านข้างก็แทรกขึ้นมาว่า “พูดอะไรน่ะ? เจ้าไม่เห็นหรือว่าสีหน้าของอาถังดีขึ้นกว่าตอนออกจากเรือนเสียอีก ทั้งมีรถลากสองคันตามกลับมาด้วย เห็นชัดว่าท่านแม่เฒ่าสกุลเผยถูกใจนางไม่น้อย ใช่หรือไม่เล่า? อาถัง!”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่น้ำเสียงร้อนใจและสายตาที่มองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ ของอวี้เหวิน ก็ไม่อาจปิดความเป็นห่วงและกังวลของเขาได้มิด
อวี้ถังรับคำว่า “เจ้าค่ะ” น้ำตาไหลร่วงตามมารดา “เอ่อ สกุลเผยบนๆ ล่างๆ ล้วนดูแลข้าเป็นอย่างดี ข้ายังตามพวกเขาไปที่อารามดับทุกข์ด้วย ข้าสบายดีเจ้าค่ะ อีกนิดก็คงไม่อยากกลับบ้านแล้ว”
“เจ้าเด็กคนนี้!” ไม่รู้ว่าป้าสะใภ้กับคนสกุลเซียงที่ยืนอยู่ใต้ชายคามองดูครอบครัวกลับมาพร้อมหน้านั้นเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ป้าสะใภ้หัวเราะพลางตบไหล่ของอวี้ถังเบาๆ “กลับมาแล้วก็ดี วันก่อนมารดาเจ้ารู้ว่าเจ้าจะกลับมา ก็พร่ำบ่นไม่เว้นแต่ละวัน บอกจะซื้อเนื้อซื้อปลา จะทำขนมหลายอย่างที่เจ้าชอบไว้ให้ กระทั่งพวกเราก็พลอยลาภปากไปด้วย มีของให้กินอีกเป็นครึ่งตะกร้า”
อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ น้ำตายังคลออยู่ที่หางตา
คุณสกุลเซียงดึงผ้าเช็ดหน้าของตนเองส่งให้นาง หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “กลับมาก็ดีแล้ว พวกเรากำลังเตรียมอาหารคืนงานเลี้ยงปีใหม่อยู่พอดี”
อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเห็นหน้าท้องที่นูนออกมาเด่นชัดของคนสกุลเซียง
“ไอหยา!” นางมองคนสกุลเซียงด้วยความอิจฉาและตื่นเต้น “ท้องโตขนาดนี้แล้ว ได้เชิญท่านหมอมาตรวจดูแล้วหรือยังเจ้าคะ? แล้วต้องนัดแนะกับแม่หมอตำแยไว้ล่วงหน้าหรือไม่?”
“เจ้านี่นะ!” ป้าสะใภ้มองนางด้วยสายตาเอ็นดู แล้วเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะว่า “มิน่ามารดาเจ้าเอาแต่บ่นคิดถึงไม่ขาดปาก เพราะใส่ใจเก่งเช่นนี้เอง ตนเองยังไม่ทันยืนให้มั่น กลับมาห่วงใยพี่สะใภ้เสียแล้ว ไม่เคยทำให้ป้าสะใภ้อย่างข้าต้องผิดหวังเลยจริงๆ”
อวี้ถังก้มหน้าลงอย่างรู้สึกละอายใจ
ป้าสะใภ้กับมารดาของนางล้วนมีประสบการณ์มาก่อน เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางมากังวลด้วยซ้ำ
แต่เพราะทุกคนมีรอยยิ้ม กระทั่งท่านลุงใหญ่ที่ชอบวางท่านิ่งต่อหน้าอวี้ถังก็ยังเก็บสีหน้าชื่นมื่นไม่มิด แล้วหัวเราะพร้อมไปกับทุกคนด้วย