ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 226 ทราบเรื่อง
กู้ฉ่างมองเขาเช่นนั้นหมายความว่าอะไร?
รู้ว่าสกุลเผิงมีคนติดต่อกับองค์ชายสาม ช่วยองค์ชายสามอยู่ตลอด ดังนั้นจึงสงสัยว่าเงินสองแสนตำลึงนี้เป็นเงินของพวกเขาสกุลเผิงอย่างนั้นรึ?
สกุลเผิงไม่อาจเป็นแพะรับบาปในครั้งนี้ได้!
นายท่านใหญ่สกุลเผิงกระแอมไออย่างแรงขึ้นมาครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “นายท่านใหญ่สกุลอู่และเถาจวี่เหรินล้วนพูดถูก เงินสองแสนตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ผู้ที่นั่งในนี้ไม่ว่าสกุลใดเป็นคนนำออกมาก็ล้วนกินแรงไปอยู่บ้าง ทั้งไฉนจึงส่งเข้าไปในเมืองหลวงได้ ก็เป็นปัญหาที่น่าสงสัย หากใต้เท้าซุนตรวจสอบอะไรได้ ก็ขอให้ใต้เท้ากู้พูดมาตามตรงด้วย ยามนี้ทุกคนนั่งเรือลำเดียวกัน เรือคว่ำ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น หากนายท่านสี่สกุลซ่งพูดเช่นนั้น เวลามีจำกัด ก็ไม่ใช่ยามที่จะอ้อมค้อมเกรงใจกัน ทุกคนมีเรื่องอะไรก็พูดออกมาดีกว่า!”
กู้ฉ่างสงสัยสกุลเผิงมาโดยตลอด
เพราะมีเพียงสกุลเผิงที่มีอำนาจทางการเงินและทรัพยากร แต่ดูท่าทีของนายท่านใหญ่สกุลเผิงยามนี้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดไปเองอยู่บ้าง แม้ว่าเงินสองแสนตำลึงจะมาก แต่ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ยังสามารถนำออกมาได้หมดจริงๆ
ประเด็นหลักคือขนส่งเข้าเมืองหลวงได้อย่างไร
หากไม่ใช่สกุลอู่ ไม่ใช่สกุลเผิง เช่นนั้นเป็นสกุลใด?
ซุนเกาตรวจสอบออกมาอย่างชัดเจน เงินนี้ขนส่งจากคลองต้าอวิ้นเหอของซูโจวเข้ามาเมืองหลวง
สกุลซ่งไม่ได้ใจใหญ่ขนาดนั้น สกุลเผยก็ไม่มีวิธีการเช่นนี้
เช่นนั้นตกลงเป็นใครกันแน่?
กู้ฉ่างปวดหัวอย่างยิ่ง
เขาเอ่ยอย่างรู้แล้วรู้รอดไป “เรื่องขององค์ชายสาม ข้าต้องการเพียงผลลัพธ์ออกมาอย่างหนึ่ง ส่วนทุกคนคิดอย่างไร ข้าอายุยังน้อย ผ่านร้อนผ่านหนาวสู้พวกท่านทุกคนไม่ได้ ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่อาจตัดสินใจได้ เว่ยซานฝูก็คิดแบบเดียวกับข้าเช่นกัน พวกเราวางแผนพักอยู่ที่นี่จนถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หากหลังจากนั้นยังไม่มีข่าวสารอันใด เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงตรวจเจออะไรก็รายงานไปอย่างนั้น”
ถึงเวลานั้นสกุลใหญ่ของเจียงหนานก็อย่าได้คิดจะรอดแม้แต่สกุลเดียว
โดยเฉพาะสกุลซ่ง
สกุลพวกเขามีทั้งเรือมีทั้งเงิน
นายท่านสี่สกุลซ่งเหงื่อชื้นหน้าผากทันที
เขาผุดลุกยืนขึ้นมา ประสานมือคำนับให้กับทุกคนที่นั่ง เอ่ยเสียงแหบพร่าว่า “พี่ชายทุกท่าน อย่างไรขอช่วยชีวิตพวกเราสกุลซ่งด้วย นี่นับเป็นเรื่องประหารเก้าชั่วโคตรเชียว!”
ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลใหญ่ของเจียงหนานสลับซับซ้อนเข้าใจยาก ประหารเก้าชั่วโคตรกลับไม่ถึงขนาดนั้น แต่หากสกุลซ่งล้ม กลัวว่าทุกครอบครัวจะติดร่างแหไปด้วย
นายท่านใหญ่สกุลเผิงและเถาชิงล้วนไม่พูดอะไร
แม้ว่าพวกเขานับว่าจัดอยู่ในทางใต้เช่นเดียวกัน แต่พวกเขาเป็นคนหมิ่นเยวี่ย[1] สามารถเอาตัวออกจากเรื่องนี้ได้
กู้ฉ่างกลับไม่ลืมความโอหังวางอำนาจของสกุลเผิง จะปล่อยสกุลเผิงไปง่ายดายได้อย่างไร?
เขาเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เงินนี้หากไม่ใช่ขนส่งทางน้ำก็ทางทะเล ทุกคนคิดกันดีๆ เถิดว่าจะให้ข้ารายงานผลภารกิจอย่างไร! ส่วนข้า ก็ทำได้เพียงช่วยเหลือทุกคนอยู่ตรงนี้ มากกว่านั้น ข้าย่อมไม่มีความสามารถแล้ว”
นายท่านใหญ่สกุลเผิงชำเลืองตามองกู้ฉ่างไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
มีสกุลซ่งค้ำอยู่ด้านบน เขากลับไม่กลัวเรื่องนี้
เถาชิงไม่ชอบที่สกุลเผิงเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองมาโดยตลอด เห็นเช่นนี้ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถามกู้ฉ่างว่า “หากตรวจสอบเรื่องนี้อย่างกระจ่างแล้ว มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลใหญ่ของเจียงหนาน สำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล…”
กู้ฉ่างอดชื่นชมให้เถาชิงในใจไม่ได้ ลอบคิดว่า ไม่แปลกใจที่สกุลเถาตกอยู่ในมือของเถาชิงก็สามารถโดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เถาชิงมีความสามารถเป็นเลิศดังคาด แค่ประโยคเดียวก็ลากสกุลเผิงลงน้ำได้แล้ว
เขาเอ่ยว่า “สกุลใหญ่เจียงหนานสามารถส่งเงินสองแสนตำลึงให้องค์ชายสามอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าสกุลใหญ่ของเจียงหนานทรัพย์สินมหาศาล ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันฮ่องเต้เพิ่งซ่อมแซมตำหนักซีย่วน เงินในท้องพระคลังติดขัด กำลังบีบให้กรมการคลังหาวิธีทาง! ก่อนหน้านี้ใต้เท้าซุนยังบ่นพร่ำ คนขององครักษ์เสื้อแพร สำนักประจิมและสำนักบูรพา นับวันก็ยิ่งละเลยในหน้าที่ เรื่องใหญ่อย่างการลอบสังหารองค์ชายรองนั้นกลับคาดไม่ถึงว่าจะตรวจสอบให้กระจ่างไม่ได้ ตกลงไม่ได้เห็นองค์ชายรองเป็นเรื่องสำคัญ? หรือว่ากลัวจะล่วงเกินองค์ชายทั้งสอง จึงอยู่ตรงกลางไกล่เกลี่ยอย่างสะเปะสะปะ? อย่างไรเรื่องล้วนผ่านไปสองปีแล้ว ทั้งเรื่องใหญ่เช่นนี้ ยามที่ตรวจสอบยังทำอย่างลับๆ ขุนนางในราชสำนักหลายคนแทบไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรด้วยซ้ำ”
ความนัยของวาจานี้คือ ไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจจะวางแผนรีดเอาทรัพย์สกุลใหญ่ของเจียงหนานจากเรื่องนี้
นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
ไม่อย่างนั้นเหตุใดจึงส่งหวังชีเป่าออกจากเมืองหลวง
หวังชีเป่าผู้นั้นสามารถเข้าออกที่ประทับของฮ่องเต้อย่างตามใจชอบ ทั้งไม่จำเป็นต้องให้คนรายงานด้วยซ้ำ
ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้หันหน้าสบสายตากัน มีเพียงเผยเยี่ยนที่ก้มหน้าลง มองไม่ออกว่ามีสีหน้าแบบใด
แต่ไหนแต่ไรเถาชิงก็คิดว่าเผยเยี่ยนฉลาดเกินคน เห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา ในใจกลับสงบลงมา
หากฮ่องเต้คิดรีดไถเงินจากสกุลใหญ่ของเจียงหนาน เช่นนั้นสกุลทางหมิ่นเยวี่ยก็อย่าได้คิดจะหนีพ้น เขาตามสกุลเผยก็เพียงพอแล้ว…สกุลเผยบริจาคเงิน เขาก็บริจาคเงิน สกุลเผยไม่บริจาค เขาก็ไม่บริจาค คาดเดาไว้ว่าพวกเขาเดินตามหลังสกุลเผยย่อมไม่ตกแถวเป็นแน่
เขารู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
สกุลเถาควรจะเกี่ยวดองกับสกุลเผยให้เร็วกว่านี้หน่อย
ไม่อาจแต่งคุณหนูออกไปได้ รับสะใภ้เข้ามาก็ดีไม่น้อยเช่นกัน
ยิ่งไปว่านั้นคุณหนูในสกุลเผยมีน้อย ด้วยเหตุนี้จึงให้ความสำคัญกับพวกคุณหนูเป็นพิเศษ
ยามนี้ผู้ที่ยังไม่มีสัญญาหมั้นหมายในสกุลพวกเขาก็คือคุณหนูสี่และคุณหนูห้า
คุณหนูห้าเป็นลูกสาวของพี่ชายเผยเยี่ยน สกุลเถาของพวกเขาควรจะหาตัวคนที่อนาคตไกลสักคนออกมา
ลูกชายคนโตของสกุลน้องรองไม่ก็เจ้าสามของสกุลพวกเขา?
เถาชิงขบคิดอยู่ในใจ
ทุกคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง บรรยากาศในห้องโถงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
ด้านนอกกลับมีเสียงหัวเราะและพูดคุยดังเข้ามาอย่างเลือนราง พาให้ห้องโถงยิ่งเงียบขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กลับทำให้พวกเขานึกถึงเรื่องด้านนอกขึ้นมาได้
เผยเยี่ยนกวักมือเรียกอาหมิง “เจ้าให้คนจับตาดูให้ดี อย่าให้คนพลั้งล่วงเกินสตรีในเรือน งานบรรยายธรรมของวัดเจาหมิง มีพวกเราสกุลเผยเป็นเจ้าภาพ”
ประโยคนี้ตั้งแต่เช้าตรู่เผยเยี่ยนก็พูดออกมาครั้งหนึ่งแล้ว
อาหมิงละล่ำละลักเอ่ย “นายท่านสามวางใจ แม้ว่าคนข้างนอกจะมีเทียบเชิญก็ไม่อาจเข้าเรือนทางตะวันออกได้ พวกนายท่านสกุลซ่ง สกุลเผิง พวกเราก็ส่งคนที่รู้จักพวกเขาไปเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ไม่อาจให้พวกเขาเดินเพ่นพ่านอย่างแน่นอนขอรับ”
เรือนพำนักของวัดเจาหมิง ส่วนมากล้วนถูกคนของสกุลเผยล้อมไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรือนทางตะวันออกซึ่งเป็นที่พักผ่อนของสตรี
เผยเยี่ยนผงกศีรษะ ยังคงไม่สบายใจอยู่บ้าง
เมื่อวานแยกกับอวี้ถังได้ไม่ดีนัก แน่นอน เขารู้ว่านางเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก แม้เรื่องจะใหญ่กว่านี้ นอนพักตอนเย็นตื่นมาก็ลืมแล้ว เหมือนก่อนหน้านั้น แอบอ้างชื่อสกุลเผยมาหลอกลวงคนอื่นถูกเขาจับได้ พบกันอีกครั้ง นางล้วนทำเป็นไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
วันนี้นางก็คงเดินเล่นในวัดเจาหมิงกับพวกหลานสาวของเขาอย่างสบายใจเฉิบกระมัง?
เมื่อความคิดแล่นวาบ เขาจึงถามอาหมิงอีกครั้ง “สกุลเว่ยและสกุลอู๋ขึ้นเขามาแล้วหรือยัง?”
แม้กล่าวว่าพรุ่งนี้ถึงจะมีงานบรรยายธรรม แต่ตามหลักแล้วคนสกุลเว่ยและสกุลอู๋ควรส่งคนมาเก็บกวาดและจัดการเรือนเซียงฝางที่เตรียมให้พวกเขาพักผ่อน คนที่ส่งมานั้นอยู่ที่ไหน
เรื่องนี้อาหมิงยังไม่รู้จริงๆ
เขาชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยทันที “ข้าจะไปถามให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้ขอรับ”
จากนั้นก็วิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น
รอจนยามที่เขาสืบถามอย่างกระจ่างกลับมา ในห้องโถงก็ไม่รู้ว่าถกเถียงกันขึ้นมาเพราะเหตุใด ด้านเผยเยี่ยนและเถาชิงกระซิบข้างหูคุยอะไรกันบางอย่าง
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงเดินไปข้างเผยเยี่ยนอย่างเงียบเชียบ กลับได้ยินเผยเยี่ยนกำลังพูดกับเถาชิงว่า “เจ้าก็อย่าฟังกู้เจาหยางที่ขู่ขวัญคนอื่นมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีวิธีแก้ไขทั้งนั้น ในเมื่อฮ่องเต้ขาดแคลนเงิน พวกเราใช่ว่าจะใช้เงินแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้เสียหน่อย ทางหวังชีเป่า ข้ายังพอพูดได้ ในเมื่ออินหมิงหย่วนให้สะใภ้ของเขาถ่ายทอดคำพูดให้ข้าว่า หากจะกินปลาทอดเปรี้ยวหวาน หมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊ว พวกเราต้องไปที่ซูโจว หากเรื่องทางไหวอันเร่งด่วนมาก เจ้าก็ไปไหวอันก่อน ข้าไปซูโจวคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
ยามที่พูดอาจจะตระหนักได้ว่าอาหมิงเข้ามาแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนประเด็นอื่นทันที ถามอาหมิงว่า “คนของทั้งสองสกุลมาถึงแล้วรึ?”
เถาชิงยังคิดว่าเขามีเรื่องสำคัญอันใด จึงรออยู่ด้านข้าง
อาหมิงกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น ยามนี้จึงค่อยเอ่ยจริงจังว่า “มาแล้วขอรับ! กำลังทำความสะอาดห้องเซียงฝาง เห็นข้าเข้าไปถามก็ขอบคุณท่าน ยังให้ซองแดงเป็นรางวัลอีกสองซองขอรับ”
เผยเยี่ยนโบกมือ ราวกับนี่เป็นเรื่องเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “พวกเขาไปน้อมทักทายนายหญิงอวี้แล้วหรือยัง?”
อาหมิงเอ่ยว่า “ไปแล้วขอรับ กล่าวว่านายหญิงอวี้และคุณหนูอวี้ล้วนกำลังคัดลอกคัมภีร์ นายหญิงอวี้และพวกเขาคุยกันไม่กี่ประโยคก็ยกชาส่งแขก พวกเขาวางแผนว่าเก็บกวาดเรือนเสร็จก็จะเข้าไปน้อมทักทายนายหญิงอวี้อีกครั้งขอรับ”
“ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นหรอกรึ?” เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว ใบหน้าตึงขึ้นมา ราวกับอากาศของเดือนหก แปรปรวนถึงขั้นฝนตกได้ทุกเวลา
พรุ่งนี้เป็นงานบรรยายธรรมแล้ว คนขายของหาบเร่ที่ได้ยินข่าวก็ตั้งร้านอยู่ด้านนอกวัดเจาหมิงแล้ว ถึงกระทั่งยังมีการแสดงกายกรรม
อาหมิงสับสนมึนงง
ไม่ได้ออกไปเที่ยว?
หมายถึงนายหญิงอวี้อย่างนั้นรึ?
นายหญิงอวี้มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนอ่อนโยนสุภาพ ไฉนจะวิ่งออกไปเที่ยวเล่นประหนึ่งสาวน้อยได้
แต่ต่อหน้าเถาชิง หากเขาถามเช่นนี้ออกมา ย่อมถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าคนข้างกายของนายท่านสาม กระทั่งเรื่องเล็กแค่นี้ยังทำได้ไม่ดี
เขาทำได้เพียงฝืนใจ เอ่ยอย่างสะเปะสะปะ “คุณหนูอวี้ไม่ค่อยสบาย นายหญิงใหญ่คงไม่อาจออกจากเรือนขอรับ!”
“คุณหนูอวี้ไม่สบาย?” เผยเยี่ยนจ้องอาหมิง เผยไอเย็นยะเยือกล้อมรอบทุกทิศทาง
อาหมิงอดสั่นสะท้านในใจไม่ได้
น้อยครั้งที่เขาจะเห็นเผยเยี่ยนเป็นเช่นนี้
นอกจากจะอารมณ์เสียต่อหน้าคนอื่นแล้ว ยังปิดบังไว้ไม่มิด
อาหมิงเร่งเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินจากพี่สาวในเรือนท่านแม่เฒ่า ข้าจะไปสอบถามเดี๋ยวนี้ว่าเชิญหมอหรือยัง? จ่ายยาให้หรือยังขอรับ?”
ยามนี้เผยเยี่ยนจึงตระหนักได้ว่าตัวเองตื่นตระหนกเกินเหตุ
หากคุณหนูอวี้ป่วยหนักจริงๆ ก็คงมีผู้ดูแลมารายงานเขาถึงที่นี่ กลับเมืองไปเชิญหมอแล้ว ไม่อาจเชิญหมอที่สกุลเผยของพวกเขาพามาอย่างเดียวได้หรอก
เขาถอนหายใจยาวเหยียด รู้สึกว่าในอกไม่ได้อัดอั้นอะไรขนาดนั้นแล้ว เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าไปดูทางคุณหนูอวี้ แล้วกลับมารายงานข้า”
เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง กลับลอบขบคิดในใจ คงไม่ใช่เพราะโมโหเขาเมื่อวานหรอกกระมัง?
เขานึกถึงแผ่นหลังที่เห็นเมื่อวาน ยามที่ตนเดินออกมา
เด็กสาวผู้นั้นอารมณ์ร้อน ถูกเขาตอกกลับเช่นนั้น ย่อมรู้สึกไม่สบายใจ จะโมโหจนป่วยก็เป็นไปได้
แต่นางก็ใจแคบเกินไปแล้ว
แค่เย้าแหย่เท่านั้น นางยังคิดเป็นเรื่องจริง!
เผยเยี่ยนไม่สบอารมณ์ ทั้งร้อนตัวขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
ไปดูก็ไปดูเถิด เผื่อว่าจะทำคนโมโหจนเกิดเหตุอะไรไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ
อย่างไรก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง กล่าวว่าสดใสร่าเริง ใจกว้างไม่คิดมาก แต่เมื่อเทียบกับเด็กน้อยขึ้นมา ยังนับว่าอ่อนแอกว่าอย่างยิ่ง
เมื่อคิดเช่นนี้ เผยเยี่ยนก็แค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะกำชับอาหมิง “รีบไปรีบกลับ!”
อาหมิงคิดว่าตัวเองจับผลัดจับผลูตีถูก ไหนเลยยังจะกล้าถามมาก รีบวิ่งตัวแทบลอยออกจากห้องโถงไป
เผยเยี่ยนเห็นพลันเกิดความไม่พอใจ
อาหมิงก็พอพูดได้ว่าเติบโตมากับเขา ไฉนทำเรื่องกลับยังคงไม่ค่อยเรียบร้อย
เขาลอบส่ายศีรษะในใจ เมื่อช้อนสายตาขึ้นกลับมองเห็นดวงตาสัพยอกของเถาชิง
เผยเยี่ยนงงงัน
เถาชิงเอ่ยว่า “คุณหนูอวี้? ใครกัน? ญาติของสกุลพวกเจ้ารึ? พวกเราที่นี่ล้วนเกี่ยวพันกับความเป็นความตาย เจ้ายังพะวงเรื่องคนอื่นป่วยอะไรได้อีก? เจ้าว่า ข้าควรเห็นแก่ฐานะของเจ้า ส่งคนไปน้อมทักทายนายหญิงอวี้ดีหน่อยหรือไม่?”
———————-
[1]หมิ่นเยวี่ย คือแถบฝูเจี้ยนและกว่างตง