ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 218 จุดยืน
คุณหนูสวีเขียนจดหมายเสร็จอย่างรวดเร็ว ฝากอวี้ถังหาคนที่เชื่อถือได้ช่วยไปส่งจดหมายให้ “ข้าไม่มีคนทั้งไม่คุ้นที่ทาง เดิมคิดว่าแค่มาร่วมพิธีบรรยายธรรม ไม่ได้พามือเท้าติดมาด้วย เรื่องนี้ต้องฝากน้องอวี้แล้ว”
อวี้ถังกลับคิดว่าจะฝากฝังใครก็สู้ให้คนสกุลเผยไปจัดการมิได้
คุณหนูสวียังลังเลไม่แน่ใจ
อวี้ถังเอ่ยว่า “ในเมื่อนายท่านสามอยู่ที่นี่ เรื่องที่เกิดในวัดเจาหมิงย่อมปิดเขาไม่ได้ ถ้าท่านจะลงมือเพียงลำพัง มิสู้ขอความช่วยเหลือจากนายท่านสาม อีกอย่าง ปัญหาใหญ่รออยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ต้องขอความช่วยเหลือจากทุกสกุล ในเมื่อสมควรด้วยเหตุและผล ข้าเชื่อว่านายท่านสามต้องเข้าใจแน่”
คุณหนูสวีเงียบคิดไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ารู้แม้การกระทำของข้าไม่อาจปิดบังนายท่านสามได้ และข้าก็เชื่อว่าคนของสกุลเผยจะไม่เปิดจดหมายของข้า แต่ข้าอยากจะแจ้งต่อพี่รองอินด้วยตนเอง เพราะข้าไม่รู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว สกุลข้ากับสกุลเผยจะยังยืนอยู่ข้างเดียวกันได้หรือไม่ นับแต่ตอนนี้ ยิ่งรับน้ำใจจากสกุลเผยได้น้อยเท่าไรก็จะยิ่งดีเท่านั้น”
เรื่องแบบนี้อวี้ถังเข้าใจดี นางเอ่ยว่า “แต่ข้าว่าเรื่องนี้อย่างไรก็ต้องบอกสกุลเผย”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” คุณหนูสวียิ้มเอ่ยว่า “พวกเราต่างจุดยืน ต่างคนต่างแยกกันเป็นอิสระ เจ้าเป็นแบบนี้ ข้ากลับยิ่งดีใจที่ได้เป็นสหายกับเจ้า ข้าเกลียดพวกที่ทำอะไรตามความรู้สึก สุดท้ายพอทุกอย่างเละเทะยุ่งเหยิง กลับมาโบ้ยว่าอีกฝ่ายไร้คุณธรรม”
อวี้ถังหัวเราะ
นางเดินเข้าไปกอดคุณหนูสวี ในใจก็ลอบภาวนา ขอให้เรื่องนี้เป็นคุณหนูสวีที่คิดมากไปเอง หวังว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว นางกับคุณหนูสวีจะยังร่วมเดินทางเส้นเดียวกันได้
อวี้ถังพลันคิดถึงคนสองคนขึ้นมา
พี่น้องสกุลชวี
เพราะเรื่องของสกุลเว่ย แม้นางกับสองพี่น้องสกุลชวีจะเคยไปมาหาสู่ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนชะตาของสองพี่น้องสกุลชวีได้ คนทั้งสองยังเหมือนกับชาติก่อน บัดนี้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลินอัน ค่อยๆ เริ่มมีชื่อเสียง แต่อย่างไรชาตินี้ก็ต่างไปจากชาติที่แล้ว ชาติก่อนสกุลเผยนิ่งสงบไม่ยอมเคลื่อนไหว ชาตินี้อาจเพราะอวี้ถังเข้าไปพัวพันกับสกุลเผย หรืออาจเพราะเวลายังเร็วเกินไป จึงรู้สึกว่าสกุลเผยเปิดหน้าเปิดตากว่าเมื่อก่อน ออกมาปรากฏตัวให้ชาวหลินอันให้เห็นบ้างในบางครั้ง เป็นการเตือนสติชาวหลินอันอยู่เรื่อยๆ ว่าสกุลเผยต่างหากที่เป็นสกุลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองหลินอัน สองพี่น้องสกุลชวีจัดการเรื่องราวได้ระมัดระวังกว่าชาติก่อนมาก แต่ไรก็จะคอยดูทิศทางลมของสกุลเผยเสมอ ไม่กล้าล่วงเกินสกุลเผยง่ายๆ หาได้ท่าใหญ่วางโตเหมือนชาติก่อน
พี่น้องสองคนนี้สามารถเชื่อถือได้
แต่ประเด็นคือต้องจ่ายเงินมากน้อยเท่าไร
คุณหนูสวีย่อมยินดีจะควักเงินอยู่แล้ว
อวี้ถังเล่าเรื่องสองพี่น้องสกุลชวีให้คุณหนูสวีฟัง
คุณหนูสวีดีใจมาก “ไม่กลัวว่าคนเป็นอันธพาล กลัวแต่ไม่รู้รากเหง้า ในเมื่อเป็นคนเมืองหลินอัน เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้กังวล ข้าจะให้คนไปตามตัวสองคนนี้มาเลย ให้พวกเขาเร่งฝีเท้านำจดหมายไปส่งที่ไหวอันโดยไม่ต้องหยุดพัก หากเร็วขึ้นหนึ่งวัน ข้าจะให้เพิ่มสิบตำลึง ไม่สิ เอาไปยี่สิบตำลึงเลย”
จากหลินอันไปไหวอันเดินทางทางบกใช้เวลาสิบวัน ทางน้ำเจ็ดวัน หรือหากขี่ม้าเป็น สิบวันพอจะใช้ไปกลับได้เลย หากว่าตะบึงม้าเร็วโดยไม่พัก ไม่รู้แน่ว่าใช้เวลาเท่าไร
อวี้ถังคิดว่าจะช่วยสองพี่น้องสกุลชวีออกความเห็นดีหรือไม่ เช่นว่าให้ยืมม้าสักตัวจากสกุลเผย
แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไร
นับแต่นี้ พวกนางต่างมีจุดยืนคนละจุด
อวี้ถังให้ซวงเถานำสารไปส่งอาหมิง ให้อาหมิงพาสองพี่น้องสกุลชวีมาหา
สองพี่น้องสกุลชวีมาถึงตอนค่ำ ซวงเถานำจดหมายของคุณหนูสวีมอบให้พวกเขา
สองพี่น้องสกุลชวีเห็นว่าจดหมายส่งถึงท่านข้าหลวงไหวอัน อดจะมองอวี้ถังสักหลายทีมิได้ ไม่เพียงตอบรับอย่างชื่นมื่น พอออกจากวัดเจาหมิงก็ตามหาม้ามาใช้งานทันที
หัวใจของคุณหนูสวียังคงเต้นเร็วเหมือนรัวกลอง ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่ นางจึงบอกเรื่องนี้ให้นายหญิงสามสกุลหยางฟัง
นายหญิงสามสกุลหยางก็รู้สึกว่าตึงมือ
นางแค่อยากจะมาดูว่าคุณหนูรองสกุลเผยเป็นคนอย่างไร แล้วถือโอกาสนี้ลองดูด้วยว่าจะสามารถเกี่ยวดองกับสกุลเผยได้หรือไม่ สุดท้ายกลับถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ นางใคร่ครวญพักหนึ่ง แล้วเอ่ยกับคุณหนูสวีว่า “เรื่องนี้เจ้าทำดีมาก แม้พี่รองเจ้าจะไม่ชอบงานเอกสารอันเหน็ดเหนื่อย แต่มิใช่สิ่งที่จะปัดความรับผิดชอบได้ หากเป้าหมายในการจัดพิธีบรรยายธรรมของสกุลเผยคือเรื่องนี้จริงๆ พี่รองของเจ้าย่อมมีวิธีปลีกตัวพาพวกเราออกมาแน่ สองวันนี้เจ้าก็ไม่ต้องเดินเล่นไปทั่ว รอให้พิธีบรรยายธรรมทางนี้จบ พวกเรารีบเดินทางกลับไหวอันทันที”
คุณหนูสวีพยักหน้ารับ
นายหญิงสามสกุลหยางเอ่ยว่า “คุณหนูสกุลอวี้ตอนนี้ทำอะไรอยู่รึ?”
ความนัยก็คือ อวี้ถังไม่แน่ว่าจะเชื่อถือได้
คุณหนูสวีหัวเราะ เอ่ยว่า “นางนั่งเป็นเพื่อนข้าครู่หนึ่ง ปลอบใจข้านานสองนาน จากนั้นก็กลับห้องของตัวเองไป นางสั่งคนไปส่งจดหมายให้เด็กรับใช้ข้างกายเผยสยากวงที่ชื่อว่าอาหมิงอะไรนั่น บอกว่าอยากพบเผยสยากวง แต่เผยสยากวงก็ไม่ตอบจดหมายกลับมาเสียที ข้าเดาว่า เผยสยากวงทางนั้นคงวุ่นอยู่กับการต้อนรับคนสกุลเถากับสกุลเผิงอยู่ จึงไม่มีเวลาพบนาง หากว่าได้พบ ก็คงเป็นช่วงเย็นแล้ว”
เห็นได้ว่านางก็ส่งคนไปจับตาดูอวี้ถังเช่นเดียวกัน
คุณหนูสวียังเล่าเรื่องที่สองคนไปพบมาให้นายหญิงสามสกุลหยางฟังด้วย
นายหญิงสามสกุลหยางประหลาดใจนัก พลันมองอวี้ถังด้วยสายตาที่สูงขึ้น “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจากสกุลเล็กๆ กลับเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารี เห็นได้ว่าชาติกำเนิดของคนเป็นเรื่องหนึ่ง ความรู้ประสบการณ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เด็กคนนี้เจ้าคบหาไว้ได้!” ทั้งเอ่ยว่า “นางหมั้นหมายแล้วหรือยัง?” คิดว่าหากคุณหนูเช่นนี้สามารถแต่งเข้าสกุลนางหรือสกุลหลี สกุลจางได้ ล้วนแต่ไม่เลวทั้งสิ้น
คุณหนูสวีเม้มปากยิ้มๆ “ท่านเป็นแม่สื่อจนเคยตัวหรือเจ้าคะ? สกุลนางต้องการให้เขยชายแต่งเข้าเจ้าค่ะ”
นายหญิงสามสกุลหยางโบกมืออย่างไม่เชื่อ “มีเรื่องอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ได้บ้างล่ะ เรื่องของคุณหนูอวี้วันหลังค่อยว่ากันใหม่ พวกเราต้องรับมือเรื่องตรงหน้าให้ผ่านไปเสียก่อน”
คุณหนูสวีพยักหน้า “ข้าคิดว่าพิธีบรรยายธรรมนี้พวกเราไม่ต้องเข้าร่วมจะดีกว่า มิสู้หาข้ออ้างสักข้อเก็บตัวอยู่ในห้องเซียงฟาง”
ตอนพิธีบรรยายธรรมย่อมมีคนล้นหลาม หลายสกุลมาพร้อมหน้า พวกนางสกุลสวี สกุลหยาง สกุลอินล้วนมิใช่คนไร้ชื่อเสียง การไปปรากฏตัวที่นั่นจะสะดุดตาเกินไป
นายหญิงสามสกุลหยางก็เห็นด้วย
สกุลอินในรุ่นของอินหมิงหย่วนนี้ บ้านทั้งห้าสายมีคุณชายเพียงสามคน มีเพียงสะใภ้ของอินหมิงหย่วนที่มีเรื่องเช่นนี้ นายหญิงอีกสองคนของสกุลอินแม้พอจะดูแลงานในเรือนได้ แต่เรื่องอื่นกลับเละเทะไปหมด
นางเสนอว่า “บอกว่าข้าถูกไอเย็นกะทันหัน เจ้าต้องคอยดูแลข้าอยู่ในห้อง”
คุณหนูสวีจะให้ผู้อาวุโสแบกรับหน้าที่นี้ได้อย่างไร นางรีบเอ่ยว่า “บอกว่าข้าไม่สบายดีกว่าเจ้าค่ะ”
นายหญิงสามสกุลหยางส่ายหน้า คล้ายตัดสินใจแล้ว “เช่นนั้นไม่เหมาะ ไม่อาจให้เจ้ารับบทนั้นได้”
คุณหนูสวีต้องแต่งเข้าสกุลอิน อินหมิงหย่วนขึ้นชื่อว่ามีสุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ไม่อาจให้คุณหนูสวีรับบทนี้ได้อีก
เรื่องนี้จึงตกลงกันเสร็จสิ้น
นายหญิงสามสกุลหยางเอ่ยว่า “คุณหนูอวี้ทางนั้น ให้คนตามดูต่อไป ไม่แน่พวกเราอาจได้รู้จากเผยสยากวงว่าพิธีบรรยายธรรมของสกุลเผยนี้เป็นความตั้งใจหรือไร้เจตนากันแน่”
คุณหนูสวีรับคำ รอจนนายหญิงสามสกุลหยางเดินจากไป นางก็นั่งไม่ติด คิดว่าอวี้ถังมีนิสัยเข้ากับนางได้ แต่กลับไร้ที่พึ่งพา หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เก้าในสิบคงเป็นคนที่ต้องถูกทอดทิ้งแน่ นางคิดว่าตนไม่ควรยืนมองดูอยู่ข้างๆ เช่นนี้
ใคร่ครวญอยู่นาน นางตัดสินใจไปเตือนอวี้ถังสักคำ
นางค่อยลุกขึ้นยืน แล้วมุ่งหน้าไปทางเรือนพักของอวี้ถัง
อวี้ถังตอนนี้กำลังคุยกับเผยเยี่ยนอยู่ใต้ต้นการบูรในลานพอดี “…ที่ข้ารู้ก็มีแค่นี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านหรือไม่ แต่หวังให้เป็นแค่เรื่องตื่นตระหนกก็พอ”
เผยเยี่ยนยังคงสวมชุดต้าวผาวสีหม่นเหมือนเก่า ตั้งแต่ที่อวี้ถังเริ่มเปิดปากพูด เขาก็เอาแต่จ้องหน้าอวี้ถังอย่างจริงจัง ดวงตานิ่งเรียบไร้คลื่นเป็นสีดำลึกไม่สิ้นสุด ราวกับผิวทะเลยามราตรี ทำให้คนมองไม่เห็นถึงอันตราย
กระทั่งอวี้ถังพูดจบ เขาถึงเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ทำไมเจ้าต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟัง? เรื่องที่คุณหนูสวียังรู้ ข้าย่อมจะรู้อยู่แล้ว ข้าไม่มีทางด้อยไปกว่าคุณหนูสวีหรอก”
แค่นางนำเรื่องมารายงานเขาก็ยังผิด!
อวี้ถังโมโหจนทนไม่ไหว สะบัดมือแล้วหมุนตัวกลับ แต่ก็รู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง ด้วยกลัวเขาจะประมาทศัตรู จนทำให้สกุลเผยพลอยลำบากไปด้วย จึงได้แต่เอ่ยอย่างอดทนว่า “อย่างไรระวังไว้เป็นดีที่สุด สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดหมดแล้ว ถ้าท่านไม่อยากฟัง ต่อไปข้าก็จะไม่พูดอีก ท่านรู้แก่ใจไว้ก็ดี!” พูดจบ ก็หมุนตัวเดินกลับทันที
เผยเยี่ยนมองแผ่นหลังของอวี้ถัง ริมฝีปากกระตุกขึ้นหลายทีก่อนจะกลับคืนสู่อารมณ์ปกติ ส่งเสียงไปยังแผ่นหลังของนางว่า “เจ้าเดาสิว่าก่อนมาข้าได้เจอใคร?”
อวี้ถังอยากทำใจแข็งและเดินออกมาอย่างไม่สนใจ แต่นางก็รู้อีกว่า เผยเยี่ยนไม่มีทางพูดจาส่งเดช พูดแบบนี้ย่อมมีเหตุผลของเขา อีกอย่าง เรื่องนี้ก็ไม่มีทางเกี่ยวพันมาถึงนางหรือว่าสกุลอวี้ของนางอยู่แล้ว
นางได้แต่หันกลับไป จ้องเขาเขม็งแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านไปเจอใครมา?”
เผยเยี่ยนเอามือไพล่หลังยืนตะหง่านเหมือนสนสูง แต่ในสายตาของอวี้ถัง นางรู้สึกอย่างประหลาดเพราะเผยเยี่ยนคล้ายจะผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่แล้ว
เขาเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ท่านเสิ่นมาหาข้า”
ท่านเสิ่นมาหาเขาก็มาหาไปสิ เกี่ยวอะไรกับนาง?
อวี้ถังไม่เข้าใจ
เผยเยี่ยนลอบถอนหายใจในอก
คุณหนูอวี้มีประสบการณ์น้อยไปหน่อย ไม่เหมือนคุณหนูสวีผู้อยู่กับแผนผังเครือญาติตั้งแต่เล็ก แค่บอกคำเดียวเป็นรู้เรื่องแล้ว
เขาจึงได้แต่เอ่ยว่า “ท่านเสิ่นเป็นอาจารย์ของหลี่ตวน หลี่อี้ถูกตั้งข้อหาไม่ไว้วางใจ ตอนนี้อยู่ในคุก น่าจะถูกตัดสินให้เนรเทศ หลี่ตวนวิ่งรอกขอความช่วยเหลือ ท่านเสิ่นทางนี้รู้ข่าว เมื่อครู่เขากระหืดกระหอบมาหาข้า อยากให้ข้าเห็นแก่คนเมืองเดียวกัน ช่วยหลี่อี้พูดอะไรดีๆ สักหลายประโยค ให้ลดโทษเหลือเพียงปลดออกจากตำแหน่งจ่ายเงินชดเชยแทนการถูกเนรเทศ”
เช่นนี้หลี่อี้จะไม่ได้กำไรเกินไปหน่อยรึ!
อวี้ถังไม่เพียงก้าวขึ้นมาหลายก้าว ทั้งยังเอ่ยร้อนรนว่า “แล้วท่านตอบว่าอย่างไร?”
เผยเยี่ยนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง สีหน้าลังเล “ข้าตัดสินใจไม่ถูก พอดีเจ้าอยากพบข้า ข้าถึงมาหาก่อน สำหรับเจ้า เรื่องนี้สมควรทำอย่างไร?”
อวี้ถังเดือดดาลสุดขีด “ขจัดทุกข์ภัยให้ปวงประชา มีอะไรให้ต้องคิดมากอีก แม้คนเมืองเดียวกันควรจะไว้ไมตรี แต่ผู้ร่วมเมืองประเภทนี้ ใครช่วยคนนั้นก็เสื่อมเกียรติ ท่านจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? แค่คิดก็ไม่สมควรจะคิดด้วยซ้ำ” พูดถึงตรงนี้ นางก็ถลึงตาส่งให้เขาทีหนึ่ง
สายตานั่น กลับทำให้นางเห็นกระแสขบขันบางเบาในดวงตาของเผยเยี่ยน
อวี้ถังชะงักไป
ใช่หมายความถึงสิ่งที่นางคิดหรือไม่?
น่าเสียดายไม่รอให้นางขบคิดอย่างละเอียด เผยเยี่ยนก็ทำหน้าใคร่ครวญเอ่ยว่า “แต่ถ้าเนรเทศออกไป สกุลหลี่คงต้องจบสิ้นแน่ หลี่ตวนผู้นั้นนับว่ามีความสามารถ ในเมืองหลินอันนอกจากสกุลหลี่ก็ไม่มีสกุลใดมาชิงอันดับสูงต่ำกับสกุลเผยของข้าได้แล้ว…”
เขาต้องการปกป้องสกุลหลี่อย่างนั้นรึ?
อวี้ถังเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “สกุลท่านมีเรื่องให้หงุดหงิดใจมากพอแล้ว หากก้าวพลาดไปเหตุการณ์อาจพลิกผันได้ ยังคิดจะตั้งเป้าหมายอะไรอีก? รังเกียจว่าตอนนี้ยังวุ่นวายไม่พอรึ? มีคำหนึ่งพูดเอาไว้ว่า ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งอุบายใดๆ ย่อมไร้ประโยชน์ ท่านต้องกดข่มคนพวกนี้ไว้จนหายใจไม่ออก แล้วดูว่ายังมีใครกล้ามาปากดีต่อหน้าท่านอีก? ท่านจะทุ่มแรงสักครั้ง ให้คนพวกนั้นได้แต่อิจฉาแต่ไม่กล้าริษยาท่านไม่ได้รึ!”
————————————————————-