ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 203 เย้าหยอก
เผยเยี่ยนวาดแบบเครื่องลงรักให้กับสกุลอวี้เพราะความคิดชั่ววูบ เดิมทีอวี้ถังก็ไม่อยากเชื่อว่าเผยเยี่ยนจะเข้าใจเรื่องเครื่องลงรัก แต่เผยเยี่ยนกลับทำอย่างจริงจังตั้งใจ ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้
ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำสำเร็จจริงๆ ก็ได้!
ก่อนจะอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เผยเยี่ยนก็ไม่เคยปลูกต้นไม้มาก่อน? แต่ยามนี้ กระทั่งนางยังได้ยินว่า ลูกท้อ ลูกพลัมและสาลี่ในสวนของสกุลเผยถูกส่งออกไปขายที่เจียงหนาน หูเป่ยและหูหนาน ทั้งยังมีข่าวลือว่าลูกท้อของสกุลพวกเขากำลังจะทำเป็นของบรรณาการอีกด้วย
อวี้ถังทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจ นั่งฟังเผยเยี่ยนอยู่ด้านข้างเงียบๆ
ก่อนจะได้ยินเขาถามญาติผู้พี่นางว่า “เจ้าอยากทำให้ร้านค้าสกุลพวกเจ้ากลายเป็นเช่นไร?”
อวี้หย่วนชะงักไป ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างระมัดระวัง “อยากให้ขายได้กำไรทุกปี ให้ผู้ใหญ่ในเรือนไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องกิจการในร้านค้าอีก”
เผยเยี่ยนได้ยินก็เบะปาก เอ่ยว่า “จุดหมายของเจ้าจะใหญ่เกินไปหน่อยแล้ว”
อวี้ถังรู้ว่าเขาพูดประชด ขบคิดว่าจะพูดแทนญาติผู้พี่เสียหน่อยดีหรือไม่ ทางอวี้หย่วนก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นมาก่อน “พวกเราเป็นสกุลเล็กๆ ย่อมมีเพียงจุดหมายเท่านี้ หากอยากให้กิจการใหญ่ขึ้น ก็จำเป็นต้องมีคนอยู่ในแวดวงขุนนาง สมาชิกสกุลพวกเรามีน้อย ผู้ที่เรียนหนังสือเก่งที่สุดก็คืออาสอง พวกเราคงไม่นั่งบนเขาลูกนี้อิจฉาเขาลูกนั้นสูงกว่า[1]แล้ว”
นางคิดว่าคำพูดของญาติผู้พี่คงจะทำให้เผยเยี่ยนดูแคลนยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่ ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับเผยสีหน้าแข็งทื่อ คล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ นิ่งงันอยู่พักใหญ่ ยามนี้จึงค่อยเอ่ยเสียงเบา “รู้จักพอใจก็มักพบกับความสุข! บางครั้งนี่ก็นับว่าเป็นวาสนา”
น้ำเสียงของเขาแฝงความคับแค้นใจอยู่บ้าง ทำให้อวี้ถังที่ได้ฟังขนพองสยองเกล้า
ไฉนเผยเยี่ยนจึงพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ทั้งยังพูดแบบนี้อีก
นางอดหันหน้าไปมองเผยเยี่ยนไม่ได้
เผยเยี่ยนกลับบิดศีรษะกลับมาพอดี ประสานเข้ากับสายตาของนาง
อวี้ถังละล่ำละลักส่งยิ้มให้เขา
เขาชะงักไปอีกครั้ง คล้อยหลังก็ยกยิ้มมุมปากอย่างดูแคลนกับตัวเอง ปัดป่ายความเศร้าที่เกิดเมื่อครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวางท่าเบ่งอำนาจขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยว่า “เจ้าอยากได้เงิน ก็ต้องหาเงินให้ได้ก่อน! เจ้าเอาแต่วางเป้าหมายไว้ที่เงิน เช่นนั้นเจ้าย่อมหาเงินได้ไม่เท่าไร ในความคิดข้า เจ้าควรมีความกล้ามากกว่านี้ อย่างไรก็ต้องเป็นที่หนึ่งของหลินอัน สามอันดับแรกของเจ้อเจียง? ไม่สิ แม้เจ้าจะเป็นที่หนึ่งของหลินอันหรือสามอันดับแรกของเจ้อเจียง ก็คาดว่าคงจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงซูโจวและกว่างตงไม่ได้ ในความเห็นข้า เจ้าต้องหาวิธีทำให้ร้านค้าเป็นที่หนึ่งของเจ้อเจียงให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ร้านค้าของเจ้าถึงจะหมดห่วงเรื่องเงินทอง เจ้าลองคิดดู ข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่”
มีเหตุผล
อย่าพูดถึงอวี้หย่วนเลย แม้แต่อวี้ถังก็คิดว่ามีเหตุผลเช่นกัน
แต่หากอยากเป็นที่หนึ่งของเจ้อเจียง ประการแรกต้องมีเงินลงทุน ประการที่สองต้องมีคนคอยสนับสนุน
เผยเยี่ยนไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ!
แต่อวี้หย่วนและอวี้ถังล้วนเป็นคนฉลาด เผยเยี่ยนรู้อย่างกระจ่างว่าสถานการณ์ของสกุลพวกเขาเป็นอย่างไร ยังกล้าพูดเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าเขามีความคิดอะไรบางอย่างแล้ว อวี้หย่วนก็มองออก นายท่านสามสกุลเผยผู้นี้ไม่เหมือนกับท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่าเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว หากมีเรื่องลำบากมาขอร้องถึงหน้าประตู ขอเพียงท่านผู้เฒ่าทราบ ย่อมให้ความช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน นายท่านสามผู้นี้ ชอบให้คนอื่นประจบประแจงอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีวิธีช่วยเหลือ ก็ต้องให้คนยกยอปอปั้นก่อน เขาถึงจะยอมบอกเจ้า
เขาก็ไม่กลัวเสียหน้า เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “แต่ไหนแต่ไรข้าก็เป็นคนโง่งม นึกไม่ออกว่ายังมีวิธีอันใด? ท่านเป็นนายท่านสามของสกุลเผย ย่อมมีวิธีเป็นแน่ ไม่อย่างนั้น ท่านบอกข้ามาตามตรงก็เพียงพอแล้ว”
แต่ละวันเผยเยี่ยนแทบไม่รู้ว่าได้ยินคำพูดสรรเสริญเยินยอมามากมายเท่าใด ไหนเลยจะใส่ใจว่าอวี้หย่วนพูดอะไร
เขามองไปยังอวี้ถังที่ไม่พูดจาอันใด
อวี้ถังโมโหอย่างยิ่ง
หรือพี่ชายนางพูดเยินยอไม่พอ ยังต้องให้นางพูดประจบเขาอีกอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังไม่สนใจเขา กลับมองเขาไปอย่างตรงๆ
ทั้งสองคนต่างมองกันอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดเผยเยี่ยนก็ยอมแพ้
เขาลูบจมูกเล็กน้อย คิดว่าคุณหนูอวี้เผยกรงเล็บออกมาแล้ว อย่างไรเขาอย่าได้สร้างปัญหาจะดีกว่า
แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้กลัวปัญหานี้ แต่เขาคิดว่าเวลาของตัวเองมีค่า ไม่อาจสิ้นเปลืองกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นซ่านเหยียนยังไล่ตามอยู่ด้านหลังเขา ทำให้เขาหาวิธีรับมือแทบไม่ทัน อย่างไรเขาพยายามจบปัญหาเรื่องสกุลอวี้ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
เผยเยี่ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ยามที่ข้าเห็นร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลพวกเจ้าก็คิดออกแล้ว อีกไม่กี่วัน จะมีผู้ตรวจการมาตรวจสอบคดีทางนี้ ข้าได้ข่าวว่า ซือหลี่เจี้ยนก็อาจจะตามมาเช่นกัน พวกเจ้าก็ทำตามที่ข้าบอก หาวิธีทำกล่องไม้เครื่องลงรักแกะสลักสีแดงชั้นดีออกมาให้เร็วที่สุด ข้าจะใช้เป็นของขวัญให้พวกเขา ถึงเวลานั้นกล่องไม้ของสกุลพวกเจ้าย่อมมีชื่อเสียงแพร่กระจายออกไป”
สรุปแล้ว ก็ยังต้องอาศัยเส้นทางนี้
อวี้หย่วนดีใจกับข่าวนี้อย่างยิ่ง ขานรับติดต่อกัน
เผยเยี่ยนเห็นใบหน้าอวี้ถังปราศจากความยินดี ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ เอ่ยถามอวี้ถัง “เจ้าคิดว่าเช่นนี้ไม่ดีรึ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” อวี้ถังรู้ดีว่าเผยเยี่ยนกำลังช่วยเหลือสกุลพวกนางอยู่ แต่นับตั้งแต่นางตัดสินใจหนีออกจากสกุลหลี่ ก็กระจ่างใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรแทนที่จะพึ่งคนอื่นมิสู้พึ่งตัวเอง คนอื่นสามารถช่วยเจ้าชั่วคราว ไม่อาจช่วยเหลือได้ตลอดไป ได้รับบุญคุณจากคนอื่น ต้องจดจำไว้ในใจ ในขณะที่ตอบแทนคนอื่น ก็ต้องฉวยโอกาสนี้ยืนด้วยตัวเองขึ้นมาให้ได้ จึงจะไม่ทำลายความปรารถนาดีพวกคนที่เคยช่วยเหลือนาง
นางเอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดว่า ควรจะทำกล่องไม้แบบไหนบ้างดี!”
เผยเยี่ยนค่อยคลายโทสะลง เอ่ยว่า “วันนี้ก็เย็นมากแล้ว คงจะไม่ทัน รออีกไม่กี่วัน หากข้ามีเวลาว่างจะวาดแบบให้พวกเจ้าอีก ประมาณแปดรูปไม่ก็สิบรูป ส่วนทางพวกเจ้า ก็ต้องทำกล่องไม้ออกมาให้เร็วที่สุด”
การทำกล่องไม้เครื่องลงรักแกะสลักสีแดงจำเป็นต้องทาสีซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบชั้น
อวี้หย่วนเอ่ยว่า “ท่านวางใจ เรื่องนี้ย่อมต้องเรียบร้อยโดยดี”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ซานมู่ก็หอบกล่องไม้สองใบวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ
อวี้ถังรับกล่องไม้มา ส่งให้เผยเยี่ยนด้วยมือตนเอง
เผยเยี่ยนมองกล่องไม้ของสกุลพวกนางอย่างละเอียด เอ่ยว่า “การแกะสลักธรรมดาอยู่บ้างจริงๆ พวกเจ้าดู ตรงนี้ ตรงนี้ ยังมีตรงนี้อีก ลายเส้นยังไม่คมชัดพอ กล่องไม้ที่จะทำให้ข้า พวกเจ้าต้องระมัดระวังให้ดี อีกอย่าง สีนี้ก็ไม่สว่างพอ เป็นเพราะสีไม่ดี? หรือพวกเจ้าผสมสีที่สว่างกว่านี้ออกมาไม่ได้? ยามที่ข้าเห็นกล่องไม้เครื่องลงรักแกะสลักสีแดงพวกนั้นในวัง ล้วนสว่างวาววับสะท้อนเงาราวกับกระจก พวกเจ้าต้องหาทางพัฒาให้ถึงขั้นนั้นให้ได้”
เรื่องเกี่ยวกับงานฝีมือเครื่องลงรัก อวี้ถังก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใด
นางและเผยเยี่ยนมองไปยังอวี้หย่วนพร้อมกัน
อวี้หย่วนนั้นเกร็งจนเหงื่อชุ่มไปหมด “เป็นเพราะสีไม่ดี เมื่อก่อนยามที่ปู่ของข้ามีชีวิตอยู่ ก็เคยทำกล่องไม้ที่สว่างแวววาวคล้ายกระจกออกมาได้เช่นกัน แต่ว่าจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมาก”
ก็หมายความว่า เรื่องฝีมือนั้นยังคงแก้ไขได้
เผยเยี่ยนเอ่ยทันที “เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปเลือกสีดีๆ ก่อน จากนั้นค่อยปรึกษากับอาจารย์ในสกุลว่าจะทำให้กล่องไม้สว่างวับราวกับกระจกอย่างไร จะเปลี่ยนแปลงการแกะสลักของสกุลพวกเจ้าให้ดีได้อย่างไร” พูดจบ ยังตะโกนเรียกอาหมิงเข้ามา “เจ้าไปเบิกเงินที่ผู้ดูแลบัญชีมาให้คุณชายอวี้สองร้อยตำลึง”
สองพี่น้องสกุลอวี้ตกใจกับเรื่องที่ไม่คาดหมายนี้อย่างยิ่ง เอ่ยพร้อมเพรียงกัน “ไม่เป็นไรๆ สกุลพวกเราก็พอมีเงินอยู่บ้าง ครั้งที่แล้วท่านช่วยเหลือสกุลพวกเราขนาดนั้น ยังมีเงินสำรองไว้ในร้านขายเครื่องเงินอยู่ส่วนหนึ่ง!”
เผยเยี่ยนกลับไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม “ในเมื่อเป็นความคิดของข้า เช่นนั้นเรื่องนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ย่อมเป็นความรับผิดชอบของข้า เงินนี้ก็ไม่ใช่มอบให้พวกเจ้า เพียงให้ยืมชั่วคราวเท่านั้น รอพวกเจ้าหาเงินได้ ค่อยนำมาคืนให้ข้า” พูดจบ ยังทำท่าราวกับกลัวพวกเขาไม่รับไว้ ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยต่อว่า “คิดกำไรจากพวกเจ้าสามส่วนก็พอ”
ยามนี้อวี้ถังและอวี้หย่วนก็ไม่ได้จะพูดอะไรอีก
เผยเยี่ยนวิจารณ์กล่องไม้เหล่านั้นของพวกเขาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนอาหมิงจะมารายงานว่าเสิ่นซ่านเหยียนมาหา
เผยเยี่ยนขมวดคิ้วจนแทบจะหนีบยุงไว้ได้ “เชิญอาจารย์เสิ่นไปนั่งรอที่โถงบุปผาสักครู่ เดี๋ยวข้าจะตามไป”
อวี้หย่วนเห็นก็หยัดกายบอกลา
อวี้ถังก็ไม่อาจรั้งตัวอยู่นานเช่นกัน แต่ก่อนออกจากประตูก็อดกระซิบถามเผยเยี่ยนไม่ได้ “อาจารย์เสิ่นมาหาท่านทำไม? ข้าได้ยินว่าหลายวันมานี้เขามักมาเข้าพบท่าน!”
เผยเยี่ยนคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
อวี้ถังแปลกใจอย่างยิ่ง
เป็นเรื่องอะไรกัน? คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เผยเยี่ยนที่เป็นคนตรงไปตรงมาถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรดี...
แต่นางก็ไม่ใช่คนที่ชอบทำให้คนอื่นลำบากใจ จึงทำเป็นเหมือนไม่ได้ถามคำถามนี้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าต้องขอตัวออกไปส่งพี่ชายก่อน”
เผยเยี่ยนผงกศีรษะ
สองพี่น้องอวี้ถังเดินออกมาจากสวน
อวี้หย่วนเอ่ยว่า “เจ้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน? ถึงเวลานั้นข้ามารับเจ้าดีหรือไม่?”
อวี้ถังส่ายศีรษะ “อีกไม่กี่วันพี่สะใภ้ก็จะคลอดแล้วไม่ใช่รึ? ท่านอย่าได้ใส่ใจข้าเลย ข้ายังต้องอยู่ที่สกุลเผยอีกสองสามวัน ถึงเวลานั้นเกี้ยวของสกุลเผยก็จะส่งข้ากลับไป ท่านไม่ต้องกังวล สนใจเพียงเรื่องที่นายท่านสามกำชับก็เพียงพอแล้ว”
“แน่นอนอยู่แล้ว” อวี้หย่วนเอ่ยทั้งถอนหายใจ “นายท่านสามมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกเรา พวกเราไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาดีของเขา ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ข้าก็จะทำกล่องไม้ที่นายท่านสามต้องการออกมาให้ได้”
อวี้ถังเอ่ยให้กำลังใจญาติผู้พี่อีกไม่กี่คำ เห็นว่าญาติผู้พี่ออกจากจวนสกุลเผยไปแล้ว นางจึงค่อยกลับห้องพักของตัวเองอย่างเอื่อยเฉื่อย
ชาติก่อน เผยเยี่ยนเหมือนจะช่วยเหลือในสิ่งที่นางมองไม่เห็นอยู่มากมาย ชาตินี้ นางหวังว่าจะมีโอกาสสักครั้งที่ตอบแทนเผยเยี่ยนได้
ทั้งเรื่องที่เผยเยี่ยนช่วยเหลือร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลอวี้ เขาก็ไม่ได้จงใจปิดบัง เชื่อว่าอีกไม่นานคนในสกุลเผยก็คงจะล่วงรู้ นางควรบอกกล่าวกับท่านแม่เฒ่าเสียหน่อยดีหรือไม่? อย่างไรสกุลอวี้ก็ได้รับความเมตตาจากพวกเขา ตามหลักแล้วก็ควรไปขอบคุณเสียหน่อย
เมื่ออวี้ถังตัดสินใจแล้ว ก็ไปหาท่านแม่เฒ่าเผย
ท่านแม่เฒ่าเผยกำลังนั่งเอนหลังบนตั่งกุ้ยเฟยฟังเจินจูอ่านคัมภีร์ เห็นว่านางเข้ามา ก็ยิ้มรับ ให้เจินจูไปย้ายเก้าอี้กลมเข้ามา
อวี้ถังเอ่ยอย่างเกรงใจ ก่อนจะนั่งลง ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับท่านแม่เฒ่าเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ พูดเข้าสู่ประเด็นเรื่องเมื่อครู่ “…ส่งพี่ชายกลับไปแล้ว คาดว่าเขาคงจะไปเตรียมทำกล่องไม้ ข้าจึงมาถามท่านว่ามีแบบที่ชอบหรือไม่ ข้าจะให้พี่ชายทำกล่องเอาไว้ให้ท่านใส่ของด้วยเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าสมองแล่นอย่างว่องไว
แม่หนูผู้นี้ คงอยากบอกว่าสกุลอวี้ของนางได้รับความเมตตาจากเผยเยี่ยนกระมัง?
ท่านแม่เฒ่าเผยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าบอกว่าสยากวงช่วยวาดแบบให้สกุลพวกเจ้า? ข้าก็ไม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษ เจ้าส่งกล่องไม้สองแบบที่เขาวาดให้ข้าก็เพียงพอแล้ว”
นี่ก็ง่ายแล้ว
อวี้ถังกลัวที่สุดว่าท่านแม่เฒ่าจะคิดว่านางมีความจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เอาแต่พึ่งพาเผยเยี่ยน
“ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับอย่างรวดเร็ว “ข้าจะให้ท่านพี่เลือกกล่องไม้ที่แกะสลักสวยที่สุดให้ท่านสองกล่อง”
ท่านแม่เฒ่าครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ทำเพิ่มให้ข้าเสียหน่อย วันสรงน้ำพระ ข้าจะถวายคัมภีร์ให้วัดเจาหมิง เจ้าก็ทำกล่องไม้อีกสองกล่องที่สามารถใส่คัมภีร์ได้”
อวี้ถังขานรับระรัว รอจนคุณหนูห้าเลิกเรียน ทั้งสองคนก็กินข้าวเย็นเป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่า พูดคุยเรื่องธูปหอม ก่อนจะค่อยแยกย้ายกลับห้อง
ยามนี้เฉินต้าเหนียงจึงถามท่านแม่เฒ่าว่า “ต้องตักเตือนนายท่านสามเสียหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
จู่ๆ ก็ดูแลเรื่องกิจการของสกุลอวี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่ว่าใครทราบก็ย่อมต้องฉุกใจคิดบ้างอยู่แล้ว
————————
[1]นั่งบนเขาลูกนี้อิจฉาเขาลูกนั้นสูงกว่า อุปมาว่า ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่