ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 219 ทะเลาะ
เผยเยี่ยนเลิกคิ้วแล้วส่งเสียง “อ้อ” ทีหนึ่ง สายตาที่ใช้มองอวี้ถังเปลี่ยนเป็นความมืดมิดคล้ายทะเลอีกครั้ง “ทำให้พวกคนที่อิจฉาไม่กล้าริษยาข้าอย่างนั้นรึ?!”
อวี้ถังพยักหน้ารัวเร็ว
หลักการนี้ เป็นสิ่งที่นางขบคิดออกมาได้เมื่อชาติก่อนหลังจากแต่งเข้าสกุลหลี่
นางพูดต่อว่า “ยกตัวอย่างเช่น หากท่านเป็นเพียงแค่จิ้นซื่อธรรมดาคนหนึ่ง ย่อมมีสหายร่วมชั้นอิจฉาที่ท่านก้าวหน้าแต่ยังเยาว์ คิดจะชิงความสูงต่ำกับท่าน แต่ถ้าท่านสอบผ่านซู่จี๋ซื่อ เป็นผู้สังเกตการณ์ของหกกรม ก้าวขึ้นตำแหน่งสูงส่งอย่างง่ายดาย อยู่ในสำนักการทูตไม่ก็กรมขุนนาง แต่สหายร่วมรุ่นของท่านเหล่านั้นไปเป็นนายอำเภออยู่ที่อำเภอจวี้หรง ระหว่างพวกท่านมีระยะที่ห่างกันมากเกินไป ท่านว่าเขาจะยังกล้าเล่นลูกไม้กับท่านอยู่ไหม แต่ถ้าผู้อื่นสอบเป็นซู่จี๋ซื่อได้เหมือนท่าน หลังจากสังเกตการณ์หกกรมแล้วถูกส่งไปยังสำนักการทูตไม่ก็รับตำแหน่งจี้ซื่อจงต่อ เขาย่อมรู้สึกว่าเท่าเทียมกับท่าน แค่ออกแรงวิ่งหน่อยก็ไล่ตามท่านทันแล้ว เขาต้องคิดใช้อุบายกับท่านแน่ ความหมายของข้าก็คือ ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งสนใจเลยว่าใครคิดจะลากสกุลเผยลงจากหลังม้า ท่านต้องรีบตามหาสหายร่วมชั้นหรือสหายขุนนางที่ยังอยู่ในราชสำนัก หาตำแหน่งดีๆ มอบให้นายท่านรองสักตำแหน่ง แล้วหาทางขยับขยายกิจการของสกุลเผยให้ยิ่งใหญ่ ให้คนอื่นรู้ว่าท่านมิใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ หากแตะต้องท่าน มันจะต้องถูกถลกหนัง เช่นนี้ใครหน้าไหนก็ไม่กล้ามาตอแยท่านแล้ว”
เผยเยี่ยนคิดตามอย่างตั้งใจ “แต่สกุลเรานับแต่บรรพบุรุษก็มักจะเก็บตัวและอดกลั้น หากว่าเวลานี้ทำตัวโดดเด่น ย่อมจะขัดต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ผู้อาวุโสในสกุลคงจะไม่พอใจแน่”
“ในเวลาแบบนี้ ท่านต้องพลิกแพลงให้มาก” อวี้ถังร้อนใจจนแทบไหม้แล้ว “สกุลท่านมิใช่แบ่งตั้งหลายบ้านรึ? ถ้าพวกท่านบ้านสายตรงอยากคิดอดกลั้น เช่นนั้นก็ให้บ้านอื่นออกหน้าโดดเด่นไป แต่หากบ้านอื่นต้องการเก็บตัว เช่นนั้นบ้านสายตรงของพวกท่านก็ต้องก้าวออกมาเผชิญกับลมฝนแล้ว ขอเพียงผ่านด่านนี้ไปได้ ต่อไปค่อยถอยไปเก็บตัวใหม่ ทุกคนย่อมจะลืมเรื่องนี้ไปเอง”
เผยเยี่ยนไม่ได้บอกนางอย่างชัดเจนว่าสกุลเผยได้ให้เงินองค์ชายสามหรือไม่ แต่จากสายตานาง คำตอบเช่นนี้ของเผยเยี่ยน นับว่าได้เฉลยความต่อนางแล้ว ภายใต้อำนาจอันแข็งแกร่ง ไม่มีใครกล้าชนกันแรงๆ หรอก ต่อให้สกุลเผยต้องการวางตัวออกห่างจากปัญหา แต่ขอเพียงเคยให้เงินแม้ครั้งเดียว ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนทันที เหล่าสกุลใหญ่ในเจียงหนานจะโยนสกุลเผยออกไปให้เป็นแพะรับบาป…เพราะตอนนี้มีเพียงสกุลเผยเท่านั้นที่ไม่มีคนรับตำแหน่งในราชสำนักเลย
เมื่อคิดเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยช่างจากไปได้ไม่ถูกเวลาเลยจริงๆ!
ชาติก่อน สกุลเผยย่อมประสบกับเรื่องเช่นนี้
มิน่าสกุลเขาถึงได้เอาแต่เก็บตัวและข่มกลั้น
มิน่าเผยเยี่ยนถึงได้ดูหมดอาลัยและอ้างว้าง
ท่านผู้เฒ่ามอบสกุลเผยให้เขา แต่เขากลับไม่อาจรักษาความเรืองรองของสกุลเผยอย่างในอดีตไว้ได้
ตอนนั้นสกุลหลี่ผยองได้ตามอำเภอใจ จนนางรู้สึกว่าสกุลหลี่แทบจะชิงความสูงต่ำกับสกุลเผยได้แล้ว
คิดถึงตรงนี้ อวี้ถังก็ร้องเหอะออกมาเสียงหนึ่ง แล้วถามเผยเยี่ยนว่า “เรื่องของสกุลหลี่ท่านรับปากไปแล้วหรือ?”
สกุลหลี่เป็นหมาป่าดุร้ายอกตัญญู หากว่าเขายอมปล่อยสกุลหลี่ไปแบบนี้ นางคงดูแคลนเผยเยี่ยนอย่างมาก
เผยเยี่ยนกลับตีหน้าปกติ “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่า อย่างไรสกุลหลี่ก็ต้องพังครืนแน่ มิสู้ปลดพวกเขาออกจากตำแหน่งต่างๆ ในหลินอัน ให้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมไปสักหลายปี ทั้งได้ใช้เรื่องนี้เป็นบทเรียน ทั้งแสดงให้เห็นความใจกว้างของข้า แต่พอตอนนี้ได้ยินเจ้าพูด สายตาของข้าถึงมองไกลขึ้นอีกหน่อย ไม่สมควรคำนึงถึงแค่เมืองหลินอันเล็กๆ แห่งนี้ แต่ควรไปแย่งชิงกับสกุลใหญ่ในแถบเจียงหนานพวกนั้นดีกว่า หากเป็นเช่นนั้น สกุลหลี่จะยังคงอยู่หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรแล้ว เจ้าว่า ให้สกุลหลี่กลับเมืองหลินอันดี? หรือเตะเขาไปไกลๆ ต่อไปอย่าได้คิดย่างเท้าเข้ามาที่เมืองหลินอันอีก?”
อวี้ถังมองไปยังเผยเยี่ยนด้วยความฉงน
เผยเยี่ยนเปลี่ยนมาเป็นคนพูดง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
นางมองเขาอีกครั้ง
ท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง…เถรตรงอย่างหาใดเปรียบ…เหตุใดดูแปลกตาไปเช่นนี้….
ชั่วขณะนั้นเอง ในใจของอวี้ถังสว่างวาบ พลันเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมา เผยเยี่ยนกำลังเย้ยหยันนางอยู่รึ?
นางเป็นใครในสกุลเผยกัน? เรื่องของสกุลเผยต้องให้นางมาออกความเห็นตั้งแต่เมื่อไร?
อวี้ถังทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง ไม่รู้เพราะความหวังดีของตนถูกสบประมาท หรือเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าไม่เห็นตนในสายตากันแน่
“ขออภัย!” ดวงตาของนางมีน้ำตาเอ่อคลอ กลางอกคล้ายมีหินก้อนใหญ่กดทับ “เป็นข้าล้ำเส้นเอง ท่านมีประสบการณ์เห็นอะไรมามาก เหตุผลพวกนี้คงกระจ่างกว่าข้าเป็นแน่ ท่านจะจัดการกับสกุลหลี่อย่างไรก็ทำตามนั้นเถอะ ข้า ข้าไม่ควรจะสอดปากอยู่แล้ว ข้าแค่กังวลว่าสกุลเผยจะถูกสกุลใหญ่พวกนั้นรวมหัวใส่ร้าย เป็นข้าคิดมากไปเอง สกุลท่านมีจิ้นซื่อถึงสี่คน ถ้ากระทั่งสกุลท่านยังต้านรับไม่ไหว สกุลอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกอย่างสกุลท่านยังต้องดองกับสกุลกู้ กู้ฉ่างผู้นั้นเป็นคนเก่งกาจจะตาย อย่างไรเขาก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
ชาติก่อน ขนาดสกุลหลี่เป็นเช่นนั้น กู้ฉ่างยังคอยคุ้มครองสกุลหลี่อยู่เรื่อย สกุลเผยมีภูมิหลังแข็งแกร่งกว่าสกุลหลี่ตั้งเท่าไร เมื่อสองสกุลดองกัน ก็เหมือนผู้แข็งแกร่งจับมือกันเอง นางยังมาพร่ำพรรณนาอะไรอยู่ตรงนี้?
ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!
อวี้ถังเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม พลันไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ “ท่านคงจะยุ่งมาก ข้าไม่รบกวนเวลาแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
คนที่เข้าร่วมพิธีบรรยายธรรมในวันพรุ่งนี้มาถึงครบแล้ว ย่อมจะคึกคักเป็นพิเศษ แต่นางคงไม่ร่วมความคึกคักนี้ด้วย
นั่งคัดหนังสือสวดมนต์อยู่ในห้องเซียงฟางกับมารดาจะดีกว่า
หนังสือสวดมนต์ที่มารดาคัดให้ท่านแม่เฒ่าขาดอีกเพียงสองหน้าสุดท้ายแล้ว นางอยากคัดหนังสือสวดมนต์สักบทให้บิดาและญาติผู้พี่ของตนบ้าง
อวี้ถังบังคับให้ตัวเองหันไปคารวะเผยเยี่ยนทีหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินหนี
เผยเยี่ยนยืนงงอยู่ที่เก่า
ในความคิดเขา อวี้ถังก็เหมือนกับดอกไห่ถัง ไม่ว่าลมพัดหรือชุ่มฝนจนเปียกโชกอย่างไร ขอเพียงเจอแสงอาทิตย์ก็กลับมาเบ่งบานอย่างสดใสได้ดังเก่า เขาก็แค่ยั่วเย้านางไม่กี่ประโยค เหตุใดจู่ๆ นางจึงเสียใจแทบจะร้องไห้เลยเล่า?
หรือเขาทำเกินไปรึ?
ก็ไม่น่าใช่?
ตอนแรกที่นางใช้ชื่อสกุลเผยอวดเบ่งตนก็มิใช่กล้าหาญและมีเหตุผลเต็มไปหมดหรอกหรือ?
ขนาดถูกเขาจับได้ยังดื้อดึงไม่รับผิด แสร้งทำเป็นนอบน้อมและคล้อยตามอยู่เลย
เขามองตามแผ่นหลังที่หยัดตรงแต่คล้ายเงียบเหงาของอวี้ถัง พลันรู้สึกอับจนอยู่บ้าง
คงเป็นเขาที่ทำพลาดไปกระมัง?
ไม่อย่างนั้นนางคงจะไม่โกรธถึงเพียงนี้
แม้สิ่งที่นางพูดเขาจะรู้อยู่แล้ว แต่ที่นางเลือกมาบอกตน ก็เพราะว่าหวังดีใช่หรือไม่?
มองเห็นนางเสียใจเช่นนี้ หรือเขาควรก้มหน้ายอมรับผิด…บุรุษที่ดีไม่มีเรื่องกับสตรี เขายอมก้มหน้า ก็เพราะเขาเป็นคนใจกว้าง…
เผยเยี่ยนไตร่ตรอง คิดว่าตัวเองมีเหตุผลไม่น้อย
เขาเรียกอวี้ถังไว้ “ถึงแม้ว่าข้าทางนั้นจะยุ่งมาก แต่เจ้ามิได้อยากเจอข้ารึ? ข้าคิดว่าต้องมีเรื่องด่วนแน่นอน ทั้งคิดว่าเจ้าสมควรจะรู้เรื่องของสกุลหลี่อยู่พอดี แล้วมันก็ถึงเวลาเดินเล่นของข้าด้วย ถึงได้มาคุยกับเจ้า”
อวี้ถังแสยะยิ้มในใจ
ในเมื่อนางรู้จักตำแหน่งที่ทางของตนในใจเผยเยี่ยนแล้ว นางย่อมไม่ไปทำให้ผู้อื่นเกลียดชังเล่นๆ หรอก
“ท่านพิจารณาเรื่องราวได้รอบคอบกว่าข้า เรื่องนี้แน่นอนต้องให้ท่านเป็นคนตัดสินใจ” อวี้ถังเอ่ยอย่างเกรงใจ สีหน้าประดับยิ้มน้อยๆ ดูทั้งอ่อนหวานและว่าง่าย
เผยเยี่ยนกลับรู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ
เขาเคยเห็นอวี้ถังหัวเราะเสียงดัง รอยยิ้มที่สว่างไสวเหมือนดวงตะวันนั่นแทบจะล้นออกมาจากดวงตา แต่เมื่อมองนางตอนนี้ แม้ว่ารอยยิ้มจะมี แต่กลับเจือท่าทางสงวนกิริยาหลายส่วน
เผยเยี่ยนรู้แล้วว่ามันต่างกันที่ตรงไหน?
ดวงตานางไม่ได้ยิ้มตามด้วย
รอยยิ้มที่ส่งให้เขา ก็แค่ทำตามมารยาทไปอย่างนั้น
สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์
เมื่อก่อนตอนที่นางอยู่ต่อหน้าเขา ต่อให้จะรักษามารยาทแต่ก็แฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้ ราวกับว่าแม้จะเล่นลูกไม้กับเขาแต่ตนเองก็ครบพร้อมด้วยเหตุและผล เหมือนกับว่า…เหมือนว่าเขาเป็นคนกันเอง เหมือนนางรู้ว่าต่อให้เขาโมโหก็คงทำอะไรนางไม่ได้…นางเชื่อใจเขา
ใช่แล้ว!
เป็นความเชื่อใจ
แต่บัดนี้ ความเชื่อใจนั่นมันไม่มีแล้ว
ตอนนี้นางกำลังระแวงเขาอยู่
นางกลัวเขา
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขาเย็นเยียบ
ไม่เคยมีใคร ปฏิบัติกับเขาเช่นนี้มาก่อน
คนอื่นมักจะหยั่งเชิงเขา หรือว่าก็วางแผนโน้มน้าวเขา คิดอยากให้เขากลายเป็นคนที่เชื่อไจได้ของอีกฝ่าย
อวี้ถังกลับไม่เคยลองหยั่งเชิงเขา ทั้งไม่เคยพยายามโน้มน้าวเขา ตั้งแต่เริ่มแรกนางก็เข้าใกล้เขาด้วยความระมัดระวัง นางมาอยู่ใกล้ๆ และมองสีหน้าเขาเสมอก่อนจะทำสิ่งใด นางมักจะล้อเล่นกับเขาเล็กๆ น้อยๆ ในขอบเขตที่เขารับได้…นอกจากบิดามารดาของเขา นางเป็นคนเดียวที่เชื่อใจเขามาตั้งแต่ต้น ทั้งไม่เคยนึกสงสัยเขาเลยสักครั้ง
ก็เหมือนกับลูกแมวลูกสุนัข ที่เกิดมาก็เชื่อใจเขาแล้ว
พวกเขาเดินมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไรนะ?
ลูกแมวลูกสุนัขมักจะรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจเพราะถูกตี เขา เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนี่นา!
สมองของเผยเยี่ยนหมุนแล่นอย่างว่องไว นึกย้อนบทสนทนาเมื่อครู่ของพวกเขา
และเขาได้พบข้อผิดพลาดอย่างรวดเร็ว
คือตอนที่เขาถามนางว่าจะจัดการกับสกุลหลี่อย่างไร?
สกุลหลี่สำคัญกับนางเพียงนั้นเชียว? พอเขาทำไม่ถูกใจนาง นางถึงขั้นเสียใจและเจ็บปวด?
เผยเยี่ยนรู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก
สกุลหลี่นับเป็นตัวอะไร? มันมีค่าพอให้นางโกรธเขาเลยรึ
ทำท่าราวกับว่าจะไม่เชื่อใจเขาอีกแล้ว
เผยเยี่ยนบอกว่า “เจ้าพูดมาเถอะ จะจัดการกับสกุลหลี่อย่างไร? เสิ่นซ่านเหยียนนั่งอยู่ทางโน้นไม่ยอมกลับ พวกเราควรรวบรัดเด็ดขาดแล้วจบเรื่องนี้เสีย อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปเจอกู้เจาหยางอีก!”
กู้เจาหยางน่าจะมาคุยกับเขาเรื่องเผยถง
การมาถึงอย่างกะทันหันของเสิ่นซ่านเหยียน ตัดแทรกบทสนทนาของพวกเขา
พี่สะใภ้ใหญ่ของเขาต้องการดองกับสกุลกู้ ก็เพราะอยากให้เผยถงได้ออกไปเล่าเรียนหนังสือ
กู้เจาหยางไม่มีทางตัดใจง่ายๆ แน่
ส่วนเรื่องตรวจสอบองค์ชายสามนั้น กู้เจาหยางเป็นคนฉลาด เขาถึงขนาดปฏิเสธการเกี่ยวดองกับสกุลซุน ย่อมมิใช่คนถือดีทำอะไรบุ่มบ่ามแน่
ทำร้ายสกุลใหญ่ในเจียงหนาน พวกเขาสกุลกู้ก็รอถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวได้เลย!
อวี้ถังตกตะลึง
เผยเยี่ยนหมายความว่าอย่างไร?
นางได้พูดอะไรแล้วหรือยัง?
นางให้เขามีอำนาจตัดสินใจเรื่องของสกุลหลี่อย่างเต็มที่ก็ผิดรึ?
อวี้ถังเดือดกว่าเก่า เอ่ยเสียงเย็นว่า “สกุลหลี่เดิมก็ไม่เกี่ยวอะไรกับสกุลข้า ข้าก็แค่เกลียดชังและเคียดแค้นเขาในฐานะศัตรูเหมือนกัน ไม่อยากให้สกุลอื่นต้องมารับเคราะห์เหมือนอย่างสกุลข้า ในเมื่อสกุลหลี่เจอปัญหา พวกเขาก็คงไม่อาจทำร้ายผู้อื่นได้อีก เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว อยากจะจัดการเขาอย่างไร นายท่านสามก็ตัดสินใจเองเถิด เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าเองก็ออกมานานแล้วด้วย ท่านแม่คงจะเป็นห่วง ขออภัยที่ไม่อาจอยู่คุยกับท่านต่อได้ ขอตัวเจ้าค่ะ!”
ครั้งนี้ นางสาวเท้าเข้าเรือนไปโดยไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ
เผยเยี่ยนโมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง มองไปทางไหนก็รู้สึกขัดตาไปหมด จึงยกขาถีบต้นการบูรซึ่งใหญ่เท่าคนโอบไปหนึ่งเท้า
ใบไม้สั่นไหวเป็นเสียงกระพือ มีใบไม้มากมายที่โรยร่วงลงมา
เผยเยี่ยนเดือดดาลยิ่งกว่าเก่า
เจ้าอยากจะให้ลงโทษสกุลหลี่นักใช่หรือไม่? เขาก็จะขัดใจนางไปเช่นนี้แหละ
เขาจะลากสกุลหลี่กลับมาที่หลินอัน วันๆ ก็ให้วนเวียนอยู่ในสายตาเขา พอมีเวลาว่างก็จะตะปบใส่สักทีสองที
ในเมื่อทำให้เขาไม่เป็นสุข เช่นนั้นใครก็อย่าคิดที่จะอยู่อย่างสงบสุขเลย!
เผยเยี่ยนเดินจากไปด้วยความเกรี้ยวกราด
คุณหนูสวียื่นศีรษะออกมาจากก้อนหินใหญ่ด้านข้าง
ไอหยา นางมาเจอเรื่องใหญ่เข้าแล้ว
ที่แท้คุณหนูอวี้ไม่เพียงขอพบเผยเยี่ยนได้ทุกเวลา นางยังกล้าทะเลาะกับเผยเยี่ยนด้วย ซ้ำทำให้เผยเยี่ยนเดือดปุดๆ กลับไปอีก
สองคนนี้ ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่
ดวงตาของคุณหนูสวีกลิ้งหลุกหลิกอย่างรวดเร็ว
พรุ่งนี้จะเรียกอวี้ถังให้มาเล่นเป็นเพื่อนนางดีหรือไม่นะ?
นางปิดปากหัวเราะ
เสียงหัวเราะนั่นเหมือนกับจิ้งจอกน้อยไม่มีผิด
————————————————————-