ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 187 เรื่องสำคัญ
ยามที่เผยเยี่ยนกล่าวคำนี้ ยังชำเลืองมองอวี้ถังด้วยมุมปากที่แฝงรอยยิ้ม
อวี้ถังตะลึงงันทันที
เผยเยี่ยนหมายความว่าอย่างไร?
หรือเขาคิดว่าผูกสัมพันธ์กับสกุลกู้เป็นเรื่องดีอย่างนั้นหรือ? ไม่ก็การเกี่ยวดองระหว่างสกุลเผยและสกุลกู้ยังมีสาเหตุอะไรที่บอกให้คนอื่นรู้ไม่ได้?
อวี้ถังหนักอึ้งในใจ คิดว่าตัวเองคงจะมาเสียเที่ยว
เผยเยี่ยนนั้นเก่งกาจกว่านางมาก หากกระทั่งเขายังคิดว่ามีความจำเป็นต้องเกี่ยวดองกับสกุลกู้ แล้วนางถือสิทธิ์อันใดถึงคิดว่าตนเองนั้นเป็นฝ่ายถูกกว่าเผยเยี่ยน สามารถขัดขวางเผยเยี่ยนได้?
ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ห่อเหี่ยวขึ้นมา
หรือชะตาถูกกำหนดไว้แล้ว กู้ซีในชาตินี้จะแต่งให้กับเผยเยี่ยน กลายเป็นนายหญิงของสกุลเผย?
นางเอ่ยพึมพำ “ท่านตัดสินใจแล้วใช่หรือไม่ ไม่ว่าข้าจะพูดอันใด ท่านก็ตัดสินใจจะเกี่ยวดองกับสกุลกู้แล้ว?”
เผยเยี่ยนไม่ได้เอ่ยอันใด ทำเพียงเดินวนอยู่รอบอวี้ถังไปครั้งหนึ่ง
คล้อยหลังเขาจึงพบว่า อวี้ถังนั้นคล้ายกับผักสดที่ถูกลวก ดูห่อเหี่ยวอย่างยิ่ง
เขาแปลกใจไม่น้อย เอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่เห็นด้วยที่สกุลเผยและสกุลกู้จะเกี่ยวดองกัน?”
อวี้ถังเงยหน้า มองเผยเยี่ยนอย่างอ้ำอึ้ง
เผยเยี่ยนกำลังจ้องนางด้วยใบหน้าจริงจัง
ช่วงเวลานั้นนางก็รู้ว่า โอกาสเช่นนี้อาจจะมีครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่คว้าไว้ ย่อมไม่ปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว
“ข้าไม่ถูกกับกู้ซี” นางเอ่ยทันที “ไม่ใช่ไม่ถูกแบบธรรมดา คนผู้นี้ หากมีโอกาสก็ชอบเหยียบย่ำข้า ข้ารู้สึกว่านางดูจอมปลอม ข้าไม่อยากให้คนเช่นนี้กลายเป็นภรรยาเอกของบ้านหลักสกุลเผย สตรีของสกุลเผยควรจะเหมือนดั่งท่านแม่เฒ่า มีเมตตาและอ่อนโยน ใจกว้างทั้งสง่าผ่าเผย ไม่ใช่คนที่เอาแต่มองปลายเท้าตัวเอง ใครข้ามหน้าข้ามตานางกลับไม่พอใจ ทั้งข้าก็มักได้ยินคนอื่นพูดว่า แต่งภรรยาดีก็โชคดีไปครึ่งชีวิตแล้ว ข้า ข้าไม่อยากให้คนเช่นนี้เป็นภรรยาของท่านด้วย…”
อยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสมหวัง มีภรรยาเปี่ยมคุณธรรมและบุตรที่กตัญญู
ก่อนหน้าที่ยังไม่มาพบเผยเยี่ยน นางอาจจะสามารถพูดคำพวกนี้โดยไม่คิดอะไรได้ แต่เมื่อพบเผยเยี่ยน ได้ฟังคำพูดของเผยเยี่ยนแล้ว นางก็พลันคิดขึ้นมาว่า บางทีนางอาจจะเป็นฝ่ายผิด
ทุกคนล้วนมีความรู้สึกไม่เหมือนกัน สิ่งที่นางชอบ ใช่ว่าเผยเยี่ยนจะชอบเสมอไป นางไม่อาจเอาความรู้สึกของตัวเองไปตัดสินความชอบของเผยเยี่ยน ตัดสินว่าเผยเยี่ยนชอบหรือไม่ชอบได้
แต่กู้ซีแน่นอนว่าไม่ได้
นางรู้จักกู้ซีดีเกินไป
อวี้ถังอดเอ่ยเสียงดังไม่ได้ “สรุปก็คือ ข้าอยากให้ท่านตรึกตรองอย่างรอบคอบเสียหน่อย”
เผยเยี่ยนได้ฟังก็มองนางอย่างสนใจ เอ่ยว่า “สรุปแล้วเป็นเพราะว่าเจ้าไม่ถูกกับนางจึงได้คัดค้านเรื่องนี้? หรือเพราะว่าเจ้าคิดว่านางไม่เหมาะสมกับข้ากันแน่?”
อวี้ถังเอ่ยทันที “ทั้งคู่! ข้าคิดว่านางไม่เหมาะสม ทั้งไม่ถูกชะตาด้วย”
เผยเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!” จากนั้นก็ยกชาขึ้น ทำท่าราวกับจะส่งแขก
อวี้ถังกะพริบตาปริบ
เรื่องจบเร็วเกินไปกระมัง
ตกลงเผยเยี่ยนรับฟังคำพูดของนางหรือไม่?
นางลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านฟังสิ่งที่ข้าพูดเข้าใจหรือไม่?”
“ข้าจะคิดดีๆ” เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากข้าเลือกภรรยาที่เข้ากับพวกเจ้าไม่ได้ ย่อมเป็นปัญหาอยู่บ้าง” ขณะที่พูด ก็ยังเผยท่าทีขบคิดอย่างจริงจัง
แต่ท่าทีของเขาเมื่อตกอยู่ในสายตาอวี้ถัง ไม่ว่าจะมองอย่างไรนางก็รู้สึกว่าเขากำลังประชดประชันนางอยู่
ใบหน้าของอวี้ถังร้อนฉ่าขึ้นมา เอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” คล้อยหลังก็พุ่งตัวออกจากศาลาราวกับวิ่งหนี
เผยเยี่ยนทอดมองตามแผ่นหลังนาง อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ น้ำเสียงค่อยดังขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็หัวเราะจนดังสะท้อนไปทั่ว
เผยชีเดินออกมาจากแมกไม้ที่อยู่ด้านข้างศาลา เขาเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “นายท่านสาม ท่าน ท่านเป็นอะไรขอรับ?”
เผยเยี่ยนเก็บรอยยิ้มไว้ แววตากลับคล้ายทางช้างเผือกที่ปรากฏในราตรีฤดูร้อน เปล่งประกาย ส่องแสงพร่างพราว
“อ่อ!” เขาเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “มีกระต่ายตัวน้อยวิ่งเข้าไปในสวนดอกไม้ ทำสวนดอกไม้เละเทะไปหมด คล้อยหลังก็ตกใจตัวเองจนวิ่งหนีไป”
สวนดอกไม้?
ที่นี่มีสวนดอกไม้ที่ไหนกัน?
หรือนายท่านสามพูดถึงดอกไม้ป่าที่อยู่ด้านนอกศาลาพวกนั้น?
เผยชีรีบเอ่ยว่า “นายท่านสาม อาหมิงนั้นถอนดอกไม้ป่ากับพวกบ่าวรับใช้ไปตั้งนานแล้ว แต่ดอกไม้ป่าพวกนี้มีเยอะเกินไป พริบตาเดียวก็งอกใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว”
เผยเยี่ยนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก เอ่ยกับเผยชี “คุณหนูอวี้เพิ่งเดินออกไป คงจะไปได้ไม่ไกล เจ้ารีบไปเชิญคุณหนูอวี้ให้ไปนั่งที่ห้องหนังสือสักครู่ กล่าวว่าข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง ข้าส่งคนของสกุลหยางเสร็จแล้วจะตามเข้าไป”
ไม่สนใจดอกไม้ป่าพวกนั้นแล้วหรอกรึ?
เผยชีเกาศีรษะ ขานรับออกไป ก่อนจะหมุนกายไล่ตามอวี้ถังไปอย่างเร่งรีบ
อวี้ถังค่อยๆ รั้งฝีเท้าให้ช้าลง ในสมองเอาแต่คิดย้อนภาพบทสนทนากับเผยเยี่ยนเมื่อครู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
เห็นได้ชัดว่านางมาขัดขวางเผยเยี่ยน เมื่อวานยังร่างคำไว้ในใจเกือบค่อนวัน เตรียมจะเล่าเรื่องของนางและกู้ซีให้เผยเยี่ยนฟัง เหตุใดพอพบเผยเยี่ยนกลับทะเลาะเป็นเด็กๆ พูดเพียงว่านางไม่ชอบกู้ซี ลืมคำพูดที่ควรจะพูดตั้งแต่ต้นไปเสียสิ้น
ก็ไม่โทษเผยเยี่ยน หากเขาจะไม่เชื่อนาง
เปลี่ยนเป็นนางก็คงไม่เชื่อเช่นกัน
เฮ้อ! นางดูเหมือนจะปรารถนาดีทั้งทำเรื่องไม่ดีในเวลาเดียวกัน
ก็ไม่รู้ว่ามีวิธีกู้สถานการณ์คืนมาได้หรือไม่
หรือว่า…นางควรย้อนกลับไปอีกครั้ง พูดคุยกับเผยเยี่ยนดีๆ?
ในสมองของอวี้ถังพลันปรากฏใบหน้าเย็นชาของเผยเยี่ยนขึ้นมา
ไม่ถูก
นางหยุดฝีเท้าลง
เรื่องนี้ไม่อาจโทษนาง หากจะโทษก็ต้องโทษเผยเยี่ยน
ทุกครั้งที่นางพูดคุยกับเผยเยี่ยน นอกจากเขาแสดงท่าทีเคร่งขรึมจริงจังแล้ว ยังมักจะพูดห้วนๆ สั้นๆ นางยังไม่ทันได้พูดจบ เขาก็ตัดสินใจออกมาเสียแล้ว คำพูดของนางแทบจะถูกอุดไว้ที่ลำคออย่างสิ้นเชิง
นี่คงเป็นสาเหตุที่ว่าทุกครั้งที่นางพบเผยเยี่ยน จึงสูญเสียการควบคุมไปโดยง่ายกระมัง?
อวี้ถังหวนคิดการกระทำของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ขบคิดว่าควรจะหาโอกาสไปพูดคุยเรื่องนี้กับเผยเยี่ยนดีๆ หรือไม่
หากกู้ซีกลายเป็นภรรยาของเผยเยี่ยนจริงๆ นางคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่
ทำให้คนรู้สึกยากจะรับได้ยิ่งกว่าการกลืนแมลงวันเสียอีก
เช่นนั้นนางยอมออกจากหลินอันยังจะดีกว่า
แต่ว่า เวลานี้นางย้อนกลับไปอีกครั้งจะเหมาะสมหรือไม่?
ขณะที่อวี้ถังกำลังลังเล
ด้านหลังก็มีเสียงเผยชีดังขึ้น “คุณหนูอวี้ คุณหนูอวี้! นายท่านสามของเราเชิญท่านไปรอที่ห้องหนังสือขอรับ เขากล่าวว่ายังมีเรื่องจะพูดกับท่าน!”
อวี้ถังรู้จักคนผู้นี้
เขาเป็นคนข้างกายของเผยเยี่ยน
นางอดถามเขาไม่ได้ “เหตุใดนายท่านสามจึงเปลี่ยนใจอีกแล้ว? เขาได้บอกหรือไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับข้า?”
คงไม่ใช่ตำหนินาง ไม่ให้นางมายุ่มย่ามเรื่องพวกนี้อีกหรอกกระมัง?
อวี้ถังรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
เผยชีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็ไม่ทราบ ข้าเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้นขอรับ”
อวี้ถังครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตามเผยชีไปที่ห้องหนังสือของเผยเยี่ยน
ห้องหนังสือนี้เป็นโถงโล่งห้าห้อง ไม่ว่ามองไปทางใดก็มีแต่หนังสือและม้วนคัมภีร์ เก้าอี้โยกใกล้ๆ หน้าต่างลายฉลุทางทิศใต้มีผ้าห่มสีเรียบผืนบางกลางเก่ากลางใหม่และหมอนเล็กๆ สีเหลืองขมิ้นวางอยู่ ด้านข้างยังมีแจกันลายดอกเหมยสีครามเสียบหญ้าอ้ายเฉ่าที่แห้งเฉาไว้
เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นห้องหนังสือที่เผยเยี่ยนมักจะใช้อยู่เป็นประจำ
เป็นห้องที่เขาใช้อ่านหนังสือเขียนอักษร ไม่ใช่ที่รับแขกแต่อย่างใด
อวี้ถังลอบตกใจ สงสัยอย่างยิ่งว่าเหตุใดจึงเสียบหญ้าอ้ายเฉ่าไว้ในแจกัน ทั้งหญ้าอ้ายเฉ่านี้เก็บรักษามาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร
นางเตรียมจะเข้าไปดู
ด้านนอกห้องพลันปรากฏเสียงฝีเท้าขึ้นมา
อวี้ถังหมุนกายกลับมาก็พบหญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี สวมเสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ยผ้าหังโฉวสีเขียวอมน้ำเงิน แต่งกายชุดสาวใช้ ยกถาดน้ำชาเข้ามา
“คุณหนูอวี้!” นางคำนับให้อวี้ถังด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมโตสว่างไสว ใบหน้าขาวผ่องราวกับไข่ห่าน ดูร่าเริงมีชีวิตชีวา คล้ายกับคุณหนูที่ถูกเลี้ยงอยู่ในห้องหับ ทำให้อวี้ถังไม่อาจคาดเดาฐานะของนางในช่วงเวลาสั้นๆ ได้
นางกลับแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “บ่าวมีนามว่า ‘ชิงหยวน’ เจ้าค่ะ เป็นสาวใช้ในห้องของนายท่านสาม ไม่ทราบว่าท่านชอบดื่มชาอะไร ข้าจึงตัดสินใจชงชาซีหูหลงจิ่งที่ทุกคนต่างชื่นชอบมา ท่านลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่ หากไม่ถูกปาก ข้าจะเปลี่ยนชาที่ท่านชอบให้เจ้าค่ะ”
อวี้ถังไม่ได้พิถีพิถันขนาดนั้น นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ชอบชาอันใดเป็นพิเศษ อะไรล้วนได้ทั้งนั้น ขอบคุณแม่นางชิงหยวนยิ่ง”
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” ชิงหยวนวางชาลงบนโต๊ะในห้องหนังสือ ก่อนจะมีสาวใช้สองคนอายุประมาณสิบห้าสิบหกยกของว่างและผลไม้เข้ามา
อวี้ถังรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาสาวใช้สองคนนี้อยู่บ้าง แต่ช่วงเวลาสั้นๆ กลับคิดไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน ทำได้เพียงพยักหน้าให้สาวใช้สองคนนั้น
สาวใช้ทั้งสองคำนับให้นางอย่างเขินอาย ก่อนจะขอตัวออกไป
ด้านชิงหยวนกลับอยู่เป็นเพื่อนคุยกับอวี้ถังในห้องหนังสือ ก่อนเผยเยี่ยนจะตามเข้ามา
“นายท่านสาม!” ชิงหยวนรีบหยัดกายคารวะ
เผยเยี่ยนแทบไม่แลตามองนาง โบกมือส่งๆ เป็นนัยให้นางออกไป ก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าเดินหนีเร็วขนาดนั้นทำไมกัน? ข้ายังพูดไม่จบเสียหน่อย?”
อวี้ถังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยมุมปากกระตุกสั่นอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี รู้สึกว่าตัวเองไร้อำนาจด้อยยิ่งกว่าชิงหยวน สาวใช้ผู้นั้นเสียอีก คล้ายกับเป็นสาวใช้สองคนที่ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามเมื่อครู่
แววตาของเผยเยี่ยนปรากฏรอยยิ้มวาบผ่านขึ้นมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว เอ่ยอย่างจริงจัง “ข้ารู้จักเจ้าเกือบสองปีแล้วกระมัง ไฉนเจ้ายังลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ จะใจเย็นสุขุมหน่อยไม่ได้รึ?”
อวี้ถังได้ยิน หางตาก็กระตุก
เผยเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “หลังจากวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง สกุลหลี่ก็ย้ายไปอยู่ในเมืองหังโจว เรื่องนี้เจ้าทราบหรือไม่?”
“ทราบแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ อวี้ถังไม่ได้มีใจจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเผยเยี่ยนแล้ว เอ่ยว่า “ข้าให้คนจับตาดูว่าสกุลพวกเขามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง ข้าได้ยินว่าสกุลพวกเขาย้ายไปอยู่ตรอกที่ชื่อว่าเสี่ยวเหอ ไม่ไกลจากถนนเสี่ยวเหออวี้ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”
ตรอกเสี่ยวเหอนับว่าเป็นหนึ่งในตรอกที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหังโจว อาศัยอยู่ที่นั่นก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เรือนแถวนั้นจึงขายออกน้อยอย่างยิ่ง
อวี้ถังยังไม่ทันได้สืบอย่างละเอียดว่าสกุลหลี่เช่าเรือนหรือซื้อเรือนอยู่ที่นั่น
หากเช่าเรือนยังพูดง่าย แต่หากซื้อ นั่นหมายความว่าสกุลหลี่อาจจะเริ่มวางแผนย้ายที่อยู่นานแล้ว
จุดนี้อวี้ถังและเผยเยี่ยนต่างก็คิดไปทางเดียวกัน
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “สกุลหลี่ซื้อเรือนที่นั่น”
อวี้ถังขมวดคิ้ว “เช่นนั้น ทางเมืองหลวงยังไม่มีข่าวอะไรรึ?”
“คาดว่าต้องรอถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง” เผยเยี่ยนและอวี้ถังต่างก็เข้าใจกันดี “ยามฉลองปีใหม่ข้าให้คนไปส่งของขวัญแล้ว ทางรื่อเจ้าก็สืบเรื่องราวได้มากมาย รอเพียงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น”
เช่นนั้นก็ดี
อวี้ถังพยักหน้า
เผยเยี่ยนจึงเริ่มถามเรื่องฉลองปีใหม่กับนาง วันไหนทำอะไรบ้าง ระหว่างญาติพี่น้องไปมาหาสู่กันอย่างไร ได้รับซองแดงเท่าใดเป็นต้น เรื่องเล็กน้อยยิบย่อยก็ถามออกมาหมด
อวี้ถังถูกถามก็สงสัย
เผยเยี่ยนไม่เหมือนคนมีเรื่องสำคัญอะไรจะพูดกับนาง กลับคล้ายต้องการรั้งนางไว้ที่นี่ ไม่ให้นางกลับไปเสียมากกว่า
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนที่เผยสีหน้าจริงจัง ลอบสงสัยกับตัวเอง
เผยเยี่ยนกลับกลั้นขำ ยามที่กลั้นจนทนไม่ไหว ยิ่งกลั้นก็ยิ่งจะหลุดออกมา เผยหม่านก็เข้ามา
เขารายงานกับเผยเยี่ยน “ท่านแม่เฒ่ากล่าวว่า สกุลหยางเป็นสกุลตายายของคุณชายใหญ่ ในเมื่อนายหญิงใหญ่และท่านผู้เฒ่าสกุลหยาง พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นล้วนเห็นว่างานแต่งครั้งนี้เป็นเรื่องดี ก็ตัดสินใจเช่นนี้ ให้คุณหนูกู้แต่งกับคุณชายใหญ่ ทั้งสองสกุลแลกเปลี่ยนสิ่งของยืนยันกันก่อน รอถอดชุดไว้ทุกข์ให้ท่านผู้เฒ่าค่อยส่งสินสอดทองหมั้นขอรับ”