ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 19 คัดค้าน
อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินต่างสะดุ้งตกใจ
แต่ก่อนอวี้ถังไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน อีกทั้งวาจาที่ออกมาก็บาดหูยิ่งนัก
คนสกุลเฉินรีบเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงพูดเช่นนี้เล่า? ผู้ตายย่อมเป็นใหญ่! ถ้าไปอยู่ข้างนอก ห้ามพูดแบบนี้เด็ดขาด ผู้อื่นจะหาว่าเจ้าใจคอโหดเหี้ยม”
อวี้ถังไม่คิดเช่นนั้น ทั้งรู้สึกว่าไม่อาจให้บิดามารดาตกหลุมพรางของพ่อบ้านใหญ่เด็ดขาด จึงพูดว่า “เดิมทีก็เป็นพ่อบ้านใหญ่ที่ทำไม่ถูก! ท่านลองคิดดูสิเจ้าคะ ทันทีที่เขาฆ่าตัวตาย เขาก็รอดตัวแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้ซื่อสัตย์ภักดี แต่ว่าคนที่อยู่ต่อเล่า? แล้วภาระหน้าที่ของสกุลเขานับว่าจบสิ้นแล้วรึ? ไม่หรอกเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพียงสกุลเขาเท่านั้น ต่อให้เป็นสกุลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับเขา เกรงว่าต่อไปคงไม่อาจรับใช้สกุลเผยได้อีก ทั้งบ้านใหญ่เองก็ด้วย แม้บอกว่านายท่านสามขึ้นเป็นผู้นำสกุลเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เขาก็มีคำสั่งเสียของท่านผู้เฒ่าอยู่จริง ต่อให้ภายในมีแผนการซับซ้อนซ่อนไว้ แพ้เป็นโจรชนะเป็นอ๋อง ไม่ยินยอมก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ แต่เขามาตายไปเช่นนี้ ผู้อื่นจะมองบ้านใหญ่อย่างไร? นี่คือการแสดงความไม่พอใจต่อการตัดสินใจของท่านผู้เฒ่าหรือ? หรือว่าคิดแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำกับนายท่านสามเล่า? สกุลเผยมิใช่ของคนเพียงสกุลเดียว พวกเขามีสามสกุลสาขา พ่อบ้านใหญ่ก่อเรื่องเช่นนี้ ไม่กลัวจะถูกอีกสองสกุลสาขาหัวเราะเยาะรึ? หรือจะบอกว่า บ้านใหญ่ไม่สนใจหน้าตาหรือศักดิ์ศรีแล้ว คิดแต่จะลากนายท่านสามลงจากม้าเพียงอย่างเดียว?”
อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินต่างจ้องหน้ากัน
นี่คือบุตรสาวที่รู้จักแต่การเที่ยวเล่นดื่มกินของพวกเขาใช่ไหม?
ตั้งแต่เมื่อไร ที่บุตรสาวมีความคิดความอ่านเช่นนี้?
อวี้ถังยังไม่รู้ตัว ยังถามบิดาต่อว่า “หรือข้าพูดไม่ถูกต้องเจ้าคะ? ข้ารังเกียจผู้ใหญ่ที่แสวงหาลาภยศโดยไม่สนใจวิธีการอย่างพ่อบ้านใหญ่ที่สุดเลย…สนใจแต่ชื่อเสียงก่อนตายของตน ไม่สนความเป็นตายของผู้อื่น เขามาตายไปเช่นนี้ นายท่านสามย่อมยากจะปฏิเสธความผิด บ้านใหญ่ก็จะถูกคนซุบซิบนินทาเช่นเดียวกัน”
นางกำลังคิดว่านกอีก๋อยสู้กันกับหอย ชาวประมงกลับได้ประโยชน์ไป[1]เช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นแผนที่นายท่านรองคิดออกมาก็ได้
อย่างไรเขาก็เป็นผู้ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
ทว่า อวี้ถังไม่ได้กังวลว่าเผยเยี่ยนจะพ่ายแพ้
ชาติก่อนเขาคือฝ่ายที่คว้าชัย
ที่ต่างไปจากชาติก่อนก็คือ ชาติก่อนนางคิดว่านายท่านสามใช้ชีวิตอย่างราบรื่นสุขสบาย แต่มาในชาตินี้ คิดว่าคงไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
อวี้ถังถอนหายใจ ถามบิดาว่า “ท่านเคยเจอนายท่านรองไหมเจ้าคะ? เขาเป็นคนเช่นไรหรือ?”
เวลานี้นางเริ่มรู้สึกเสียใจที่ชาติก่อนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ของสกุลเผยให้มากหน่อย
อวี้เหวินดึงสติกลับมา ตอบว่า “ข้าต้องเคยเจอนายท่านรองอยู่แล้ว เขาเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว มีความรู้ มีมารยาท นิสัยนุ่มนวลใจกว้าง ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความละเอียดรอบคอบ ทำให้คนรู้สึกเหมือนลมวสันต์พัดผ่าน เป็นวิญญูชนที่ยากจะพานพบ”
นายท่านรองได้คะแนนประเมินสูงเพียงนี้เชียว?
อวี้ถังออกจะแปลกใจอยู่บ้าง!
แค่พอลองมองอีกมุมหนึ่ง บิดานางมองใครล้วนว่าดีไปเสียหมด ขนาดหลู่ซิ่นที่ขายภาพคัดลอกให้เขา หลอกเอาเงินเขาไป เขาก็ยังเลือกที่จะให้อภัยหลู่ซิ่น ทั้งยังไม่โกรธเคืองสักนิด
หากใช้คำพูดของบิดานาง การเคียดแค้นผู้อื่นต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง หากจะต้องโกรธเกลียดใคร มิสู้ไปปีนเขา ไปซื้อพู่กันหูโจว ไปตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ เพื่อให้ตัวเองเบิกบานใจดีกว่า
พอคิดถึงตรงนี้ นางก็นึกไปถึงตราประทับ ‘ชุนสุ่ยถัง’ ที่อยู่บนภาพวาดผืนนั้น
ในเมื่อร่องรอยของตราประทับถูกต้อง เช่นนั้นภาพที่ตกอยู่ในมือนางเมื่อชาติก่อนมีที่มาอย่างไรแน่?
อวี้ถังคิดว่า รอบหน้าตอนที่บิดาไปหาเถ้าแก่ถง นางควรจะรบเร้าขอไปด้วยสักครั้ง แล้วถามเถ้าแก่ถงว่ามีสกุลใดที่แกะตราประทับส่วนตัวว่า ‘ชุนสุ่ยถัง’ หรือไม่
ขณะที่นางครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินคนสกุลเฉินที่ไม่ส่งเสียงสักคำเอ่ยกับบิดาของนางว่า “ฮุ่ยหลี่ ข้าคิดว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล หากว่าพ่อบ้านใหญ่คิดว่าบ้านใหญ่ได้รับความไม่เป็นธรรม ต้องการออกหน้าแทนบ้านใหญ่แล้ว ก็สามารถรอให้จบพิธีแห่ศพของท่านผู้เฒ่าแล้วค่อยไปถามหาความยุติธรรมจากนายท่านสามได้”
อวี้ถึงรู้สึกยินดีกับการที่มารดาคิดได้เช่นนี้มาก
อวี้เหวินหัวเราะขื่น บอกว่า “เรื่องภายในสกุลเผยมีต้นสายปลายเหตุอย่างไร เราเองก็ไม่รู้ ย่อมไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์” เขาบอกเป็นนัยๆ ให้คนสกุลเฉินกับอวี้ถังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก
อวี้ถังรับคำพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง
คนสกุลเฉินก็พยักศีรษะรับ
ครอบครัวอวี้ป๋อมาเยือนถึงเรือน
อวี้เหวินรีบกินข้าวให้เสร็จ คนสกุลเฉินสั่งให้ป้าเฉินกับซวงเถารีบเก็บถ้วยชาม แล้วไปชงชาด้วยตนเอง
ส่วนอวี้ถังนั้นไปช่วยล้างผลไม้
สองบ้านนั่งลงสนทนากัน
อวี้ป๋อสอบถามเรื่องพ่อบ้านใหญ่กับอวี้เหวิน “เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่?”
“รู้แล้ว!” อวี้เหวินเล่าสิ่งที่เขาเข้าใจให้กับพี่ชายฟัง รวมถึงความเห็นเมื่อครู่ที่อวี้ถังมีต่อพ่อบ้านใหญ่ด้วย
อวี้ถังค่อนข้างจะแปลกใจ
นางนึกไม่ถึงว่า ข่าวการแขวนคอตายของพ่อบ้านใหญ่จะกระจายไปเร็วเช่นนี้
ลองคำนวณดูดีๆ พ่อบ้านใหญ่เพิ่งจะตายไปไม่กี่ชั่วยามก่อนนี่เอง
แต่ที่บิดาลึกๆ แล้วก็เห็นด้วยกับคำพูดของนาง นางรู้สึกดีใจนัก จึงแอบยิ้มมุมปากอยู่ข้างๆ
อวี้ป๋อก็คิดเหมือนกับอวี้เหวินก่อนหน้านี้ ล้วนคิดว่าพ่อบ้านใหญ่เป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ แต่พอได้ยินสิ่งที่อวี้เหวินเล่า เขาก็รู้สึกว่าวิธีการของพ่อบ้านใหญ่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่เขามาที่นี่ด้วยสาเหตุอื่น จึงเอ่ยกับน้องชายอย่างทอดถอนใจว่า “อาตี้[2] เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครรับช่วงต่องานของพ่อบ้านใหญ่?”
อวี้เหวินแต่ไรก็ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เขาลังเลก่อนตอบว่า “มิใช่พ่อบ้านสามหรอกรึ?”
“ข้าได้ยินมาว่าไม่ใช่” อวี้ป๋อเอ่ยอย่างกังวล “ฟังว่าคนที่มารับงานต่อจากพ่อบ้านใหญ่ไม่ใช่พ่อบ้านอีกสองคน ทั้งไม่ใช่หนึ่งในเจ็ดของผู้ดูแล แต่กลับเป็นอีกคนที่ชื่อเผยหม่าน ข้าไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน หลายวันนี้เจ้าช่วยงานอยู่ที่จวนสกุลเผย เคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูบ้างหรือไม่?”
“ไม่เคยเลย!” อวี้เหวินประหลาดใจ เอ่ยว่า “สกุลเผยหรือ ทั้งยังทำงานเป็นบ่าวรับใช้ ไม่มีทางเป็นพี่น้องกับสกุลเผยแน่ เช่นนั้นก็ต้องได้รับแต่งตั้งสกุลใหม่ การได้รับแต่งตั้งสกุล ย่อมเป็นบ่าวรับใช้ที่โดดเด่นอย่างมาก ทว่าสกุลเผยก็อยู่ร่วมเมืองเดียวกับพวกเรา หากมีคนที่โดดเด่นเช่นนี้จริง ต่อให้ไม่เคยเห็นหน้าก็สมควรจะได้ยินชื่อเสียงผ่านหู แต่เผยหม่านผู้นี้อยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมา ทั้งได้ขึ้นเป็นพ่อบ้านใหญ่ในทันที…”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” อวี้ป๋อเอ่ยอย่างหมดหวัง “นึกว่าข้าเป็นเพียงพ่อค้า ไม่ได้ไปมาหาสู่กับสกุลเผย ถึงได้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน!”
อวี้เหวินบอกว่า “เจ้าอยากรู้เรื่องนี้ทำไม? ก่อนหน้านี้เรื่องสร้างร้านค้าใหม่มิใช่ว่านายท่านสามรับปากแล้วรึ? ตอนนี้เขาเป็นผู้นำสกุล ยิ่งไม่มีทางที่จะกลับคำแน่”
อวี้ป๋อเกาศีรษะ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนี้ ข้ากำลังคิดว่าถ้าเผยหม่านขึ้นเป็นพ่อบ้านใหญ่ ข้าต้องไปแสดงความยินดีอย่างไร หากรู้ข่าวจากเจ้าทางนี้สักหน่อย ถึงเวลานั้นก็ยังพูดคุยกับเขาได้สักหลายประโยค หากว่าเจ้าไม่รู้ วันนี้คงจัดการอะไรได้ยากแล้ว พวกแม่แบบลวดลายที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ก็ถูกเหมาไปหมด ข้าก็คิดอยู่ว่า หากสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ พวกเราจะเปลี่ยนไปค้าขายอย่างอื่นดีหรือไม่?”
อวี้เหวินพลันชะงักวาจาที่อยากพูด
อวี้ถังรู้สึกว่าญาติผู้พี่ของนางทำการค้าเก่งกว่าท่านลุงใหญ่ จึงตัดสินใจช่วยญาติผู้พี่อีกแรง นางอาศัยว่าตนยังเป็นแม่นางน้อย บิดามารดาทั้งท่านลุงใหญ่ป้าสะใภ้ก็ตามใจนักหนา จึงสอดปากไปว่า “ท่านลุงใหญ่บอกว่ายากจะทำการค้า หากว่าเราเปลี่ยนเป็นสินค้าอื่น ไม่สู้ให้ท่านพี่อวี้หย่วนออกไปสำรวจข้างนอกดู ท่านพี่ได้รับการสั่งสอนจากท่านลุงใหญ่โดยตรง ย่อมจะได้อะไรกลับมาแน่ๆ เจ้าค่ะ”
อวี้ป๋อเห็นว่าหลานสาวประจบเอาใจตน ก็อ้าปากหัวเราะเสียงดัง อารมณ์เบิกบานเป็นที่สุด แล้วโบกมือไปมาเอ่ยว่า “ก็ได้! อย่างไรช่วงนี้ข้าก็มัวแต่ยุ่งเรื่องสร้างร้านค้า ให้ท่านพี่เจ้าไปสำรวจที่หังโจวสักหลายวัน ดูว่าผู้อื่นทำมาค้าขายอย่างไร”
เขาไม่รู้สึกว่าอวี้หย่วนจะมีความคิดดีๆ อะไรได้
อวี้หย่วนเป็นบุรุษ อวี้ป๋อจึงค่อนข้างเข้มงวดกับเขา เขาเองก็ค่อนข้างเป็นคนมีระเบียบรู้กฎเกณฑ์ ตอนที่ผู้ใหญ่คุยกันก็ไม่กล้าพูดแทรก
เขาถลึงตาใส่อวี้ถังทีหนึ่ง ก่อนจะคล้อยตามอย่างยินดีว่า “ขอรับ”
อวี้ป๋อกับอวี้ถังคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อ อวี้หย่วนหาจังหวะพาอวี้ถังลุกออกมา แล้วขู่นางว่า “ถ้าเจ้าพูดจาเช่นนี้อีก ตอนที่ข้าไปหังโจวจะไม่ซื้อหวีสางกับไม้คาดผมมาให้เจ้า พวกเราสกุลอวี้สืบทอดเครื่องลงรักมาจากบรรพบุรุษ จะพูดว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนกิจการได้ง่ายๆ อย่างไร? อีกอย่างแต่ละงานแต่ละสาขาล้วนต้องมีเคล็ดลับเฉพาะตัว ไม่ใช่เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ที่ไปสำรวจดูเรื่อยเปื่อยก็จะเชี่ยวชาญได้”
อวี้ถังไม่มีความรู้เรื่องค้าขายสักกระผีก แต่นางรู้อย่างหนึ่งว่า หากต้องการทำเรื่องดีๆ ก็ต้องเป็นคนดีให้ได้ก่อน หากอยากเป็นคนดี ก็ต้องมีสายตาเฉียบคมและแบบแผน หากอยากมีสายตาเฉียบคมและแบบแผนก็ต้องออกไปสัมผัสเรื่องราว บ้านเมือง ผู้คน ไปดูไปฟังให้มากๆ เข้าไว้
“ท่านพี่ ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้กำลังทำเรื่องเหลวไหลอยู่หรอก” นางยิ้มตาหยีแล้วอธิบายให้อวี้หย่วนฟังว่า “ต่อให้ท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีของท่านลุงใหญ่ แต่ท่านก็คัดค้านไม่ได้ แล้วอย่างท่านที่ไม่ยินยอมจะทำเรื่องใดๆ ข้างกายท่านลุงใหญ่ มิสู้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกโน่น…ดูว่าร้านค้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้าเขาดูแลต้อนรับแขกอย่างไรก็ยังดีนะเจ้าคะ”
หัวใจของอวี้หย่วนพลันสั่นไหว
อวี้ถังพูดต่อว่า “ท่านพี่ ข้าช่วยสมทบทุนให้ท่านห้าตำลึงเลย”
อวี้หย่วนเคาะลงศีรษะของอวี้ถัง พูดว่า “เงินเท่านี้ของเจ้า มากพอจะซื้อซาลาเปาเกลียวไหมได้สองสามลูกเท่านั้น ยังคิดจะมาสมทบทุนให้ข้า”
“ท่านพี่ ท่านไม่ควรดูถูกผู้อื่นเช่นนี้!”
สองพี่น้องเริ่มทะเลาะกันวุ่นวาย
กระทั่งส่งครอบครัวท่านลุงใหญ่กลับไป อวี้ถังก็เตรียมตัวต้อนรับเรื่องที่หม่าซิ่วเหนียงจะมาเป็นแขกที่เรือน เพราะเรื่องนี้อวี้เหวินถึงได้ตั้งใจไปสั่งทำน้ำแข็งที่ตลาดเอาไว้เป็นพิเศษ กำชับอาเสาว่ารอให้หม่าซิ่วเหนียงมาถึงก่อนค่อยไปรับของที่ร้าน
หม่าซิ่วเหนียงได้ทานเฉาก๊วยในน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาใส่น้ำแข็ง ก็อิจฉาจนดวงตาพราวระยับ เอนตัวพิงตั่งไม้ที่ปูรองด้วยเสื่อไม้ไผ่ เคี้ยวน้ำแข็งเสียงดังกร้วมๆ แล้วพูดเสียงไม่เต็มปากว่า “อาถัง…อร่อยนัก…เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้ารับน้องรองข้าเป็นเขยชายเถอะ…ถึงแม้ปีนี้เขาจะอายุแค่แปดขวบ แต่ถ้าเลี้ยงเอาไว้ตั้งแต่เล็กๆ จะต้องเชื่อฟังเจ้าแน่…”
อวี้ถังเองก็ไม่ได้กินเฉาก๊วยในน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาใส่น้ำแข็งมานานแล้ว
แต่ก่อนตอนที่ยังไม่ออกเรือน คนสกุลเฉินไม่ยอมให้นางกิน กลัวว่าจะทำให้ท้องเย็น ต่อมาเมื่อแต่งเข้าสกุลหลี่ เพราะคนสกุลหลินคิดทรมานนาง ใครๆ ต่างก็ได้กิน มีแต่นางที่ไม่ได้กิน
นางใช้ช้อนตักน้ำแข็งคำใหญ่เข้าปากอย่างมีความสุข ส่งเสียง ‘เหอะ’ ใส่หม่าซิ่วเหนียงทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าไม่ช่วยเจ้าเลี้ยงน้องหรอกนะ ครอบครัวข้าต้องการเขยชาย ย่อมต้องหาเขยชายที่ทำมาค้าขายเป็น ไม่เอาพวกที่มัวแต่อ่านหนังสือหรอก!”
“เพราะเหตุใดเล่า?” หม่าซิ่วเหนียงถามอย่างสงสัย “ซิ่วไฉไม่ต้องจ่ายภาษี ทั้งได้รับการยกย่องนับถือ”
อวี้ถังเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “คนที่อ่านออกเขียนได้ที่ไหนจะยอมแต่งเข้าบ้านภรรยาเล่า อย่างไรเสียสกุลข้าก็มีท่านพ่อเป็นซิ่วไฉอยู่แล้ว ต้องหาคนที่ดูแลกิจการได้สิ ให้ฐานรากของครอบครัวมั่นคงยิ่งขึ้น ต่อไปจะได้ส่งเสริมให้ลูกหลานเล่าเรียนเขียนอ่าน”
“ฮี่ฮี่ฮี่!” หม่าซิ่วเหนียงปิดปากหัวเราะ พลางพูดว่า “ที่แท้เจ้าคิดจะให้บุตรชายของเจ้าไขว่คว้าบรรดาศักดิ์พระราชทาน[3]ให้เจ้ารึ!”
เมื่อเด็กสาวอยู่ด้วยกันมักพูดจาเลอะเทอะไปทั่ว แต่กับหม่าซิ่วเหนียงผู้นี้ มักทำให้คนรู้สึกขัดเขินยิ่ง
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร!” อวี้ถังวางชามลงแล้วจี้ที่รักแร้ของหม่าซิ่วเหนียง “ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่รอให้เขยชายคว้าบรรดาศักดิ์พระราชทานให้!”
หม่าซิ่วเหนียงร้องโอ๊ยๆ แล้ววิ่งหนีจากตั่งไม้ไปที่หน้าประตู
อวี้ถังพลันชะงักมือ หันไปมองไผ่เซียงเฟยที่อยู่นอกหน้าต่าง แล้วขมวดคิ้ว
“มีอะไรรึ?” หม่าซิ่วเหนียงหมุนตัว แล้วหันไปมองตาม
ด้านนอกหน้าต่าง ป้าเฉินกำลังพาสาวรับใช้ของนายหญิงทังเดินไปทางเรือนหลักของคนสกุลเฉิน
“นางมาทำอะไร?” หม่าซิ่วเหนียงย้ายมายืนข้างอวี้ถัง พูดเป็นทำนองเดียดฉันท์ว่า “คนผู้นี้ ชอบแต่ประจบเอาใจผู้มีอำนาจ หากไม่มีเรื่องอะไรไม่มีทางมาถึงที่นี่แน่”
————————————————————-
[1] นกอีก๋อยสู้กันกับหอย ชายประมงกลับได้ประโยชน์ไป หมายถึง สองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่กลับให้ฝ่ายที่สามกอบโกยผลประโยชน์ไป
[2]อาตี้ เป็นภาษาจีน มาจากคำว่า ตี้ตี้ แปลว่าน้องชาย
[3]บรรดาศักดิ์พระราชทาน คือ บรรดาภรรยาหรือมารดาของขุนนางที่มียศศักดิ์ โดยจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตามลำดับขั้น ยิ่งขุนนางผู้นั้นมียศสูงเท่าไร จำนวนคนในสกุลก็จะได้พระราชทานบรรดาศักดิ์มากตามไปด้วย