ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 22 หลี่จวิ้น
นี่คือผลลัพธ์ที่อวี้ถังต้องการ
นางสาวเท้าเดินต่อไป ไม่สนใจสายตาที่มองมา แสร้งเกี่ยวหมวกคลุมหน้าให้เปิดออกด้วยความอยากรู้
จากนั้นนางก็มองเห็นดวงหน้าที่อ้าปากค้าง ตาเบิกโต
ต้าวผาวสีเขียวใบไผ่…ถุงผ้าสองใบ…ใบหนึ่งสีเขียวน้ำไหล อีกใบสีเขียวทะเลสาบ…
อวี้ถังตามหาหลี่จวิ้นที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนเบี่ยงไปทางทิศตะวันตกเจออย่างรวดเร็ว
เขายังไม่ถึงวัยสวมหมวก ผิวพรรณขาวผ่อง เครื่องหน้าหล่อเหลา หน้าตาสำราญยิ้มแย้ม กำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนที่อยู่ข้างๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ เขาจึงหันหน้ามามอง สายตาก็พลันเห็นอวี้ถังเข้าพอดี
อวี้ถังเห็นปากของเขาเปิดอ้าอย่างช้าๆ ดวงตาก็ค่อยๆ เบิกโต จ้องเขม็งมาที่นางอย่างไม่วอกแวกราวกับคนเสียสติ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ผู้นี้ก็คือหลี่จวิ้นหรือ?
อวี้ถังกะพริบตาปริบๆ
ในจินตนาการของนาง หากว่าหลี่จวิ้นรู้จักนาง เมื่อเห็นว่านางโผล่มาที่นี่กะทันหัน เขาควรจะประหลาดใจถึงจะถูก หากไม่รู้จักนาง ก็ต้องรู้สึกแปลกหน้า หรือมองทีหนึ่งก็ผละสายตาหนี เหมือนกับนายท่านสามสกุลเผยตอนที่เจอนางครั้งแรก ไม่ก็อาจจะมองสำรวจนางด้วยความอยากรู้
ทว่า…อวี้ถังคิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของหลี่จวิ้นจะเป็นเช่นนี้
มันทำให้นางไม่อาจตัดสินได้ว่าเขาเคยรู้จักนางมาก่อนหรือไม่
แต่นางก็ไม่อาจถอยกลับ…เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว จะหาโอกาสเช่นนี้อีกคงยากเย็นนัก สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใด นางกลัวว่าบิดามารดาจะชมชอบคู่หมายคนนี้ แล้วลอบตอบตกลงกับสกุลหลี่ไปก่อน
อวี้ถังครุ่นคิด ก่อนจะส่งยิ้มให้หลี่จวิ้น
ดวงหน้าของหลี่จวิ้นพลันขึ้นสีแดงก่ำ แต่เขาก็ดึงสติกลับมาได้
เขาก้มหน้าลงอย่างละอาย แสร้งจิบชาอึกหนึ่ง แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้เงยหน้ามองอวี้ถังไม่ได้ ท่าทีคล้ายว่าสนใจอยากรู้เป็นที่สุด
อวี้ถังเดินขึ้นไปอีกหลายก้าว จนหยุดที่ใต้ต้นสนตื่นรู้ นางมองหลี่จวิ้น แล้วเอ่ยว่า “ขอถามทางคุณชายทุกท่านได้หรือไม่?”
หลี่จวิ้นทำหน้าลังเล คุณชายที่อยู่ใกล้อวี้ถังที่สุดลุกยืนขึ้น ดวงหน้าแดงแจ๋ แล้วเปล่งเสียงค่อนข้างสูงคล้ายตื่นเต้นออกมา “แม่นางท่านนี้ ท่านสามารถถามข้าได้” พูดจบ ก็หันไปประสานมือคารวะอวี้ถังทีหนึ่ง “ข้าสกุลเฉิน เป็นคนหลินอัน อำเภอป่านเฉียว อยู่ที่หมู่บ้านเฉินเจียทางตะวันออกของป่านเฉียว…”
บัณฑิตสกุลเฉินยังไม่ทันได้สาธยายจนจบ ก็ถูกคนผู้หนึ่งผลักไปด้านข้าง แล้วโผล่มาพูดกับอวี้ถังว่า “แม่นางไม่ต้องฟังเขา เขาเป็นคนป่านเฉียว จะรู้ดีกว่าข้าที่ทะเบียนราษฎร์อยู่หมู่บ้านหมีถัวได้อย่างไร แม่นางต้องการถามทางไปที่ใดหรือ?”
“เฮ้ยๆ! ฟู่เสี่ยวหวั่น เจ้าจะเกินไปแล้วนะ” บัณฑิตสกุลเฉินชี้หน้าคนที่พูดกับอวี้ถังด้วยความโมโห “กระทั่งกฎมาก่อนมาหลังยังไม่รู้จัก เสียทีเป็นถึงศิษย์สำนักขงจื่อ ผู้เลื่อมใสในเมิ่งจื่อ”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับการเรียนเล่า?” มีคนเดินเข้ามาจับไหล่คนที่ชื่อฟู่เสี่ยวหวั่น หัวเราะใส่บัณฑิตสกุลเฉินแล้วเอ่ยว่า “เฉินเหยา พวกเราช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น เป็นแค่การทำความดีเท่านั้น นานาจิตตัง ต่างคนต่างคิด เจ้าอย่าคิดว่าผู้อื่นจะเหมือนกับเจ้า” อาจเพราะวาจานี้ไม่น่าฟังเท่าไร คนผู้นั้นจึงพูดไว้อย่างคลุมเครือ
ผู้ที่ถูกเรียกว่าเฉินเหยาโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
ทันใดก็มีคนเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ “เอาล่ะ เอาล่ะ เฉินฟาง เฉินเหยา ฟู่เสี่ยวหวั่น พวกเจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย พวกเจ้าทำผู้อื่นตกใจเสียแล้ว”
อวี้ถังหันไปมอง เป็นหลี่จวิ้น
หลี่จวิ้นมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้นาง ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า “แม่นาง สหายบัณฑิตเหล่านี้ของข้าล้วนเป็นคนดี เพียงแค่ชอบล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ท่านตกใจกระมัง!”
ฟู่เสี่ยวหวั่นปล่อยเสียงหัวเราะพรวดออกมา เอ่ยว่า “หลี่จวิ้น คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[1] คนอย่างเจ้า ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีมารยาทกว่ากันสักเท่าไร!”
“เสี่ยวหวั่น!” เฉินฟางห้ามปรามฟู่เสี่ยวหวั่น มองออกได้ทันทีว่า พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ฟู่เสี่ยวหวั่นไม่ได้พูดอะไรอีก
อวี้ถังพลันรู้สึกยินดี
นางไม่ได้มองหาผิดคน ทั้งยังได้สนทนากับหลี่จวิ้นด้วย
อวี้ถังเอ่ยกับหลี่จวิ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายท่านนี้ ขอบใจมาก! ข้าต้องการไปน้ำตกสีปี่ ไม่ทราบว่าต้องเดินไปทางใด?”
หลี่จวิ้นชี้ทางบอกนางอย่างกระตือรือร้น “เจ้าตรงไปทางนี้ จะมองเห็นมุมประตูสีแดง แล้วเดินไปทางซ้ายก่อน…”
เหล่าสหายข้างกายเขาพลันโห่ร้องขึ้นมาจากด้านหลัง
ฟู่เสี่ยวหวั่นยิ่งกระเซ้าต่อว่า “ที่แท้แม่นางอยากให้คุณชายหลี่เป็นคนบอกทางนี่เอง! มิน่ามิสนใจพวกข้าเลย!”
เพียงแต่วาจานี้ของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเฉินฟางตบเข้าที่ไหล่เสียก่อน พลางเอ่ยตำหนิว่า “พูดจาเหลวไหลอะไร?”
ฟู่เสี่ยวหวั่นหัวเราะชอบใจ
มีคนพูดขึ้นว่า “เขาเป็นถึงคุณชายรองสกุลหลี่แห่งตอนใต้ นามว่าหลี่จวิ้น ชื่นชอบการไปขี่ม้าที่ทางม้าเร็วนอกเมืองที่สุด แม่นางจำไว้ให้ดี ครั้งหน้าหากหลงทางอีก สามารถไปสอบถามที่นั่นได้”
หลี่จวิ้นทำท่ากระอักกระอ่วนอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามหรือปฏิเสธคำพูดของคนผู้นั้น
อวี้ถังประหลาดใจ
หลี่จวิ้นทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
มิใช่เข้าใจผิดว่านางชอบพอเขากระมัง?
อวี้ถังกำลังขบคิดว่าทำอย่างไรจะกำจัดความเข้าใจผิดนี้ไปได้ ก็ได้ยินเฉินเหยาพูดด้วยท่าทีกะล่อนว่า “คุณชายหลี่ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย ยังไม่รีบถามอีกว่าแม่นางผู้นี้เป็นคนสกุลใด อย่าได้ทำลายความรู้สึกอันลึกซึ้งที่ผู้อื่นมีให้เสียเล่า”
วาจานี้ออกจะมากเกินไปหน่อย
อวี้ถังขมวดคิ้ว
หลี่จวิ้นหันกลับไปถลึงตาใส่เฉินเหยาด้วยความไม่พอใจ
เฉินฟางเบิกตาโตด้วยความเดือดดาล ตวาดใส่เฉินเหยาไปว่า “พูดจาไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก”
เฉินเหยาเอ่ยว่า “คุณชายเฉินมาจากสกุลใหญ่โต ทั้งมาจากเมืองหังโจว เป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นพวกบ้านนอกอย่างเราอยู่ในสายตา”
“เจ้าหมายถึงใคร?” ฟู่เสี่ยวหวั่นออกหน้าแทนเฉินฟาง โมโหใส่อีกฝ่ายว่า “เจ้าพูดจาอะไรให้มันน้อยๆ หน่อยนะ”
“ข้าพูดถึงเฉินฟาง เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
พวกฟู่เสี่ยวหวั่นกับเฉินเหยาเริ่มโต้เถียงกัน
หลี่จวิ้นไม่เพียงเข้าไปช่วย แต่กลับยืนอยู่ตรงหน้าอวี้ถัง อึกๆ อักๆ อยู่พักใหญ่ ประสานมือคารวะให้นางอีกรอบ เอ่ยว่า “ยังไม่ทราบเลยว่าแม่นางเป็นลูกหลานสกุลใด? มีสาวใช้และบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วยหรือไม่? ทางโน้นมีตั่งหินเตี้ย หากว่าแม่นางไม่รังเกียจ มิสู้ไปนั่งพักสักครู่ ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปตามคนของแม่นางมาที่นี่”
อวี้ถังพลันเหมือนถูกแช่ในธารน้ำแข็ง
ความจริงเข้าปะทะโดยไม่ทันตั้งตัว
นางคิดว่าตนต้องออกแรงเพิ่มอีกหน่อย ใครจะคิดว่าหลังจากไม่กี่ประโยคของหลี่จวิ้นก็เปิดเผยเรื่องราวออกมาแล้ว
หลี่จวิ้นแต่เดิมก็ไม่รู้จักนาง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางคือใคร
คนสกุลหลินโกหก!
แต่ทำไมนางต้องโกหกด้วยเล่า?
เพราะต้องการให้นางแต่งกับหลี่จวิ้นหรือ?
คนสกุลหลินต้องการอะไรกันแน่?
ชาติก่อน นางสูญเสียบิดามารดา ครอบครัวตกต่ำ ขนาดสินเจ้าสาว ก็มีเหลืออยู่ไม่เท่าไร?
เหตุใดคนสกุลหลินถึงดึงดันให้นางแต่งกับหลี่จวิ้นให้ได้?
หรือเพราะคนสกุลหลินรู้ว่าหลี่จวิ้นมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน?
อวี้ถังรีบปัดความคิดนี้ตกไปทันที
ต่อให้หลี่จวิ้นจะจากไปเร็ว แต่สกุลหลี่จะหาหมิงฮุน[2]ให้หลี่จวิ้นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เหตุใดต้องทำเรื่องให้วุ่นวายซับซ้อน จะต้องเป็นนางให้ได้ด้วย?
อวี้ถังคิดไม่ออกจริงๆ
—
ชั้นสองของหอเก็บคัมภีร์ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง เผยเยี่ยนได้เห็นทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสายตา ใบหน้าขมวดเกร็งแน่น ดวงหน้าเดิมที่ไร้ซึ่งอารมณ์ยิ่งเย็นเยียบ หนาวยะเยือก
ยังไม่ทันเข้าหน้าหนาว ก็ทำให้คนรู้สึกเย็นเยือกถึงไขกระดูกได้แล้ว
ท่านอาจารย์ฮุ่ยคงเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงที่มาถึงได้ไม่นานมองมือแข็งเกร็งที่บีบราวระเบียงสีแดงเข้มอยู่ มันขาวผ่องดั่งหยก ยาวเรียวดั่งลำไผ่ แต่กลับกุมอำนาจของสกุลเผยไว้ในมือ ทำให้คนมองไม่กล้าขยับตัว และอดจะลอบส่ายหน้าในใจมิได้ “ประสกมองดูอะไรจากตรงนี้หรือ?”
เผยเยี่ยนดึงสายตากลับมา มองฮุ่ยคงอย่างเฉยเมยทีหนึ่ง มิได้ส่งเสียงใดๆ
ฮุ่ยคงไม่ได้ถือสา เดินไปที่ข้างกายเขา มองเหล่าชายหญิงให้ต้นสนตื่นรู้ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากว่าประสกไม่มีความเห็นอื่น อาตมาอยากเชิญให้ประสกดูภาพม้วนหนึ่ง”
เผยเยี่ยนไม่ได้พูดจา เส้นลมปรานสีเขียวจางๆ นูนขึ้นหลังมือเขา คล้ายว่ามือนั้นจะกำแน่นยิ่งกว่าเดิม
ฮุ่ยคงชี้ไปที่พวกอวี้ถังกับหลี่จวิ้นที่อยู่เบื้องล่าง เอ่ยว่า “ประสกท่านดูนั่นสิ!”
เขาไม่คาดหวังว่าเผยเยี่ยนจะตอบกลับ ดังนั้นจึงเอ่ยต่อไป “พวกเรามองลงไปจากชั้นสอง รู้สึกเพียงว่าพวกเขาเป็นกิ่งทองใบหยก สวรรค์สรรสร้างคู่หนึ่ง คุณชายท่านนั้นคล้ายว่าจะปักใจต่อแม่นางท่านนั้นยิ่งนัก เขาพูดคุยกับนางด้วยท่าทีระมัดระวังยิ่ง แต่ความจริงแล้ว คุณชายกับแม่นางท่านนั้นไม่ได้รู้จักกันสักนิด อีกอย่างเป็นแม่นางท่านนั้นที่เดินเข้าไปเสวนากับคุณชายท่านนั้นเอง เห็นได้ว่าความจริงกับสิ่งที่คิดนั้นมีระยะห่างที่ไกลกันลิบลับ”
“ข้ากับบิดาท่านเดินเส้นทางคนละสาย ตอนที่เขาเรียกท่านกลับมา ก็เคยพูดให้ข้าฟังอยู่”
“ตอนนั้นข้าคิดว่าบิดาท่านทำถูกต้อง”
“แต่ใครจะรู้ว่าบิดาท่านจะจากไปด้วยเหตุนี้?”
“ดังนั้น ท่านก็ตัดจิตตัดใจเสียเถิด อย่าให้สิ่งที่คิดซ้อนทับกับความจริง อย่าใช้อนาคตมาลงทัณฑ์ปัจจุบันอีกเลย”
“ท่านควรอยู่กับเวลาตรงหน้า”
“ไม่อย่างนั้น ที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเรียกท่านกลับมาจะมีความหมายอันใดเล่า?”
เผยเยี่ยนหลุบตาลง
ขนตายาวงอนเหมือนกับพัดที่เรียงเส้นเป็นระเบียบ ทิ้งเป็นเงาสายหนึ่งใต้ดวงตา
ฮุ่ยคงจ้องมอง ท่องว่า ‘อามิตตาพุทธออกมาคำหนึ่ง’ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ประสกต้องการยืมหอคัมภีร์ใช้งาน นับเป็นเกียรติของทางวัดยิ่งนัก ไม่ทราบว่าประสกสนใจตำราเล่มไหนในหอคำภีร์? ปกติอาตมามักจะท่อง ‘จินกังจิง[3]’ เป็นประจำ ไม่รู้ว่าประสกเคยอ่านหรือไม่?”
จู่ๆ เผยเยี่ยนก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นตัดบทฮุ่ยคงว่า “ซินจิง[4]”
ฮุ่ยคงพลันคิดตามไม่ทัน “อะไรนะ?”
“ข้าบอกว่า ‘ซินจิง’” สายตาของเผยเยี่ยนยังคงอยู่ที่เก่า พูดว่า “ท่านถามว่าข้าสนใจอะไร ข้าสนใจ ‘ซินจิง’”
ฮุ่ยคงถอนหายใจยาวเหยียด
เผยเยี่ยนยอมพูดคุยกับเขานับว่าใช้ได้แล้ว
หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นไป เผยเยี่ยนก็ไม่คบค้ากับผู้อื่นอีก วาจาที่เอ่ยออกมาก็แฝงไอสังหารราวอยู่กลางสนามรบ ไม่เพียงทำให้คนรอบข้างเขาอึดอัด ทั้งยังเกิดข่าวลือมากมายที่ส่งผลเสียกับสกุลเผยอีกด้วย
นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์ฮุ่ยคงผู้มีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับท่านผู้เฒ่าสกุลเผยไม่อยากเห็น
“ตั้งแต่เล็กเจ้าก็มีความสามารถขอเพียงผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม ‘ซินจิง’ สั้นๆ แค่ร้อยกว่าตัวอักษร คิดว่าคงถูกเจ้าท่องได้ขึ้นใจแล้ว…” ฮุ่ยคงทางหนึ่งพูดกับเผยเยี่ยน ทางหนึ่งก็มองริมฝีปากที่เมื่อครู่กระตุกขึ้นของเขา จึงอดจะหันไปมองตามสายตาเขาไม่ได้ ก็เห็นว่าสตรีที่เดิมยืนอยู่ใต้ต้นสนตื่นรู้นั้นหายไปแล้ว มีเพียงหลี่จวิ้นคุณชายรองสกุลหลี่ยืนอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว
เหล่าบัณฑิตอายุน้อยที่อยู่หลังเขายังโต้เถียงกันไม่เลิก ทว่าสีหน้าเขากลับงงงวย ราวกับว่าถูกคนทอดทิ้งอย่างนั้น
เกรงว่าคงมีอีกหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นกระมัง
ฮุ่ยคงดึงความคิดกลับมา แล้วคุยเรื่อง ‘ซินจิง’ กับเผยเยี่ยนต่อ เขาอยากใช้ช่องทางนี้ คลี่คลายปมในใจของเผยเยี่ยน
—
อวี้ถังนั้นถูกหม่าซิ่วเหนี่ยงลากออกไป
ตอนที่หม่าซิ่วเหนี่ยงได้ยินเสียงเอะอะมาจากคนกลุ่มนั้นก็กลัวอวี้ถังจะเจอเรื่องวุ่นวาย นางจึงเดินสองก้าววิ่งสามก้าวเข้าไปหา แล้วพูดกับหลี่จวิ้นอย่างรีบร้อนว่า “ขออภัย ข้ากับน้องสาวเดินพลัดหลงกัน” จากนั้นก็ลากอวี้ถังออกมาจากใต้ต้นสนตื่นรู้
อวี้ถังก้าวขาสูงบ้างต่ำบ้าง กระทั่งปีนขึ้นมาถึงเส้นทางบนเขาที่พุ่งตรงสู่น้ำตกสีปี่แล้วจึงพอหายใจหายคอได้
นางแทบจะอยากพุ่งกลับเรือนเสียเดี๋ยวนั้น เพื่อเล่าสิ่งที่ตัวเองค้นพบให้มารดาฟัง แล้วสืบหาให้กระจ่างว่าเหตุใดทั้งสองชาตินี้คนสกุลหลินถึงอยากได้นางเป็นสะใภ้
แต่ว่าไม่ง่ายที่หม่าซิ่วเหนียงจะได้ออกมาข้างนอกพร้อมกับคุณชายจาง นางจึงไม่อาจสนใจแต่ตัวเองแล้วละเลยผู้อื่นได้
————————————————————-
[1]คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว เปรียบเปรยถึง คนที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ
[2]หมิงฮุน คือพิธีแต่งงานหลังความตาย เป็นประเพณีการจัดพิธีแต่งงานให้แก่ชายหรือหญิงที่เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยเชื่อว่าดวงวิญญาณของผู้ตายจะเป็นสุขและส่งผลให้สกุลเจริญรุ่งเรื่อง
[3]จินกังจิน คือ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นชื่อพระสูตรสำคัญหมวดปรัชญาปารมิตาของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เชื่อกันว่าพระสูตรหมวดปรัชญาปารมิตานี้เป็นพระสูตรมหายานรุ่นแรก ๆ ที่เกิดขึ้น มีความหมายตามตัวอักษรว่า พระสูตรว่าด้วยปัญญาญาณอันสมบูรณ์ประดุจเพชรที่จะตัดภาพมายา คืออวิชชาและอุปาทานอันเป็นเครื่องกีดขวางมิให้บุคคลบรรลุถึงความรู้แจ้ง
[4]ซินจิง คือ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระสูตรที่สำคัญและเป็นที่นิยมยิ่งในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีความหมายตามตัวอักษรว่า พระสูตรอันเป็นหัวใจแห่งปฏิปทาอันยวดยิ่งแห่งความรู้แจ้ง