ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 217 ไม่เลิกรา
อวี้ถังตกใจยกใหญ่
เมื่อก่อนเผยเยี่ยนมียามที่เคร่งขรึมเช่นนี้ กลับไม่เหมือนยามนี้ นอกจากแววตาจะเย็นเยียบแล้ว ท่าทีที่มองคุณหนูสวียังคล้ายนายพรานที่ล่าสัตว์ แฝงกลิ่นอายสังหารอยู่เลือนราง
คาดว่าคุณหนูสวีก็คงตกใจไม่น้อย
อวี้ถังพบว่านางลอบถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะดึงชายเสื้อนาง
นางหันไปมองคุณหนูสวี
ใบหน้าของคุณหนูสวีกลับไม่ปรากฏชัดเจนมากนัก ยังคงเอ่ยกับเผยเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม “ในเมืองหังโจว ปลาทอดเปรี้ยวหวานและหมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊วร้านใดอร่อยที่สุด? ข้ายังไม่เคยไปหังโจว น้องอวี้ มิสู้พวกเราก็ไปร่วมสนุกด้วย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อวี้ถังไม่รู้ว่าเรื่องนี้ลากมาเกี่ยวกับนางได้อย่างไร แต่หากคุณหนูสวีตั้งใจจริงๆ นางก็ยินดีจะเป็นเจ้าบ้าน เพียงแต่นางรู้สึกว่าท่าทีของเผยเยี่ยนผิดปกติอยู่บ้าง ก่อนที่จะตอบคำถามคุณหนูสวีจึงชำเลืองมองเผยเยี่ยนไปแวบหนึ่ง
นางพบว่าสายตาของเผยเยี่ยนดำดิ่งลึก คล้ายผิวน้ำทะเลที่เรียบนิ่ง เกลียวคลื่นถูกกดไว้ใต้ทะเลลึกจึงไม่ได้โหมกราดออกมา แต่ก็แค่กดไว้เท่านั้น หากเพิ่มแรงอีกนิด เกรงว่าเกลียวคลื่นนี้คงจะถาโถมออกมา กลืนกินชีวิตผู้คนไม่รู้ตั้งเท่าใด
อวี้ถังตะลึงพรึงเพริด
ยามนี้จึงค่อยตระหนักได้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของคุณหนูสวีแฝงความนัยอยู่ ทั้งเรื่องที่แฝงความนัยยังไปกระตุ้นโทสะเผยเยี่ยน
นางย่อมยืนอยู่ข้างเผยเยี่ยน
แม้คุณหนูสวีจะดีอย่างไร แต่เผยเยี่ยนกลับเป็นผู้มีพระคุณของนาง
จุดนี้นางยังคงสามารถแยกแยะได้ชัดเจน
อวี้ถังกลืนคำพูดที่รออยู่ที่ปากลงไป เปลี่ยนไปพูดประเด็นอื่นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไปหังโจวเพราะอยากกินปลาทอดเปรี้ยวหวานและหมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊ว หรืออยากไปดูทิวทัศน์ที่นั่นกันแน่? หากเป็นอย่างแรก เมืองหลินอันของพวกเราก็มีร้านที่ทำปลาทอดเปรี้ยวหวานและหมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊วได้อร่อย ข้าจะเป็นเจ้าบ้านเลี้ยงเจ้าเอง หากเจ้าอยากดูทิวทัศน์ของหังโจว มิสู้ปรึกษากับนายหญิงสามสกุลหยางให้ดีเสียก่อน กำหนดเวลาให้แน่นอน ข้าและแม่ของข้าจะร่วมทางไปกับพวกเจ้าด้วย แม่ของข้าก็ไม่ได้ออกไปไหนมานานแล้วเช่นกัน อากาศดีเช่นนี้ ไปเที่ยวเล่นที่หังโจว ยังสามารถซื้อพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับใหม่ๆ ได้ด้วย”
น้ำเสียงของนางสดใสกังวาน ทั้งอ่อนโยนสุภาพ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จึงค่อยๆ คลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดที่เผชิญหน้ากันเมื่อครู่ลง คุณหนูสวีลอบถอนหายใจ เอ่ยกับอวี้ถัง แต่ตามองเผยเยี่ยน “เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้ รอข้าและนายหญิงสามสกุลหยางพูดคุยเรื่องเดินทางกันแล้ว ค่อยนัดพวกเจ้าอีกที”
อวี้ถังก็ลอบถอนหายใจเช่นกัน
แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดพอเผยเยี่ยนฟังนางพูดจึงมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ก็รีบใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ได้ยินคุณหนูสวีพูด นางไม่เพียงผงกศีรษะเอ่ยว่า ‘ดี’ แต่ยังคำนับให้กับโจวจื่อจิน เอ่ยว่า “ท่านมาหลินอันเมื่อใดกัน? ครั้งก่อนที่เมืองหังโจว ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของท่านและนายท่านสาม หลายวันมานี้พ่อของข้าก็ยังเอาแต่พูดพร่ำไม่หยุด หากเขารู้ว่าท่านก็มาหลินอัน คงจะล่วงหน้ามาที่วัดเจาหมิงแล้วเป็นแน่ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปบอกกล่าวกับท่านพ่อเสียหน่อย ให้เขาเชิญท่านไปชิมสุราเลิศรสของหลินอัน”
โจวจื่อจินหัวเราะร่า มองพินิจอวี้ถัง ก่อนจะเอ่ยกับเผยเยี่ยน “สองปีมานี้ไม่ได้พบ คุณหนูตัวน้อยกลายเป็นสาวเสียแล้ว ยิ่งโตก็ยิ่งงาม” จากนั้นก็เอ่ยตะล่อมนาง “ข้าวาดรูปให้เจ้าสักรูปดีหรือไม่? รับรองว่าสวยแน่นอน ภายหลังก็แขวนไว้ในห้อง ยังสามารถเก็บไว้ให้ลูกหลานดูได้ด้วย”
อวี้ถังได้ฟังก็อดคล้อยตามไม่ได้
เผยเยี่ยนกลับปรากฏสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา “เจ้าวาดภาพคนตายหรืออย่างไร? ยังจะเก็บไว้ให้ลูกหลานดูอีก เจ้าอย่าได้ก่อกวนอะไรที่นี่ คุณหนูอวี้ไม่วาดภาพ ทั้งไม่จำเป็นต้องให้เจ้าวาดด้วย”
โจวจื่อจินถูกโจมตีก็เอ่ยว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ภาพวาดของข้าหายากอีกกว่าทองพันชั่ง เจ้ายังกล้ารังเกียจอย่างนั้นรึ”
เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ก็เพราะภาพของเจ้าหายากยิ่งกว่าทองพันชั่ง ข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าไม่เหมาะจะวาดให้คุณหนูอวี้…หากมีคนรู้ว่าเจ้าเป็นคนวาดภาพให้คุณหนูอวี้ เกิดคิดขโมยภาพวาดเพื่อเงินขึ้นมาจะทำอย่างไร? ไม่ใช่ว่าภาพจะส่งผ่านไปในมือเขา? ถูกเขาครอบครองไว้หรอกรึ?”
อวี้ถังได้ฟังก็สั่นสะท้านในใจ ไม่รอให้โจวจื่อจินได้เอ่ย ก็กล่าวขึ้นก่อน “ขอบคุณโจวจ้วงหยวน ข้านั้นหน้าตาธรรมดา ไม่กล้าสิ้นเปลืองแรงของโจวจ้วงหยวนหรอก ภายหลังมีโอกาส จะขอโจวจ้วงหยวนวาดภาพให้คนในเรือนแล้วกัน”
สามารถให้เขาช่วยบิดานางวาดภาพได้
โจวจื่อจินเสียดายอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
คุณหนูสวีจึงเอ่ยถึงเรื่องภาพของโจวจื่อจินขึ้นมา “พูดถึงเรื่องภาพวาด แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถเทียบกับโจวจ้วงหยวนได้แล้ว ในมือท่านมีภาพวาดของตัวเองหรือไม่? หากฉวยโอกาสนี้นำกลับเมืองหลวงได้ก็คงดี ท่านล่องลอยอย่างอิสระ หาตัวท่านได้ยากยิ่ง”
โจวจื่อจินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีข้าก็วางแผนจะไปเมืองหลวงสักระยะ เจ้าบอกหมิงหย่วนอย่าได้ร้อนใจนัก ถึงเวลานั้นข้าจะไปพบเขา ให้เขาเตรียมสุราดอกสาลี่ไว้ ข้าจะดื่มให้เขาสามแก้วใหญ่ๆ”
คุณหนูสวีผงกศีรษะระรัว เอ่ยว่า “เจ้าก็จะได้ช่วยดูหนังสือที่พวกเราเรียบเรียงว่าเป็นอย่างไรด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” โจวจื่อจินรับปากเป็นมั่นเหมาะ
คุณหนูสวีจึงดึงอวี้ถังกล่าวบอกลา
เผยเยี่ยนและโจวจื่อจินต่างไม่ได้พูดอันใด
คุณหนูสวีดึงอวี้ถังราวกับมีโจรไล่ตามหลังมาอย่างไรอย่างนั้น วิ่งแทบไม่เห็นฝุ่นกลับไปพักที่ห้องเซียงฝางของนาง รินชาให้ตัวเองอย่างว่องไว ก่อนจะดื่มอึกๆ สองคำติด ยามนี้จึงค่อยสงบลงพาอวี้ถังมานั่งโต๊ะกลมกลางห้องเซียงฝาง เอ่ยตัดพ้อว่า “ไฉนเผยสยากวงจึงมีนิสัยเช่นนี้? ไม่แปลกใจที่ทุกคนล้วนชมเขาว่าใจกล้ามากแผนการ แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องอื่น คนเช่นนี้ยังคิดจะเป็นขุนนาง? ข้าว่าที่เขาลาออกอาจจะเป็นเพราะอยู่ในหกกรมต่อไปไม่ไหวแล้วก็ได้”
อวี้ถังไม่ชอบให้คนอื่นโจมตีเผยเยี่ยนเช่นนี้
นางเอ่ยว่า “นายท่านสามนั้นดีไม่น้อย สร้างความผาสุกให้กับบ้านเกิดเมืองนอน พวกเราล้วนซาบซึ้งในน้ำใจเขาอย่างยิ่ง”
คุณหนูสวีได้ฟังก็เผยยิ้มอย่างกระดากอาย เอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ได้จะเพ่งเล็งเผยสยากวง แต่เขาทำให้ข้าตกใจจริงๆ ข้าคาดไม่ถึงว่าเขาจะสานสัมพันธ์ยากเช่นนี้” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ห่อเหี่ยวอยู่บ้าง เอ่ยอย่างทอดถอนหายใจ “ไม่แปลกใจที่คนอื่นล้วนพูดว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ข้านับว่ามีประสบการณ์กับเผยสยากวงแล้ว ภายหลังอย่าคิดว่าข้าจะพูดชื่นชมอะไรเขา หากพบเขาอีก ย่อมจะเดินอ้อมไปเสีย!”
ท่าทีราวกับเกลียดชัง
อวี้ถังอยากแก้ต่างให้เผยเยี่ยน เอ่ยว่า “เมื่อครู่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ปลาทอดเปรี้ยวหวานกับหมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊วหมายถึงอะไร?”
คุณหนูสวีคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดไป
อวี้ถังเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้เล่นลิ้นกับข้าเชียว ปลาทอดเปรี้ยวหวานและหมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๋ว หังโจวและซูโจวต่างก็มีทั้งนั้น ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะสื่อถึงซูโจว อีกอย่างเจ้ายังเอ่ยถึงไข่เค็มของเกาโหยว ทั้งกู้เจาหยางยังมาเจียงหนานด้วยฐานะผู้ตรวจการ มาตรวจสอบเรื่องทางน้ำของเกาโหยว หรือเจ้าสื่อเป็นนัยว่าภายนอกกู้เจาหยางมาตรวจสอบเกาโหยว แต่ความจริงกลับมีใครทำเรื่องผิดที่ซูโจว? แต่เจ้าหาข้ออ้างโยงไปถึงข้าหลวงอิน ข้าหลวงอินรู้เรื่องนี้อย่างนั้นรึ? ไม่ก็เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหลวงอินอยู่บ้าง?”
คุณหนูสวีเปลี่ยนมุมมองต่ออวี้ถังเสียใหม่
นางครุ่นคิดเล็กน้อย ออกคำสั่งให้อาฝูและซวงเถาไปเฝ้าด้านนอกประตู “ใครมาก็อย่าให้เข้าใกล้ทั้งนั้น”
ทั้งสองคนสบสายตากัน ก่อนจะออกไปอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังปิดประตูให้พวกนางอย่างรอบคอบ
ยามนี้คุณหนูสวีจึงเอ่ยกับอวี้ถัง “มีคนพูดว่าองค์ชายสามเก็บรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบที่เจียงหนาน ทางน้ำของเกาโหยวจะมีปัญหาอะไรได้ ยามนั้นเป็นพี่รองสกุลอินของพวกเรารับหน้าที่หลักในการซ่อมแซมภายในกรมโยธาธิการ ความจริงพวกเขาอยากตรวจสอบขุนนางในซูโจวและหังโจว แต่ครั้งนี้นอกจากสำนักตรวจการจะส่งผู้ตรวจการมาแล้ว ในวังยังส่งขันทีของซือหลี่เจี้ยนมาด้วย กู้เจาหยางอยู่ที่แจ้ง ซือหลี่เจี้ยนอยู่ที่ลับ” นางขมวดคิ้ว “เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ที่ซือหลี่เจี้ยนส่งมาเป็นใคร? ข้าคำนวณวันดู กู้เจาหยางมาถึงหลินอันแล้ว ทางซือหลี่เจี้ยนก็ควรมาถึงหังโจวไม่ก็ซูโจวนานแล้วเช่นกัน”
อวี้ถังได้ฟังก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ ถามอย่างโง่เขลา “นี่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสกุลเผย? นายท่านใหญ่ที่รับตำแหน่งรองหัวหน้ากรมโยธาธิการของพวกเขาก็ป่วยตายแล้ว นายท่านรองและนายท่านสามต่างก็ไว้ทุกข์อยู่ที่เรือน”
“เหตุใดเดี๋ยวเจ้าก็ฉลาดเดี๋ยวก็โง่” คุณหนูสวีถลึงตาใส่นางไปที กดเสียงเบา “สกุลเผยมีเงินมหาศาล กล่าวว่าร่ำรวยที่สุดในเจียงหนานก็ไม่เกินไปแต่อย่างใด เพียงแต่สกุลเผยนั้นอยู่อย่างถ่อมตัวมาโดยตลอด หากองค์ชายสามอยากรวบรวมทรัพย์สินที่เจียงหนาน เช่นนั้นสกุลเผยก็ย่อมประสบภัยเป็นคนแรก หากไม่ลงมือกับสกุลเผย จะลงมือกับใครได้อีก?”
ขณะที่นางพูดก็เผยสีหน้าตกใจ กระซิบกับอวี้ถัง “เจ้าว่างานบรรยายธรรมครั้งนี้จะเป็นฉากหน้าอะไรบางอย่างหรือไม่? ไม่อย่างนั้นไฉนสกุลมั่งคั่งมีชื่อเสียงของเจียงหนานจึงแห่มากันที่นี่ กระทั่งสกุลเผิงจากฝูเจี้ยนทั้งสกุลเถาจากกว่างตงที่อยู่ไกลก็ยังมา” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ยังตกใจตัวเอง ใบหน้าซีดเผือดทันตา ร่างกายก็อ่อนระทวยราวกับไม่มีกระดูก เอ่ยทั้งทาบมือที่อก “พวกเราคงไม่ติดร่างแหไปด้วยหรอกกระมัง? ในเมื่อพวกเขาล้วนถูกดึงเข้าไป ไฉนยังมารวมตัวกันได้ พวกเขาไม่กลัวถูกคนจับได้ง่ายๆ อย่างนั้นรึ? ไม่ได้ๆ ข้าต้องส่งจดหมายให้อินหมิงหย่วนเสียหน่อย”
คุณหนูสวีร้อนใจเหลือทน “ไม่ได้ เมืองหลวงไกลเกินไป ข้าต้องส่งจดหมายให้พี่รองสกุลอินเสียก่อน ให้เขาควบคุมสถานการณ์โดยรวม แต่เขาไม่อาจเข้ามาได้ พอเข้ามาก็ต้องพัวพันกับเรื่องนี้แล้ว”
อวี้ถังใจเย็นกว่านาง
ประเด็นหลักคืออวี้ถังนึกถึงชาติก่อน สกุลเผยนั้นอยู่อย่างมั่นคงสงบสุขจนถึงยามที่องค์ชายรองขึ้นครองราชย์
หากสกุลเผยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็คงมีวิธีอื่นปลีกตัวออกไป
แต่ชาติก่อนไม่ได้มีเรื่องที่ท่านแม่เฒ่าเป็นเจ้าภาพหลักในการควบคุมงานบรรยายธรรม
ครั้งนั้นกู้ซีมอบตำรับเครื่องหอมให้วัดเจาหมิง เป็นช่วงห้าปีให้หลัง บิดาของหลี่ตวน หลี่อี้กลับบ้านเกิดมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ สกุลหลี่นั้นเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบงานวันสารทจีนในเดือนเจ็ด
ด้วยเหตุนี้ชาตินี้และชาติที่แล้วจึงมีส่วนที่แตกต่างเป็นอย่างมาก
แม้อวี้ถังจะไม่มั่นใจ กลับไม่ถึงขั้นลนลานเหมือนคุณหนูสวี
“เจ้าฟังข้า” นางกระชับมือคุณหนูสวี “หากเจ้ามีความคิดเช่นนี้ มิสู้กล่าวกับนายท่านสามไปตามตรงให้ชัดเจน ข้าหลวงอินเข้ามาเป็นเรื่องไม่เหมาะสม พวกเรารู้ว่าไม่เป็นผลดีกับสกุลเผยแต่ไม่บอกก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน”
ในเมื่อคุณหนูสวีรู้ความลับภายในของเรื่อง ย่อมสามารถช่วยสกุลเผยได้
ยิ่งไปกว่านั้นนางเข้ามาอยู่ในวัดเจาหมิงแล้ว คิดจะปลีกตัวก็สายเกินไป
มิสู้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันพลิกสถานการณ์ใหม่
เห็นได้ชัดว่าคุณหนูสวีก็นึกถึงจุดนี้ได้
นางเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ตัดสินใจไม่ได้เสียที
อวี้ถังรู้ว่าใครเร็วกว่าคนนั้นก็ย่อมมีอำนาจในการควบคุมเรื่อง นางจึงเสนอความคิดให้คุณหนูสวีทันที “ไม่อย่างนั้น รีบส่งจดหมายให้ข้าหลวงอินโดยเร็วที่สุด ให้เขาช่วยออกความคิด แต่ไม่ต้องให้คนมา”
คุณหนูสวีครุ่นคิดเล็กน้อย เดินย่ำเท้าไปมา ก่อนจะตอบรับ นั่งลงเขียนจดหมายให้ข้าหลวงอิน ทั้งเอ่ยอย่างเสียใจในภายหลังไปพลาง “หากรู้ว่าเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่เข้ามาวัดเจาหมิงกับนายหญิงสามสกุลหยางหรอก เจ้าอินหมิงหย่วน พูดไม่เต็มปากเต็มคำยามข้ากล่าวว่ามาเจียงหนาน เขากลับไม่คัดค้านอย่างจริงจัง ทำเพียงหลีกเลี่ยงประเด็น เอ่ยว่าให้นายหญิงสามสกุลหยางจับตาดูข้า ให้ข้าอย่าได้ยุ่งเรื่องคนอื่น เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้อะไรเช่นกัน ข้าล่ะเกลียดเขาที่เป็นเช่นนี้ที่สุด! ไม่พูดออกมาตรงๆ แล้วพวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคือเรื่องอะไร!”
อวี้ถังเอ่ย “เจ้าไม่ใช่กล่าวว่าคุณชายอินให้เจ้ามาเที่ยวเล่นที่เจียงหนานหรอกรึ?”
คุณหนูสวีกระอึกกระอัก “ข้าอยากเข้ามาเที่ยวเล่น เขาก็ไม่ได้คัดค้านอย่างชัดเจน!”
อวี้ถังไร้คำที่จะพูด
———————