ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 195 แย่งสมบัติ
อวี้ถังกล้าตบตาเผยเยี่ยน แต่ละอายแก่ใจเกินกว่าจะทำมันต่อหน้าท่านแม่เฒ่า
ส่วนเรื่องวันสรงน้ำพระที่วัดเจาหมิงต้องจัดการอย่างไร สกุลเผยมีผู้ดูแลตั้งหลายคน นางเชื่อว่าก่อนวันสรงน้ำพระสักหลายวัน ย่อมมีคนมาแจ้งกำหนดการกับนางแน่ นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจะรู้วันนี้อยู่แล้ว
ท่านแม่เฒ่าไม่พูด นางก็ไม่จำเป็นต้องถาม
อวี้ถังยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “คุณหนูสามกับคุณหนูห้าให้ข้าช่วยคนของอารามดับทุกข์เรียนรู้การทำธูปหอมไปพร้อมกับพวกนางเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ตัวเองก็เป็นคนเสนอขึ้นมา ไม่ควรทิ้งไปอยู่แล้ว จึงได้ตอบตกลงไป ภายหลังมารู้ว่าท่านให้พวกนางรับผิดชอบดูแลอยู่แล้ว คิดว่าควรมาแจ้งต่อท่านสักหน่อย เกี่ยวกับการถวายและดูแลตำรับเครื่องหอมในวันสรงน้ำพระ ก็อยากจะคุยกับท่านด้วย ขอท่านช่วยพวกเราตรวจสอบอีกครั้ง ว่าพวกเราทำถูกต้องแล้วหรือไม่”
พูดอีกอย่างก็คือ พวกนางมีแผนการเสร็จสรรพแล้ว
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยรู้จักหลานๆ ไม่กี่คนของตนเองเป็นอย่างดี
เจ้าสองช่วงนี้ก็มัวแต่วุ่นวายเรื่องสินเดิม งานแต่งของเจ้าสามก็เริ่มหารือและกำหนดวันแล้ว เด็กทั้งสองคงไม่มีกะใจคิดถึงเรื่องพวกนี้ เจ้าสี่กับเจ้าห้าก็ยังอายุน้อย ยังไม่รู้เรื่องรู้ความ คนข้างกายนางยังดูแลไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของอารามดับทุกข์
คนที่คิดวางแผน ย่อมเป็นอวี้ถังแน่นอน
แต่ก่อนท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเพียงรู้สึกว่านางสุขุม นุ่มนวล ใจกว้าง รู้จักอ่านสถานการณ์โดยรวม คิดไม่ถึงว่านางจะแบกรับเรื่องอื่นเป็น จึงอดจะยืดตัวนั่งตรงแล้วมองนางอย่างใคร่รู้ไม่ได้ เอ่ยด้วยสีหน้าเมตตาและน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าลองว่ามาสิ พวกเจ้าเตรียมจะจัดการอย่างไร?”
อวี้ถังเล่าเรื่องที่จะยืมตัวเถ้าแก่ถงน้อยกับขอคนให้มาช่วยทำธูปหอมแก่ท่านแม่เฒ่าฟัง
จากสถานการณ์ของพวกนาง หากไปเชิญช่างฝีมือสอนทำธูปหอมมานับว่าแก้ไขปัญหาได้แล้ว ท่านแม่เฒ่าคิดว่าหากเปลี่ยนเป็นนาง นางก็จะทำแบบนี้ เสียดายที่ผู้ดูแลและคนที่จะยืมตัวไปเป็นเถ้าแก่น้อยถง เรื่องนี้ทำให้หัวใจของท่านแม่เฒ่าอดจะกระเพื่อมไม่ได้
เมื่อคนนอกมองสกุลถง อาจคิดเพียงว่าสกุลถงเป็นคนเก่าแก่ของสกุลเผย ภักดีซื่อสัตย์ ทั้งยังมีหน้ามีตาต่อสกุลผู้เป็นนาย ทว่าคนของสกุลเผยต่างรู้ดี เถ้าแก่ใหญ่ถงคือคนที่ท่านปู่ของเผยเยี่ยนทิ้งเอาไว้ให้ท่านผู้เฒ่า ตอนที่เถ้าแก่ใหญ่ถงยังหนุ่ม เคยรับใช้ฝนหมึกให้ท่านผู้เฒ่ามาก่อน ภายหลังแม้จะถูกปล่อยตัวให้ออกไปเป็นเถ้าแก่ใหญ่ แต่ก็ยังคอยดูแลเงินส่วนตัวให้ท่านผู้เฒ่าเสมอ ต่อมาเมื่อท่านผู้เฒ่าสิ้นลม เถ้าแก่ใหญ่ถงก็เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาสนับสนุนเผยเยี่ยน ทั้งยังช่วยเผยเยี่ยนตรวจสอบทรัพย์สินที่อยู่ข้างนอกอย่างละเอียดหมดจด สำหรับเผยเยี่ยนแล้ว เถ้าแก่ใหญ่ถงเป็นคนที่มีค่าให้เขาเคารพและเชื่อใจที่สุดในบรรดาผู้ดูแลทั้งหมด เขาถึงขั้นจะผลักดันเถ้าแก่น้อยถง ให้เถ้าแก่น้อยถงไปควบคุมกิจการร้านค้าของสกุลเผยที่เมืองหลวงด้วย
คนเช่นนี้ เขากลับยื่นให้อวี้ถังหยิบยืม ให้เถ้าแก่น้อยถงติดตามทำเรื่องไร้สาระกับเหล่าสตรีในสกุลเผย…
ท่านแม่เฒ่าประเมินอวี้ถังอย่างละเอียดทีหนึ่ง
ดวงหน้าขาว แววตากระจ่าง ริมฝีปากแดงฉ่ำ เหมือนดอกหลันฮวาที่ผลิดอกออกกิ่งตอนเดือนสาม แม้เสื้อผ้าจะสามัญ ทั้งบางส่วนยังเปรอะฝุ่นด้วยเร่งร้อนเดินทาง ทว่ายังคงงดงามดั่งตะวันในหน้าร้อน นางนั่งอย่างสงบอยู่ตรงนั้น ก็ทำให้ห้องสว่างสดใสขึ้นหลายส่วนแล้ว
ช่างเป็นโฉมสะคราญโดยแท้
แต่เผยเยี่ยนมิใช่คนประเภทที่จะถูกความงามล่อลวงได้ ไม่เช่นนั้นอายุปาไปขนาดนี้ ในห้องหอจะไร้เงาคนได้อย่างไร?
ถ้าอย่างนั้นคุณหนูอวี้อาศัยสิ่งใดทำให้เผยเยี่ยนหวั่นไหว จนเผยเยี่ยนต้องคอยหนุนหลังให้พวกนางเล่นสนุกอย่างเรื่องงานทำบุญนี้?
ท่านแม่เฒ่าครุ่นคิดอยู่ในใจ
อวี้ถังไม่ได้คิดมากปานนั้น นางรู้สึกว่าที่ท่านแม่เฒ่าซักไซ้นางเป็นเรื่องปกติ…ผู้อาวุโสคนใดจะไม่สนใจสหายของบุตรหลานตัวเองบ้าง หากว่าไปคบกับคนที่คุณธรรมต่ำช้า ถูกชักนำไปในทางที่ไม่ดีเข้า ถึงเวลานั้นต่อให้ร้องไห้ฟูมฟายก็เอาอะไรคืนมาไม่ได้แล้ว
นางตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ท่านแม่เฒ่าคิดว่าเช่นนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ท่านแม่เฒ่าหยุดคิดครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงขรึมว่า “เถ้าแก่น้อยถงไม่เลวอยู่จริงๆ แต่ว่า เหตุใดพวกเจ้าถึงคิดไปถึงขั้นยืมตัวเถ้าแก่น้อยถงเล่า? ข้าอยากจะรู้นัก”
ในใจอวี้ถังเกิดความฉงน
นางรู้สึกว่าวันนี้คำพูดของท่านแม่เฒ่ามีมากกว่าปกติ คล้ายกำลังอธิบายว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น แต่นางเป็นถึงท่านแม่เฒ่าแห่งสกุลเผย เดิมก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้!
อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป ยังคงส่งยิ้มอย่างเปิดเผยแล้วตอบว่า “เป็นข้าไปขอร้องกับนายท่านสามเจ้าค่ะ…ในบรรดาเถ้าแก่ของสกุลเผย ข้ารู้จักอยู่แค่เถ้าแก่สกุลถงไม่กี่คนเท่านั้น คนอื่นข้าไม่ค่อยจะคุ้นเคย ทั้งไม่รู้ว่าเป็นคนอย่างไรด้วย ถึงได้ขอยืมตัวท่านแก่น้อยถงกับนายท่านสามเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา
คนบางคน ก็แค่โชคดีเท่านั้นเอง
บางครา นางคิดแผนซ่อนเร้น แต่กลับสู้คนที่มีโชคมิได้
ไม่แน่อวี้ถังอาจเป็นคุณหนูที่มีวาสนาดีเช่นนี้เอง
ท่านแม่เฒ่าไม่ใคร่ครวญอีกต่อไป นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เลือกคนได้ดี” จากนั้นก็สอนนางเกี่ยวกับการใช้งานคนว่า “จะทำงานใด ต้องใช้ให้ถูกคน คนเลือกถูกแล้ว จะทำงานอะไรล้วนสำเร็จไปกว่าครึ่ง หากว่าเลือกคนไม่ถูก ไม่ว่าทำงานอะไรล้วนขี้ขลาดกังวลไปหมด งานของพวกเรา บางครั้งก็คือการเลือกคนให้ถูกนั่นเอง”
อวี้ถังรับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีของท่านแม่เฒ่า จึงได้ประสานมือฟังอย่างนอบน้อม
นับว่าเป็นผู้ปราดเปรื่องผู้หนึ่ง
ท่านแม่เฒ่าพอใจมาก ทั้งชี้แนะนางให้บอกเถ้าแก่น้อยถงไปหาคนทำธูปก้านยาวและธูปกำยานขด “เรื่องนี้จะว่าไปก็เหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน ในเมื่อเขารับงานไป เรื่องพวกนี้ก็มอบให้เขาไปจัดการด้วยเสีย เขารู้จักผู้คนมากกว่าพวกเจ้า หากว่าเขามีอุปสรรค ยังสามารถไปขอให้เถ้าแก่คนอื่นๆ ช่วยเหลือได้ ดีกว่าพวกเจ้าไปมอบหมายให้หูซิ่งทำ หูซิ่งแต่ไรก็วิ่งเต้นอยู่แต่ในเมืองหลินอัน สู้สกุลถงมิได้ ลุงน้าพี่น้องหลายคนของเขาเป็นเถ้าแก่กระจายอยู่ทั่วทุกที่”
อวี้ถังรีบยืดกายแล้วคารวะ นางคุยเรื่องสัพเพเหระกับท่านแม่เฒ่าอีกหลายประโยค จนมีสาวใช้เข้ามารายงานว่านายหญิงใหญ่มาขอพบ นางจึงลุกขึ้นเพื่อบอกลา
ท่านแม่เฒ่าไม่ได้รั้งนาง ให้จี้ต้าเหนียงออกมาส่งที่ประตู
ตอนที่ออกจากประตู นางก็เจอกับนายหญิงใหญ่เข้าพอดี
อวี้ถังจะคารวะให้นายหญิงใหญ่ แต่ใครจะคิดว่านายหญิงใหญ่ดวงหน้าเขียวคล้ำ สายตาไม่เหลือบมามองอวี้ถังกับจี้ต้าเหนียงสักแวบ มีสาวใช้และหญิงรับใช้รุมล้อม ก่อนจะเดินสวนไหล่นางไป
จี้ต้าเหนียงทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ แล้วคารวะอวี้ถังเป็นเชิงขอขมาว่า “ช่วงนี้นายหญิงใหญ่มัวแต่ยุ่งเรื่องงานมงคลของคุณชายใหญ่จนหัวหมุนไปหมด ขอคุณหนูอวี้อย่าเก็บไปใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
เห็นๆ อยู่ว่ากำลังเลือดขึ้นหน้า อวี้ถังย่อมไม่เก็บมาเป็นอารมณ์อยู่แล้ว แต่นางก็ข่มความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว กระซิบถามจี้ต้าเหนียงว่า “ช่วงนี้นายหญิงใหญ่เป็นเช่นนี้ประจำหรือ?”
จี้ต้าเหนียงกวาดตามองรอบด้านเห็นว่าไร้คน จึงนินทาให้นางฟังเสียงเบาว่า “ใช่สิเจ้าคะ! ก่อนหน้านี้มิใช่อาศัยอยู่ที่คฤหาสน์นอกเมืองหรือ? ให้นางกลับมาฉลองวันปีใหม่นางก็ไม่ยอมมา ภายหลังไม่รู้ว่าอย่างไร พอท่านลุงสกุลหยางกลับมา นางก็ลงจากเขาทันที จากนั้นก็เอาแต่มึนตึงเรื่องงานแต่งของคุณชายใหญ่กับท่านแม่เฒ่าและนายท่านสาม หากมิใช่ใกล้ถึงวันครบรอบวันตายท่านผู้เฒ่าแล้ว ท่านแม่เฒ่ามีหรือจะยอมทนนาง!”
ไม่แน่อาจเพราะว่าใกล้จะถึงวันครบรอบวันตายของท่านผู้เฒ่า นายหญิงใหญ่ถึงได้ก่อเรื่องขึ้นแบบนี้!
อวี้ถังคาดเดาในแง่ร้าย ทั้งไม่เข้าใจว่างานมงคลของคุณชายใหญ่มีอะไรให้น่าเดือดดาลกัน
จี้ต้าเหนียงมองนางทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “มิแปลกถ้าคุณหนูอวี้จะไม่รู้ สกุลใหญ่นั้นไม่มีสมบัติส่วนตัว ทั้งตอนที่แต่งงานแล้วหากจะซื้อเครื่องประดับผมหรือข้าวของอื่นๆ ให้ภรรยาก็ไม่อาจรอเงินแบ่งสรรในแต่ละเดือนหรือยื่นมือขอเงินจากผู้เฒ่าในสกุลได้ ตอนที่แต่งออกไป ปกติมักจะมอบทรัพย์สินบางอย่างให้ลูกหลาน ให้พวกเขามีรายได้ไว้จับจ่ายแป้งผัดหน้าชาดทาปาก หมึกพู่กันหรือกระดาษเป็นต้น นายหญิงใหญ่ทะเลาะกับท่านแม่เฒ่าก็เพราะเรื่องนี้เจ้าค่ะ! บอกว่าคุณชายใหญ่เป็นหลานคนโตของสกุล แม้ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดที่นาปลอดภาษี แต่จะได้เท่ากับคุณชายของบ้านอื่นมิได้ ที่มอบร้านค้าไม่กี่ห้องให้ก็นับว่าจบเรื่องแล้ว” นางพูดถึงตรงนี้ ก็สอดส่ายสายตาไปรอบๆ อีกทีอย่างระแวดระวัง แล้วเอ่ยข้างหูอวี้ถังด้วยเสียงที่เบาลงว่า “เฉินต้าเหนียงบอกว่า นายหญิงใหญ่คิดจะฮุบสินเดิมของท่านแม่เฒ่าเจ้าค่ะ!”
อวี้ถังสะดุ้งเฮือก
จี้ต้าเหนียงนึกว่านางไม่เชื่อ “จริงเจ้าค่ะ! เฉินต้าเหนียงเป็นคนบอกข้าเอง” พูดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจยาวเหยียด “ตอนท่านแม่เฒ่าแต่งเข้ามา ขบวนหีบกล่องแดงยาวเป็นสิบลี้ สินเดิมมิใช่น้อยๆ ทั้งท่านผู้เฒ่าคล้ายรู้ตัวว่าตนจะจากไปก่อนท่านแม่เฒ่า หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเสียไป คนในสกุลถึงเพิ่งรู้ว่าท่านผู้เฒ่าได้โอนทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อตนให้เป็นของท่านแม่เฒ่าทั้งหมด นายท่านทั้งสามคนไม่มีใครได้อะไรไปสักแดงเดียว”
“ฮะ?” อวี้ถังเบิกตาโต
ทำไมถึงไม่แบ่งให้บุตรชายตนเองล่ะ?
หรือกลัวว่าหากตนจากไปแล้ว เหล่าบุตรชายจะอกตัญญูต่อท่านแม่เฒ่า? หรือคิดว่าบุตรชายทั้งสามไม่มีดีเลยสักคน?
จะพูดอย่างนี้ก็ไม่สมเหตุสมผล!
อวี้ถังขมวดคิ้วจนย่น
จี้ต้าเหนียงซุบซิบไม่หยุดว่า “ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่เงินทองก็ไม่ต่ำกว่าแสนตำลึงแล้ว ทั้งฝากไว้ที่หอเครื่องเงินของสกุลเผย หลังจากท่านผู้เฒ่าสิ้นไป เถ้าแก่ใหญ่ร้านเครื่องเงินยังกลัวว่าท่านแม่เฒ่าจะเอาเงินที่ฝากไว้โยกไปที่อื่น ไม่รอให้ฝังศพท่านผู้เฒ่าเรียบร้อยก็คอยวนเวียนอยู่รอบกายท่านแม่เฒ่าตลอด กระทั่งได้รับคำมั่นจากท่านแม่เฒ่า บอกว่ายังคงฝากเงินไว้ที่หอเครื่องเงินของเขาตามเดิม เถ้าแก่ผู้นั้นก็ยังไม่ยอมวางใจอีก มาเกาะอยู่ที่จวนนานเกือบเดือนได้ ท่านว่า ผู้ที่ได้ข้องเกี่ยวกับแม่เฒ่าใครบ้างจะไม่ใจสั่นล่ะเจ้าคะ!”
“นั่นสินะ!” อวี้ถังยังคงคิดเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าจัดการเอาไว้ ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว “เงินตั้งมากมายเพียงนั้น!”
“เจ้าค่ะ!” จี้ต้าเหนียงส่ายหน้า “แต่ทิ้งเงินไว้มากขนาดนั้นแล้วมีประโยชน์อันใดล่ะเจ้าคะ? ข้าคิดว่า ท่านแม่เฒ่ายอมที่จะไม่รับเงินนั่น แลกกับการไม่ต้องเสียท่านผู้เฒ่าไป”
ถูกต้อง ใครอยากจะเสียคู่ชีวิตไปยามแก่เฒ่า ทั้งได้ยินว่าท่านผู้เฒ่ากับท่านแม่เฒ่ามีความรักที่ลึกซึ้งต่อกันมาก
อวี้ถังพลันรู้สึกเศร้าใจ
คนทั้งสองต่างเงียบงัน กำลังจะแยกกันที่หน้าประตู เผยเยี่ยนก็กลับมาพอดี
พอเห็นรถม้าของคนผู้นั้น ทุกคนต่างก็แตกตื่นตกใจ ประตูข้างที่เคยเงียบสงบกลับโกลาหลโดยพลัน
เผยเยี่ยนลงจากรถม้าก็เดินพุ่งหาอวี้ถังทันที “ทำไม? จะกลับแล้วอย่างนั้นรึ? เจอท่านแม่เฒ่าแล้วสิ? ท่านแม่เฒ่าว่าอย่างไรบ้างล่ะ?” เขาพูดด้วยสีหน้าคล้ายจะหารือ
เผยชีผู้ติดรถมาด้วยกลอกตาขวับ เอ่ยแทรกอย่างเกินหน้าที่ว่า “นายท่านสาม หลายวันนี้ท่านไม่ค่อยได้กินอิ่มนอนหลับ มีเรื่องอะไรเข้าไปพูดกันข้างในเถอะขอรับ!” พูดจบ สายตาก็ไปตกอยู่ที่ร่างของอวี้ถัง “คุณหนูอวี้” พร้อมกับทำมือบุ้ยใบ้บอกนาง
แต่อวี้ถังมองเผยเยี่ยนแล้วเห็นว่าสีหน้าผ่องใส ดวงตาสองข้างใสกระจ่าง หลังยืดตรงอย่างองอาจ ไร้ซึ่งท่าทางอ่อนล้าโดยสิ้นเชิง
นางลอบยิ้มเยาะในใจ
เผยชีผู้นี้ เป็นผู้มากเล่ห์อีกคนหนึ่ง
จี้ต้าเหนียงอ้าปากค้างหุบไม่ลงอยู่พักใหญ่ เห็นว่าเผยชีเชิญอวี้ถังย้อนกลับเข้าจวนสกุลเผยอีกครั้ง ถึงเรียกสติกลับมาได้ รีบเข้าไปพยุงอวี้ถังแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูอวี้ เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ”
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ทว่าในใจนางก็ยังสับสน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
นายท่านสามมิใช่ไปดูงานซ่อมทางรึ? ทำไมถึงกลับมาเวลานี้?
ชายหญิงมิอาจใกล้ชิด ในเมื่อจะเชิญอวี้ถังเข้าจวน เหตุใดไม่เรียกใช้ชิงหยวนหรือเยี่ยนชิง? ตอนที่เผยชีเชื้อเชิญอวี้ถัง นายท่ามสามทำไมไม่ห้ามปรามไว้?
นางเดินยกเท้าสูงบ้างต่ำบ้างเข้าไปในสวนป่าเป็นเพื่อนอวี้ถัง
——————————-