ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 207 ลูกหลาน
เฉินต้าเหนียงเปิดผ้าม่านรถลากขึ้นเพื่อคุยกับหญิงรับใช้สกุลซ่ง ด้านหลังรถลาก คนสกุลเฉินเลิกม่านขึ้นแล้วมองลอดผ่านช่องเล็กๆ ออกไป ตอนที่นางหันหน้ากลับเข้ามา ก็อดจะเอ่ยกับอวี้ถังไม่ได้ว่า “รถม้าของสกุลซ่งหรูหราเหลือเกิน!”
อวี้ถังค่อนข้างประหลาดใจ
มารดาของนางแม้จะเป็นแค่บุตรสาวของซิ่วไฉจนๆ แต่ก็ติดตามอ่านเขียนกับท่านตาตั้งแต่เล็ก มิเคยเห็นเรื่องเงินทองอยู่ในสายตาเท่าไร ทำไมวันนี้จึงเอ่ยขึ้นมากะทันหัน
อวี้ถังเลิกม่านแล้วมองผ่านช่องออกไปด้วยความอยากรู้
รถม้าของสกุลซ่งหรูหราตระการตาเกินไปอยู่จริงๆ
ม่านไหมสีน้ำเงินใหม่เอี่ยม ทั้งสี่มุมรถหุ้มด้วยแผ่นทองลายเมฆมงคล แขวนโคมหนังวัวที่บางราวกระดาษ ห้อยประดับพู่เส้นยาว ม้าที่ลากรถเป็นสีน้ำตาลแดงทั่วร่าง ผู้คุ้มกันขบวนทั้งหมดอยู่ในชุดเสื้อสั้นกับกางเกงกระชับสีเขียวนกแก้ว รถม้าสามสิบกว่าคันต่อแถวยาวเหยียด จอดเต็มถนนไปหมด
ไม่เพียงเท่านั้น อวี้ถังยังพบว่ารถม้าสองคันในนั้นโดดเด่นกว่าคันอื่นๆ คันหนึ่งแค่มีขนาดใหญ่โตกว่ารถม้าที่เหลือ ส่วนอีกคันนั้น ตรงผ้าม่านและกรอบหน้าต่างล้วนก็ปักลายกระเรียนขาวเมฆมงคล บนลวดลายนั้นยังเย็บติดด้วยทับทิมหลากสี มันส่องแสงวิบวับใต้แสงอาทิตย์
เมื่อหันกลับมามองสกุลเผย ทั้งหมดล้วนเป็นสีน้ำเงินอันนอบน้อม นอกจากโครงของรถลากที่แข็งแรงคงทนกว่าปกติแล้ว ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากโครงรถลากของคนธรรมดาทั่วไปเลย
สกุลซ่งช่างหน้าใหญ่ใจโตนัก!
ลักษณะของสกุลซ่งคล้ายเอนไปทางเสพสุขเสียมากกว่า
มิแปลกที่สกุลซ่งในชาติก่อนจะล้มละลาย
อวี้ถังครุ่นคิด นางทิ้งม่านในมือลง เอ่ยกับมารดาว่า “อีกเดี๋ยวพอเข้าพักที่ห้องเซียงฟางแล้ว ต้องไปถามจี้ต้าเหนียงด้วยว่าให้ไปคารวะท่านแม่เฒ่าตอนไหนจึงจะเหมาะสม”
ท่านแม่เฒ่าแม้จะดูอ่อนเยาว์ แต่ความจริงอายุไม่น้อยแล้ว เพราะเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง หากคนสกุลซ่งไปเยี่ยมคารวะท่านแม่เฒ่าโดยทันที พวกนางใช่หรือไม่ว่าต้องรอท่านแม่เฒ่าพักผ่อนก่อนแล้วค่อยเข้าไปทักทาย
คนสกุลเฉินพยักหน้า แล้วสั่งป้าเฉินด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงเวลานั้นเจ้าก็นำขนมติดไปด้วย”
ป้าเฉินได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสกุลซ่ง ในใจจึงรู้สึกกลัวอยู่บ้าง “ให้ซวงเถาไปเถอะเจ้าค่ะ! ซวงเถาเคยติดตามคุณหนูเข้าออกจวนสกุลเผย รู้จักกฎระเบียบดี เผื่อข้าทำอะไรผิดขึ้นมา กลัวจะทำให้คุณหนูขายหน้าเปล่าๆ!”
คนสกุลเฉินคิดว่าเช่นนี้มีเหตุผล พอสั่งการกับซวงเถาจบ ก็อดจะกระเซ้าป้าเฉินไม่ได้ว่า “เจ้าเคยกลัวอะไรเป็นด้วยรึ?!”
ป้าเฉินหัวเราะอย่างกระดาก “ข้าเห็นโลกมาน้อยนี่เจ้าคะ”
คุณหนูห้าปิดปากหัวเราะอยู่ข้างๆ
ไม่นาน รถลากก็หยุดลงที่ลานเรือนด้านใน
ป้าเฉินลงจากรถคนแรก มองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงกระซิบบอกคนสกุลเฉินกับอวี้ถังที่เพิ่งลงจากรถว่า “สกุลซ่งยอมให้สกุลเผยผ่านไปก่อน…ข้าเห็นรถม้าของสกุลซ่งยังรอที่ประตูทางขึ้นเขาอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
ตามที่เผยเยี่ยนเคยพูดไว้ สกุลซ่งมีเรื่องขอร้องสกุลเผย จะแสดงมารยาทและยอมถอยให้ก็นับว่าสมเหตุสมผล
อวี้ถังหัวเราะเบาๆ
ป้าจินหญิงรับใช้ข้างกายนายหญิงรองสาวเท้าฉับๆ เข้ามาหา หลังจากคารวะคนสกุลเฉินกับอวี้ถังแล้วก็ส่งยิ้มให้ พลางเอ่ยว่า “นายหญิงรองให้ข้ามารับคุณหนูห้าเจ้าค่ะ สั่งให้คุณหนูห้าอยู่แต่ในเรือนอย่าวิ่งเล่นไปทั่ว คนสกุลเผิงแห่งฝูอันก็มาพร้อมกับสกุลซ่งด้วย สกุลเผิงมีเด็กผู้ชายมาก ท่านแม่เฒ่ากลัวพวกไม่รู้ความล่วงเกินเหล่าคุณหนูเข้า ต่อให้สกุลนั้นขอขมาไถ่โทษ แต่หากคนตกใจเสียขวัญไป มีแต่จะไม่คุ้มเจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินทำหน้าแตกตื่น
ความหมายของท่านแม่เฒ่า จะชี้ว่าคนสกุลเผิงไร้จารีตธรรมเนียมหรือ?
นางรีบรับคำเป็นมั่นเหมาะ
คุณหนูห้าได้แต่บอกลาอวี้ถังด้วยความอาลัย
รอจนคนของสกุลอวี้เข้าไปในห้องเซียงฟาง พวกป้าเฉินก็เริ่มจัดข้าวของ คนสกุลเฉินลากมืออวี้ถังไปพูดว่า “สกุลเผิงนั่น เป็นพวกบ้าอำนาจหรือไม่?”
อวี้ถังนึกถึงท่าทีเลียแข้งเลียขาสกุลเผิงของสกุลหลี่เมื่อชาติก่อน จึงเล่าความเป็นมาของสกุลเผิงให้คนสกุลเฉินฟัง ทั้งบอกว่า “สรุปก็คือ คนสกุลนี้หากเลือกได้ก็อย่าไปข้องแวะเลยเจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินพยักหน้า พลันถามตนเองว่าการมาฟังพิธีบรรยายธรรมที่วัดเจาหมิงกับคนสกุลเผยในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ถูกหรือผิด
เพียงแต่ไม่รอให้พวกนางไปหาจี้ต้าเหนียง จี้ต้าเหนียงก็มาหาพวกนางก่อนแล้ว ข้างหลังนางมีสาวใช้ตามมาหลายคน ในมือถือทั้งถาดผลไม้และกล่องไม้ไว้ นางหัวเราะแล้วเข้าไปจับมือคนสกุลเฉิน พลางเอ่ยว่า “นายหญิงอย่าถือโทษเลยเจ้าค่ะ นายหญิงใหญ่ของสกุลซ่งกับสกุลเผิงไปคารวะท่านแม่เฒ่าด้วยกัน ท่านแม่เฒ่ากลัวพวกท่านจะรอจนร้อนใจ เลยสั่งให้ข้ายกผลไม้และขนมพวกนี้มาให้นายหญิงกับคุณหนูกินฆ่าเวลาไปก่อน วันนี้ให้ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อน พรุ่งนี้กินข้าวเช้าเสร็จค่อยมาร่วมสนทนากัน จะได้ฟังพระอาจารย์จากวัดเจาหมิงพูดด้วยว่าหลายวันนี้มีพิธีการอย่างไร? ลองดูว่าสามารถพบพระชั้นสูงจากวัดเส้าหลินใต้ล่วงหน้าได้หรือไม่ จะได้ไปขอพรให้เหล่าคุณหนูเจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินได้ฟังก็ดีใจนัก
นางรู้สึกว่างานแต่งของอวี้ถังไม่เคยราบรื่นเลย หากสามารถขอพรจากพระชั้นสูงได้ อาถังของนางจะต้องพบกับความโชคดีในเร็ววันแน่
“ช่วยขอบคุณท่านแม่เฒ่าแทนข้าด้วย” คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างจริงใจ “ข้ารู้จักอักษรหลายตัวอยู่ พิธีบรรยายธรรมก็ยังไม่เริ่ม ข้าถือโอกาสนี้คัดหนังสือสวดมนต์ให้ท่านแม่เฒ่าสักสองหน้าก็ยังดี”
นี่เป็นความตั้งใจของคนสกุลเฉิน จี้ต้าเหนียงไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น นางจึงเอ่ยว่า “ท่านอุตส่าห์มีน้ำใจ ข้าจะไปบอกกับท่านแม่เฒ่าสักคำเจ้าค่ะ” ทั้งถามอวี้ถังว่า “มิใช่บอกจะมอบกล่องใส่คัมภีร์มาให้สองใบรึ? กล่องพวกนั้นจะมาถึงเมื่อไรหรือเจ้าคะ?”
อวี้ถังเอ่ยอย่างละอายใจว่า “ต้องให้นายท่านสามตรวจดูก่อนถึงนับว่าใช้ได้”
จี้ต้าเหนียงหัวเราะ “เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดกล่องของสกุลท่านยังส่งมาไม่ถึง เรื่องนี้หากไปอยู่ในมือนายท่านสาม เกรงว่าคงเจอความลำบากไม่น้อย แต่ว่า สายตาของนายท่านสามแหลมคมมากเจ้าค่ะ ขอเพียงเป็นของที่เข้าตาเขา คนอื่นไม่มีทางพูดว่าไม่ดีแน่”
“ก็เพราะเหตุผลนี้ล่ะ” อวี้ถังยิ้ม “เช่นนี้พวกข้าเองก็รีบร้อนไม่ได้เช่นกัน”
คนสกุลเฉินเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าท่านแม่เฒ่าสั่งกล่องไม้สองใบจากร้านค้าสกุลอวี้
เมื่อส่งจี้ต้าเหนียงจากไปแล้ว นางจึงซักถามเรื่องนี้อย่างละเอียด
อวี้ถังเล่ารายละเอียดให้มารดาฟังอีกครั้ง ป้าเฉินทางนั้นก็ทำความสะอาดใกล้จะเสร็จแล้ว
สองแม่ลูกอาบน้ำแต่งตัวกันใหม่ กินอาหารเจที่ทางวัดส่งมาให้ จากนั้นก็นอนกลางวันไปงีบหนึ่ง
ตอนที่พวกนางตื่นขึ้นมา ทั้งสามห้องหนึ่งลานเรือนในเซียงฟางก็ได้จัดวางข้าวของเรียบร้อยแล้ว คนสกุลเฉินพักฝั่งตะวันออก อวี้ถังพักฝั่งตะวันตก ป้าเฉินกับซวงเถาพักที่ลานเรือนด้านหลัง ที่แขวนอยู่บนผนังเป็นภาพวาดซึ่งอวี้ถังคุ้นเคย บนโต๊ะที่วางอยู่เป็นชุดน้ำชาซึ่งนำมาจากสกุลนาง กระทั่งดอกไม้ที่ปักในแจกันบนโต๊ะเตี้ย ก็ยังเป็นดอกทับทิมแดงที่ผลิบานในหน้านี้ด้วย
ป้าเฉินยิ้มแล้วชี้ไปที่ดอกทับทิมนั้นว่า “เมื่อครู่นายหญิงรองให้คนส่งมาให้เจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินเหยียดยิ้ม ลากมืออวี้ถังไปคุยว่า “มิน่าพอเจ้ามาพักกับสกุลเผยทีหนึ่งก็อยู่ยาวเป็นหลายวัน สกุลเผยช่างดูแลแขกได้เหมือนกลับมาอยู่บ้านตัวเองจริงๆ”
อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ
หลังจากกินอาหารเย็นพร้อมกับมารดา นางก็ไปเดินเล่นที่ลานด้านหลังของเซียงฟาง
พวกนางได้พบกับเหล่าสตรีของสกุลหยางที่มาเดินเล่นเช่นเดียวกัน
คนของสกุลหยางที่มาได้ยินว่าเป็นอาสะใภ้สามของคุณชายหยาง ทุกคนเรียกนางว่านายหญิงสาม อายุประมาณสามสิบต้นๆ เครื่องหน้างดงาม รูปโฉมสะสวย อาภรณ์เรียบง่ายแต่ท่าทางไม่สามัญ คุณหนูสวีพยุงนายหญิงสามเอาไว้ แล้วสนทนากับนางด้วยความนอบน้อมแปลกๆ
คนสกุลเฉินกับอวี้ถังจึงต้องหยุดคุยกับพวกนางอย่างเลี่ยงไม่ได้
คุณหนูสวีเอาแต่มองต่ำไม่สบตา ต่างกับวันแรกตอนที่เจออวี้ถังโดยสิ้นเชิง
อวี้ถังอดจะลอบประเมินคุณหนูสวีสักหลายทีไม่ได้
คุณหนูสวีกลับหาจังหวะส่งสายตาให้อวี้ถังยามทุกคนเผลอ
คุณหนูผู้นี้ ช่างซุกซนเสียจริง!
ไม่รู้ว่านายหญิงสามสกุลหยางต่างจากผู้อื่นตรงไหน ถึงสยบคุณหนูสวีให้สงบเสงี่ยมได้
อวี้ถังพินิจนายหญิงสามสกุลหยางอย่างละเอียด
นายหญิงสามพูดจาไม่ช้าไม่เร็ว ทั้งแฝงอารมณ์ขัน ไม่ว่าคนสกุลเฉินจะพูดอะไรนางก็ต่อความได้หมด ทั้งคำนึงถึงความรู้สึกของคนสกุลเฉินตลอด พูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ในความสนใจของคนสกุลเฉิน
อวี้ถังดึงความสนใจกลับมา แล้วฟังบทสนทนาของผู้อาวุโสทั้งสอง
เหล่าเณรน้อยเข้ามาจุดตะเกียงในบริเวณวัดแล้ว
ทุกคนต่างแยกย้ายกลับไปที่เซียงฟาง
ตอนที่อวี้ถังแช่เท้าอยู่กับมารดาก็คิดว่าต้องเอ่ยเตือนนางสักหน่อยหรือไม่ ทั้งคิดว่าสถานการณ์ของสกุลเผยซับซ้อน บางทีการไม่รู้อะไรเลยอาจเป็นเรื่องที่ดีกว่า จึงได้เปลี่ยนใจ เพียงพูดคุยแต่เรื่องทั่วๆ ไปที่เกิดขึ้นในเมืองและในเรือนของตนเท่านั้น
สองแม่ลูกพูดไปหัวเราะไป จากนั้นก็เช็ดเท้าเตรียมเข้านอน ซวงเถาพลันอุ้มกล่องไม้เดินเข้ามา “อาหมิงมาส่งเจ้าค่ะ บอกว่าให้ท่านแม่เฒ่า จะจัดการอย่างไรดีเจ้าคะ?”
ท่านแม่เฒ่ารอกล่องไม้เพื่อมาใส่คัมภีร์ ซวงเถาก็รอรับคำสั่งจากอวี้ถัง ว่าจะส่งไปคืนนี้เลย หรือว่านางมีแผนอื่น
อวี้ถังใคร่ครวญพักหนึ่ง “ในเมื่ออาหมิงเป็นคนส่งมา หมายถึงนายท่านสามคิดว่าสองกล่องนี้ใช้งานได้ เขาให้คนส่งของมาให้พวกเรา เห็นชัดว่าต้องการให้เราเป็นคนไปมอบแก่ท่านแม่เฒ่า วันนี้ดึกเกินไป พรุ่งนี้ตอนที่พวกเราไปคารวะท่านแม่เฒ่าค่อยนำไปให้เถอะ” จากนั้นก็บอกซวงเถาถือมาให้นางดู
กล่องไม้สองกล่อง หนึ่งเป็นลายไผ่เขียว หนึ่งเป็นลายดอกเหมย ลายเส้นชัดเจน ชั้นแบ่งแยกชัด มองแล้วโอ่อ่าตระการตา สีสันสดสวย ทั้งจะแวววับจับตายิ่งกว่าเก่าเมื่ออยู่ภายใต้แสงโคม
อวี้ถังตื่นตะลึง
คนสกุลเฉินเดินเข้าไปลูบๆ คลำๆ กล่องไม้ด้วยความตื่นตา ถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “นี่เป็นสิ่งที่สกุลเราทำออกมารึ?”
ซวงเถาไม่รู้เรื่อง ตอบอย่างลังเลว่า “อาหมิงบอกว่าสกุลเราเป็นคนทำนะเจ้าคะ”
“ประเสริฐๆ!” คนสกุลเฉินชื่นชม กรอบตารื้นชื้น
ขนาดคนที่ไม่เข้าใจงานจำพวกนี้อย่างนางยังมองออกเลยว่ากล่องสองใบนี้ทำออกมาได้ประณีตเพียงใด
“อาหมิงยังอยู่ด้านนอกไหม?” คนสกุลเฉินถาม “ดึกเพียงนี้ผู้อื่นยังอุตส่าห์นำของมาส่งให้ อาถัง เจ้ามอบเงินก้อนน้อยเป็นรางวัลให้เขาหน่อย”
มาร่วมพิธีบรรยายธรรมที่วัดเจาหมิงครานี้ อวี้เหวินให้เงินอวี้ถังมาหนึ่งถุงเล็ก เหมือนอย่างคราวก่อนที่อวี้ถังได้มาตอนกลับจากสกุลเผย
อวี้ถังคิดๆ ดู เห็นว่าตนยังไม่เคยตกรางวัลให้อาหมิงจริงๆ
“เช่นนั้นเจ้าก็หยิบไปให้เขาสักหลายก้อนหน่อย” นางสั่งซวงเถา “บอกว่านายหญิงเป็นคนให้”
ซวงเถารับคำสั่งแล้วจากไป
คนสกุลเฉินบ่นนางว่า “ข้าอุตส่าห์ให้หน้าเจ้า เจ้าจะบ่ายเบี่ยงทำไม?”
อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ “ข้าพูดไปอย่างนั้นแล้ว ท่านก็อย่าสนใจเลยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องกล่องไม้สองใบนั่น
คนสกุลเฉินเพิ่งรู้ว่าที่สกุลนางสามารถทำกล่องไม้เช่นนี้ออกมาได้ล้วนเป็นความชอบของเผยเยี่ยนทั้งสิ้น
นางกำชับอวี้ถังหลายต่อหลายรอบว่า “เจ้าต้องกตัญญูต่อท่านแม่เฒ่าให้มาก ผู้อื่นหาได้หวังสิ่งตอบแทนใด ทั้งก็หวังอะไรจากเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว แค่ต้องการให้เจ้าสร้างความรื่นเริงใจให้ท่านแม่เฒ่าเท่านั้น ให้นางได้ยิ้มหัวเราะบ้าง”
อวี้ถังได้แต่ตอบรับว่า “เจ้าค่ะ” ไม่ง่ายกว่าจะกล่อมให้คนสกุลเฉินเข้าไปพักผ่อนได้ ซวงเถาพลันยกรังนกต้มน้ำตาลเข้ามาอีก
อวี้ถังถามอย่างแปลกใจ “ใครส่งมาให้อีกล่ะ?”
รังนกอยู่ในถ้วยตุ๋นซึ่งเป็นเครื่องเคลือบสีแดงจี้หง ซึ่งเครื่องเคลือบชนิดนี้เป็นของบรรณาการมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางที่ป้าเฉินจะเป็นคนตุ๋นแน่ อีกอย่างพวกนางก็ไม่ได้นำรังนกติดมาด้วย
ซวงเถาฉีกยิ้มแฉ่ง “อาหมิงเพิ่งจะส่งมาให้เจ้าค่ะ นายท่านสามทราบว่าท่านกับนายหญิงยังไม่เข้านอน จึงให้เขาส่งมาให้เป็นพิเศษ”
————————————————————