ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 201 แข็งแกร่ง
อวี้ถังก็ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่อย่างนั้นชาติก่อนหลังจากที่นางรู้ว่าสกุลหลี่คิดร้ายต่อนาง รู้ทั้งรู้ว่าฐานะและกำลังแตกต่างกันขนาดนั้น นางก็คงไม่หาวิธีหนีออกมาจากสกุลหลี่ วางแผนว่าจะแก้แค้นให้พ่อแม่พี่ชายได้หรอก
คำพูดของเผยเยี่ยนคล้ายกับเปลวไฟ ปลุกปั่นใจนางขึ้นมาทันที
นางกำหมัดแน่น ถลึงตาใส่เผยเยี่ยน “เจ้าอย่าได้ดูถูกคนนัก!”
ยามที่อวี้ถังพูดคำนี้ เนื่องจากฮึกเหิมขึ้นมา แก้มทั้งสองจึงเลือดฝาด แววตาวาบวาว จากดอกหลันฮวาที่นุ่มนวลกลายเป็นดอกตู้จวินสีร้อนแรง
เผยเยี่ยนคิดว่าอวี้ถังที่เป็นเช่นนี้งดงามยิ่งกว่า
เขาพยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยว่า “นี่ค่อยใช้ได้หน่อย…ข้าไม่ชอบช่วยเหลือพวกที่ยังไม่ทันเริ่มเรื่องอะไรก็ขี้ขลาดตาขาวไปก่อน! ใต้หล้าแห่งนี้มีเรื่องที่ลำบากมากมาย หากความกล้าที่จะลองยังไม่มี จะต้องพูดเรื่องความสำเร็จอะไรอีก! เจ้าควรจะคิดเช่นนี้! เอาเถิด เรื่องนี้ก็ตัดสินเช่นนี้แหละ ภายหลังสินค้าในร้านของสกุลเจ้าก็ยึดลายดอกเป็นหลัก ข้าคิดว่า ทางที่ดีที่สุดควรมีลายดอกอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลัก ให้ทุกคนพอนึกถึงดอกชนิดนี้ ก็นึกถึงเครื่องลงรักของสกุลพวกเจ้าขึ้นมา…” ขณะที่เขาพูด ก็เดินไปหยุดหน้าชั้นหนังสือทางตะวันตก เริ่มพลิกหน้าหนังสือขึ้นมา
อวี้ถังตาโตเป็นไข่ห่าน
เรื่องในร้านค้าสกุลพวกนางก็จบลงเช่นนี้แล้วรึ?
ไม่ปรึกษากับลุงใหญ่ บิดาและญาติผู้พี่ของนางเสียหน่อยหรือ?
เร่งรีบเกินไปแล้วกระมัง?
หากวิธีนี้ไม่ได้ผลล่ะ?
อวี้ถังมองแผ่นหลังของเผยเยี่ยนที่ปกคลุมด้วยเสื้อคลุมเนื้อหยาบสีขาว ทว่ากลับเผยความองอาจสง่างาม ชั่วขณะนั้นก็ตกสู่สถานการณ์ลำบากทั้งสองทาง
หากนางไม่ทำตามความคิดของเผยเยี่ยน จากนิสัย ‘ผู้ที่ฉลาดอันดับหนึ่งของใต้หล้า’ อย่างเขาแล้ว ย่อมคิดว่านางไม่เชื่อใจเขา รู้สึกว่าตัวเองทำคุณเสียเปล่า จะกลับกลายเป็นโมโหแทน ถึงเวลานั้นก็คงไม่สนใจปัญหาของนาง ทั้งอาจจะตัดความสัมพันธ์กับนางเสียด้วยซ้ำ
หากนางทำตามเขา แม้เผยเยี่ยนจะนับว่าเป็นคนฉลาดอันดับหนึ่งของใต้หล้า แต่เรียนหนังสือและการค้าแทบเป็นคนละเรื่อง หากวิธีของเขาใช้ไม่ได้ล่ะ?
หรือนางต้องเอาทรัพย์สินของบรรพบุรุษไปพนันกับเผยเยี่ยนอย่างนั้นรึ?
ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็นั่งไม่ติดที่ ใบหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีด อยากให้ยามนี้มีเงินสักเหรียญในมือ โยนหัวโยนก้อยออกมา
ไฉนนางจึงทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้?
อวี้ถังอยากขยุ้มศีรษะ
เผยเยี่ยนพักหนึ่งก็เขย่งเท้า สักพักก็ยืดเอว จู่ๆ ก็หมุนตัวกลับมา เอ่ยกับอวี้ถังด้วยใบหน้าดีใจ “เจอแล้ว!”
รอยยิ้มแผ่วบางจากเผยเยี่ยน ระหว่างคิ้วที่ดูสดใสขึ้นมาโดยพลัน ราวกับภาพวาดภูเขาแม่น้ำสงบนิ่ง ชั่วพริบตากลับทำให้คนได้ยินเสียงลำธารไหลริน ได้กลิ่นหอมกรุ่นของต้นหญ้า สัมผัสได้ถึงสายลมที่พาดผ่าน ภาพวาดแปรเปลี่ยนมีชีวิตขึ้นมา ความสง่างามของเผยเยี่ยนเปล่งประกาย พาให้อวี้ถังหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลำคอแห้งผาก ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าของเขาอยู่เนิ่นนาน
นางรู้สึกว่าเผยเยี่ยนหล่อเหลาอีกครั้งแล้ว
เผยเยี่ยนกลับไม่สังเกตเห็นแต่อย่างใด พูดต่ออยู่ตรงนั้นด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นหนังสือภาพที่ท่านพ่อมอบให้ข้า เพื่อให้ข้าใช้เป็นแบบวาดปักษาและดอกไม้ ข้าคิดว่าเจ้าสามารถนำกลับไปให้อาจารย์ของพวกเจ้าดูอย่างละเอียดได้ คงพอจะได้อะไรมาบ้าง” ขณะที่เขาพูด ก็ดึงหนังสือภาพหนึ่งชุดหกเล่มออกมา ทำท่าเป็นนัยให้อวี้ถังเข้าไปรับ
ผ่านไปพักใหญ่อวี้ถังจึงค่อยหวนสติคืนมาได้
เผยเยี่ยนกลับขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? หรือเมื่อครู่พูดกับข้าแค่ขอไปทีเท่านั้น? พวกเจ้าไม่กล้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นรึ?”
อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ข้างเหวอีกครั้ง หากตอบไม่ดี เผยเยี่ยนก็จะโมโหวิ่งหนี ทิ้งนางไว้ตรงนี้
แต่หากเขาวิ่ง นางก็ไม่กลัว อย่างมากก็ประจบประแจงตะล่อมเขากลับมาเท่านั้น แต่หากเขาโกรธขึ้นมา…ก็ไม่ดีแล้ว
ความคิดนี้แล่นเข้ามาในใจนาง ตัวเองก็ตกใจเสียยกใหญ่ นิ่งงันอยู่หลายอึดใจ ยามนี้จึงวิ่งเข้าไปอย่างลนลาน ยื่นมือรับหนังสือจากเผยเยี่ยนไปพลาง เอ่ยอธิบายสะเปะสะปะไปพลาง “ไม่ใช่ๆ ข้ากำลังนึกถึงเรื่องนี้อยู่ จึงไม่ทันฟังว่าท่านพูดอะไร ในเมื่อข้ารับปากท่านแล้วว่าจะดูแลร้านค้าเครื่องลงรักดีๆ ข้าก็ย่อมทำให้ได้ จุดนี้ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ใช่คนที่พูดจาเชื่อถือไม่ได้…”
อวี้ถังยื่นมือออกไปกลับคว้าได้เพียงอากาศ…เผยเยี่ยนหมุนตัวออกไป วางหนังสือภาพในมือไว้ที่โต๊ะชาด้านข้าง คิ้วขมวดขึ้น กลับมาเป็นนายท่านสามของสกุลเผยผู้เย็นชาเคร่งขรึมอีกครั้ง
“เจ้าอย่ามาพูดจากลิ้งกลอกกับข้า” เขามองอวี้ถังอย่างเยือกเย็น ลากเส้นแบ่งระหว่างอวี้ถังและเขาขึ้นมาทันที “หนังสือภาพนี้ปู่ทวดเป็นคนมอบให้ท่านพ่อข้า แม้ไม่อาจเรียกได้ว่ามีเล่มเดียว แต่ก็หายากอย่างยิ่ง พอนับได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่ตกทอดของสกุลอย่างหนึ่ง หากเจ้าไม่มีความมั่นใจทั้งไม่ตัดสินใจให้ร้านค้าของสกุลเปลี่ยนไปใช้ลายดอกไม้ ก็อย่าได้รับปากง่ายๆ เช่นนั้น จะได้ไม่เหยียบย่ำสิ่งของในสกุลข้า ทั้งแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่อยากเปลี่ยนแปลง ข้าก็มีวิธีอื่นให้ร้านค้าสกุลพวกเจ้าหาเงินได้เช่นกัน เจ้าอย่าได้ฝืนรับปากข้าในเวลานี้ กลับเรือนไปตรึกตรองเสียหน่อย หากคิดว่ายากลำบาก อยากกลับคำ…”
เขามีเวลาให้นางคิดด้วยอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังลอบนินทาในใจ
นางแค่ยื่นมืออกไปช้าหน่อยเดียว เขาก็ปั้นหน้าแข็งสั่งสอนนางเสียแล้ว หากนางพูดว่าวิธีนี้ของเขาไม่เข้าท่า เขาจะไม่ทิ้งคนไว้ หนีไปอย่างที่นางคาดการณ์ก่อนหน้านี้หรอกรึ ต่อจากนั้นก็จะไม่สนใจเรื่องของสกุลพวกนางอีก กระทั่งยามที่พบหน้านางอาจจะทำเป็นไม่เห็นไปเลยก็ได้
นางสามารถพูดไปตามตรงได้รึ?
อวี้ถังหลั่งน้ำตาในใจ อยากจะทำท่าดีอกดีใจออกไป แต่เมื่อเงยหน้าเผชิญกับแววตาที่เฉียบคมราวกับเหยี่ยวของเผยเยี่ยน นางก็ตกใจขึ้นมาโดยพลัน ไม่กล้าจะแสดงละครอีก สมองกลับแล่นอย่างว่องไว คิดแผนการ ทั้งเอ่ยอย่างจริงจังไปพลาง “ข้าไม่ได้กลับคำจริงๆ ข้าเพียงแปลกใจ ข้าเข้ามาในจวนสกุลเผยหลายครั้งกลับไม่เคยเห็นดอกไม้ในจวน ไฉนท่านจึงให้สกุลพวกเราเปลี่ยนเป็นแบบลายดอกเสียได้ ทั้งยังมีหนังสือภาพปักษาดอกไม้ที่สืบต่อกันมาอีก ข้าตกใจเกินไป จึงใจลอยไปอยู่บ้าง”
เผยเยี่ยนยังคงขมวดคิ้วแน่น แต่บรรยากาศเย็นยะเยือกรอบกายกลับหายไปแล้ว พาให้คนรู้สึกอบอุ่นไม่น้อย เขาเอ่ยว่า “ยังไม่ถึงเวลาถอดชุดไว้ทุกข์ให้ท่านผู้เฒ่า ข้าคิดว่าในเรือนไม่ควรจะมีเรื่องคึกคักรื่นเริงอะไรขนาดนั้น”
ดอกไม้บานสะพรั่งก็เป็นความคึกคักรื่นเริง?
เป็นครั้งแรกที่อวี้ถังได้ฟังคำพูดเช่นนี้ นางไร้คำที่จะพูด ทำได้เพียงเอ่ยต่อด้วยใบหน้าเรียบตึง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เช่นนั้นท่านคิดว่า สกุลพวกเราควรใช้ลายดอกอะไรเป็นหลัก?” พูดมาถึงตรงนี้ ยามที่นางไปหยิบหนังสือภาพขึ้นมา เผยเยี่ยนก็ไม่ได้ขัดขวางอันใดอีก ปล่อยให้นางถือไปแต่โดยดี
ยามนี้อวี้ถังจึงค่อยนึกได้ว่าเหมือนตัวเองจะลืมประจบเผยเยี่ยนไป
นางรีบใช้มือลูบหนังสือภาพในมือราวกับทะนุถนอม เอ่ยว่า “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าหนังสือภาพพวกนี้จะล้ำค่าขนาดนี้ ท่านวางใจเถิด ข้าจะระมัดระวังรักษาหนังสือพวกนี้เป็นอย่างดี หลังจากอาจารย์วาดแบบของสกุลข้าเปิดอ่านดูแล้ว ข้าจะนำกลับมาคืนท่านโดยไม่ให้มีรอยขีดข่วนอันใด”
เผยเยี่ยนส่งสายตาราวกับบอกนางว่า ก็ต้องเป็นเช่นนั้น
อวี้ถังแทบอยากจะยกหนังสือภาพพวกนี้ไว้สูงเหนือศีรษะ
แต่นางก็มองเห็นความล้ำค่าของหนังสือพวกนี้เช่นกัน
แม้ว่าจะดูแค่ปกหนังสือ สาวงามใต้ต้นกล้วยในปกก็ดูธรรมชาติอย่างยิ่ง ทำให้คนประทับใจลึกล้ำ อยากดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งที่ทำให้เผยเยี่ยนเรียกได้ว่าของล้ำค่าของสกุล แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ของธรรมดา
อวี้ถังลอบวิพากษ์วิจารณ์ในใจ เผยเยี่ยนเดินเข้ามาดึงหนังสือภาพไปเล่มหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไร ความเป็นจริงกลับเปิดไปที่หน้าหนึ่งด้วยความคุ้นเคยอย่างยิ่ง ชี้ไปที่ภาพ “เจ้าคิดว่าดอกบัวเป็นอย่างไร? ตอนที่ข้ายังเด็ก เคยวาดรูปดอกบัวมาก่อน วาดเพียงใบบัวไม่กี่ใบมาเพิ่มจุดเด่น ส่วนที่เหลือก็เป็นดอกบัวขนาดน้อยใหญ่ทั้งหมด เวลานั้นข้าคิดว่างดงามไม่น้อย กระทั่งใบบัวไม่กี่อันก็แทบไม่จำเป็นต้องมีด้วยซ้ำ ข้าเห็นกล่องเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงบางที่ก็ทำเป็นลวดลายเทียนจิ่น[1] หรือลายตี้จิ่น[2]ผสมกัน ข้าคิดว่าสกุลพวกเจ้าก็สามารถทำกล่องแบบนั้นได้เช่นกัน”
เดิมทีดอกบัวก็ซับซ้อนพอแล้ว ทำเป็นดอกบัวทั้งหมดจะไม่ทำให้คนมองแล้วรู้สึกไม่สบายตาเกินไปหรอกรึ?
อวี้ถังจินตนาการแบบกล่องไม่ออก
เผยเยี่ยนกลับนั่งอยู่หน้าโต๊ะวาดภาพด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย เริ่มวาดเค้าโครงแบบดอกบัวในใจเขา
คนที่ตั้งใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมักจะดูน่าดึงดูดเป็นพิเศษ
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนที่ตั้งอกตั้งใจ เปล่งประกายแสงสว่าง ก็รู้สึกแปลกๆ อย่างยิ่ง
เรื่องราวพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
เผยเยี่ยน…คาดไม่ถึงว่าจะวาดแบบให้สกุลพวกนางอยู่!
หากนางลอบประทับตราส่วนตัวของเผยเยี่ยนบนนั้น ย่อมทำให้คนมาแย่งชิงอย่างบ้าคลั่งแน่นอน…
อวี้ถังครุ่นคิด ก็อดลอบดีใจขึ้นมาไม่ได้
ยามที่นางกลัวว่าตัวเองจะหัวเราะออกมา อาหมิงก็เข้ามาอย่างเงียบเชียบ กล่าวรายงานว่า “หลานชายของนายท่านอวี้มาแล้วขอรับ!”
อวี้ถังได้ยินก็เบะปาก
ที่แท้ต่อหน้าเผยเยี่ยน ญาติผู้พี่ของนางก็ยังไม่มีกระทั่งชื่อเสียงเรียงนามอย่างเป็นทางการ
ช่างเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าไม่มีคุณค่าใดจะเทียบเท่ากับการเรียนหนังสือได้
ลูกชายของพี่ชายนาง ย่อมต้องมียศตำแหน่งให้ได้
ขณะที่อวี้ถังคิดเลอะเลือนฟุ้งซ่าน เผยเยี่ยนก็ขานว่า ‘อืม’ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ก่อนอาหมิงจะรีบไปเชิญอวี้หย่วนเข้ามา
นางทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้นรอเผยเยี่ยนวาดภาพ
ยามที่อวี้หย่วนเข้ามาก็สับสนงุนงงอยู่บ้าง เขามองเผยเยี่ยน ก่อนจะสลับมองอวี้ถัง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
อวี้ถังทำได้เพียงมองอวี้หย่วน ก่อนจะใช้คางชี้ไปที่เผยเยี่ยน
อวี้หย่วนเข้าใจทันที ให้เข้าไปคารวะเผยเยี่ยนก่อน
เผยเยี่ยนยังคงไม่เงยศีรษะขึ้นมา เอ่ยกับอวี้ถังแทน “เจ้าจัดแจงให้ญาติผู้พี่นั่งเสียหน่อย เล่าเรื่องเมื่อครู่ที่พวกเราคุยกันให้เขาฟังก่อน อีกไม่นานข้าก็จะเสร็จแล้ว”
อวี้หย่วนมองอวี้ถังด้วยความตกใจ
คำ…คำพูดเช่นนี้ ไฉนจึงเหมือนกำชับ…คนในเรือนของตัวเอง? คนใต้อาณัติ?
อวี้ถังเห็นเรื่องแปลกเช่นนี้จนเคยชินแล้ว เผยสีหน้าราบเรียบ อธิบายความคิดของเผยเยี่ยนให้อวี้หย่วนฟังอย่างจริงจัง
อวี้หย่วนได้ฟังก็ดีใจ เขารีบเอ่ยว่า “เป็นความคิดที่ดี! ข้าว่าร้านค้าของพวกเราจัดการอย่างที่นายท่านสามว่าเถิด หากท่านพ่อทราบ ก็คงเห็นด้วยอยู่ดี”
อวี้ถังกะพริบตาปริบ
หรือเผยเยี่ยนเอาน้ำอมฤตอะไรให้พี่ชายนางกินกัน ทำให้เอาแต่พูดเห็นพ้องคล้อยตามเผยเยี่ยนอยู่เช่นนี้?
อวี้หย่วนเห็นญาติผู้น้องของตัวเองยังทำท่าทึมทื่อ ก็ร้อนใจอย่างยิ่ง ส่งสายตาเป็นนัยให้นาง
ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ดึงสติกลับมา
ในเมื่อเผยเยี่ยนเป็นคนเสนอความคิด หากล้มเหลว นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของเผยเยี่ยน จากนิสัยและอำนาจของเผยเยี่ยน เขาย่อมคิดวิธีชดใช้ให้สกุลอวี้
นับตั้งแต่ยามที่เผยเยี่ยนเสนอความคิดให้ร้านค้าของพวกเขา ร้านค้าของสกุลอวี้ก็อยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีวันล้มเหลวแล้ว
สำหรับสกุลอวี้ เป็นเรื่องดีราวกับได้ลาภลอยมาจากท้องฟ้า
อวี้ถังที่เป็นคนของสกุลอวี้ ทั้งคาดหวังมาตลอดให้ร้านค้าของตัวเองรุ่งโรจน์โชติช่วงขึ้นมา ควรจะดีใจกับเรื่องนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่นางเข้าใจจุดประสงค์ของญาติผู้พี่ กลับรู้สึกอึดอัดในใจ ไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย
———————–
[1]เทียนจิ่น ต้นขากบ
[2]ตี้จิ่น ต้นไอวี่