ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 229 ที่พัก
อวี้ถังขมวดคิ้วหัวเสียอยู่ตรงนั้น
ซวงเถาที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ดวงตาพลันเป็นประกาย เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “นายท่านสามเป็นคนดีเหลือเกิน คุณหนูกู้ใกล้จะเป็นสะใภ้ของหลานชายอยู่แล้ว แต่เขาก็กลัวว่าท่านจะถูกรังแก ยังส่งคนมาบอกกับท่านเป็นพิเศษอีก คุณหนูได้มาพบนายท่านสาม ช่างเป็นโชคดีของคุณหนูจริงๆ นะเจ้าคะ!”
อวี้ถังชะงักไป ยืนแน่นิ่งอยู่ที่เก่า ดวงตากะพริบปริบๆ เป็นนานไม่ได้ส่งเสียงตอบ
จริงด้วย! เมื่อครู่เผยเยี่ยนฝากความมาบอกนาง แท้จริงแล้วเพราะไม่อยากให้นางต้องถูกเอาเปรียบ แต่ทำไมนางถึงเอาแต่คิดถึงข้อเสียของเผยเยี่ยน ไม่เคยนึกถึงความดีของเขาเลยเล่า?
หรือเพราะนางมีอคติต่อเผยเยี่ยน ถึงเข้าใจคำพูดของเผยเยี่ยนคลาดเคลื่อนไปเช่นนี้
อวี้ถังนั่งลงตรงโต๊ะกลม มือเท้าคางพิจารณาใจของตนเอง
นับตั้งแต่นางกับเผยเยี่ยนรู้จักกัน ทุกครั้งที่สองคนได้พบหน้ามักไม่ค่อยมีเรื่องน่ายินดีนัก แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เผยเยี่ยนช่วยนางแก้ปัญหาใหญ่ๆ อยู่เสมอ ทว่าลิ้นเขาอาบยาพิษ ปากเปราะ แม้นางจะติดหนี้บุญคุณแต่กลับจดจำได้เพียงความร้ายกาจของเขา
แต่นางมิใช่ว่าไม่รู้ เผยเยี่ยนก็เป็นคนที่หยิ่งยโสเช่นนี้ ต่อให้ทำเรื่องดีๆ ก็ไม่มีทางบอกนางอย่างชัดเจนแน่
หากคิดย้อนกลับ นี่มิใช่เป็นการทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อหรอกรึ!
อวี้ถังนึกถึงดวงหน้าเย็นเยียบของเผยเยี่ยน พลันปล่อยเสียงหัวเราะ ‘พรวด’ ออกมา
สมควร! ใครให้เขาเป็นคนอารมณ์ร้ายนักล่ะ
แต่นิสัยอย่างนี้มักจะถูกเข้าใจผิดได้ง่ายๆ
นางต้องค่อยๆ เปลี่ยนทัศนคติถึงจะถูก มิใช่ว่าพอเจอเรื่องอะไรก็ลืมส่วนดีแล้วนึกถึงส่วนแย่ของเขาอยู่ร่ำไป
อวี้ถังจมลึกอยู่ในความคิด ซวงเถาเบิกตาโตมองมาที่นาง แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนู ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ? เดี๋ยวก็ทำหน้าดีใจเดี๋ยวก็ทำหน้าเป็นทุกข์…”
ซวงเถารู้สึกหวาดกลัวเล็กๆ
นางรู้สึกว่ามักมีเรื่องยิ่งใหญ่เกิดขึ้นรอบกายอวี้ถังอยู่เสมอ แต่นางก็หาที่มาที่ไปไม่เจอ ไม่รู้ว่าต้องรับมืออย่างไรดี
“เปล่าหรอกๆ” อวี้ถังดึงสติกลับมา มองไปยังขนมของว่างที่กองอยู่เต็มโต๊ะ นิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วสั่งว่า “เจ้าขนของพวกนี้ไปให้ป้าเฉิน บอกว่าสกุลเผยเป็นคนส่งมาให้ จากนั้นลองถามนายหญิงว่าคุณหนูสวี นายหญิงสามสกุลหยางกับคุณหนูสกุลเผยทางนั้น จะต้องแบ่งไปให้หรือไม่”
อิงเถาสดๆ ที่เพิ่งวางขาย ไม่เพียงน่ารักน่ามอง ราคาก็งดงามเช่นกัน หากส่งออกไปในช่วงนี้ นับเป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาอย่างมาก
ซวงเถารับคำแล้วจากไป
คนสกุลเฉินคิดว่าอวี้ถังพิจารณาได้ถี่ถ้วน นางวางพู่กันที่กำลังคัดหนังสือสวดมนต์ลง พูดกับซวงเถาและป้าเฉินว่า “ห่อให้งามหน่อย คุณหนูสวี นายหญิงสามสกุลหยางและเหล่าคุณหนูสกุลเผยต่างก็สายตาสูงส่ง อย่าทำให้ของดีๆ ต้องเละไม่เป็นท่าเพราะพวกเจ้า”
สองคนหัวเราะชอบใจ แล้วแยกของที่เผยเยี่ยนส่งมาให้แบ่งออกเป็นสัดส่วน จากนั้นนำไปให้อวี้ถังดู เมื่ออวี้ถังพยักหน้าตกลง ซวงเถาค่อยนำของไปส่งให้
เมื่อคุณหนูสวีได้รับของก็อดจะมึนงงไม่ได้
นางเพิ่งจะแยกกับอวี้ถังครู่เดียวเอง เหตุใดอวี้ถังถึงส่งของมาให้นางมากมายแบบนี้? ทั้งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองที่จะสามารถหาซื้อของจากตลาดได้ทันที หากบอกว่าซื้อจากพ่อค้าแผงลอยนอกวัด ดีชั่วอย่างไรนางก็เห็นโลกภายนอกมาบ้าง มองดูก็รู้ทันทีว่าของพวกนี้มิใช่จะหาซื้อได้จากร้านค้าธรรมดาทั่วไป
ซวงเถายิ้มแย้มแล้วตอบกลับตามที่อวี้ถังกำชับไว้ “ท่านอาวุโสสกุลเผยส่งมาให้เจ้าค่ะ คุณหนูคิดว่ารสชาติไม่เลว จึงแบ่งบางส่วนมาให้ท่านกับนายหญิงสามได้ชิม”
พิธีบรรยายธรรมจัดขึ้นเก้าวัน คนที่ฟังเข้าใจย่อมหลงใหลใฝ่เพ้อ เช่นสตรีในห้องหอไร้ประสบการณ์อย่างพวกนาง ได้เพียงทำเหมือนฟังเรื่องเล่าต่างๆ ไปเท่านั้น หาได้เข้าใจซาบซึ้งไม่ เช่นนี้มีหรือจะทนนั่งนิ่งไหว หากมีขนมให้เคี้ยวเล่น ก็น่าจะพอเอาตัวรอดให้ผ่านไปได้
คุณหนูสวีรับไว้ด้วยความดีใจ สั่งสาวใช้นำลูกท้อกับลูกไหนมาให้ซวงเถาจำนวนหนึ่ง นับว่าเป็นของขวัญตอบแทนแล้ว
ซวงเถามิได้เกรงใจ กล่าวขอบคุณแทนอวี้ถังแล้วรับผลไม้มา จากนั้นก็ไปส่งขนมให้กับเหล่าคุณหนูสกุลเผยคนอื่นๆ ต่อ
คุณหนูสวีเห็นนางทั้งหิ้วทั้งอุ้มของเต็มมือ ด้วยรู้ว่าสกุลอวี้มีบ่าวเพียงสองคน จึงหันไปสั่งอาฝูว่า “เจ้าช่วยซวงเถานำของไปส่งที”
อาฝูนั้นเพราะคุณหนูสวีเป็นเหตุ หลายวันนี้นางจึงสนิทสนมกับซวงเถาสาวใช้ของกายของอวี้ถังขึ้นมาก สองคนคุยกันได้ถูกคอ ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มแฉ่งเต็มหน้า เข้ามาช่วยซวงเถาแบ่งของครึ่งหนึ่งไปถือไว้เอง
ซวงเถากล่าวขอบคุณคุณหนูสวี จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมอาฝู
เหล่าสตรีสกุลเผยพักอยู่ที่เรือนข้างๆ ของคุณหนูสวี แต่ถ้าต้องการจะเดินไปหา ต้องอ้อมถนนด้านนอกที่ตัดผ่านป่าไผ่เข้าไป ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี ตลอดเส้นทางเงียบสงบ สองฝั่งมีเสียงนกร้องแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ซวงเถากับอาฝูต่างก็รู้สึกเป็นสุขยิ่ง
อาฝูถามซวงเถาเรื่องของสกุลอวี้ว่า “ได้ยินว่าสกุลเจ้าค้าขายเครื่องลงรัก สามารถให้คุณหนูเจ้ามาคุยกับคุณหนูสกุลข้าได้นี่นา ให้นำสินค้าส่งไปขายที่เมืองหลวง!”
เช่นนี้สกุลอวี้ก็จะหาเงินได้มาก จากนั้นจะได้หาซื้อสาวใช้มาเพิ่ม มิใช่เรื่องอะไรก็ต้องสั่งให้ซวงเถาไปจัดการ
ซวงเถาหัวเราะตอบว่า “นี่เป็นเรื่องของเจ้านาย พวกเราจะกล้าสอดปากได้อย่างไร?”
สองคนคุยกันไป ด้านหน้าพลันเจอกับคุณหนูของสกุลซ่งและสกุลเผิงยืนอยู่ข้างต้นไผ่ กำลังสั่งสาวใช้หลายคนให้เก็บดอกยี่โถซึ่งขึ้นอยู่ข้างๆ ศาลาเหมันต์
อาฝูสะดุ้งโหยงตกใจ รีบเอ่ยว่า “ดอกไม้นั่นมีพิษ”
ซวงเถาก็แตกตื่นไม่ต่างกัน “ดอกยี่โถมีพิษรึ? ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย!”
อาฝูเอ่ยต่อว่า “ท่านเขยของพวกเราบอกเอาไว้ ท่านเขยไม่เคยพูดผิดมาก่อน”
ซวงเถาถามอย่างลังเลว่า “พวกเราต้องเข้าไปบอกหน่อยไหม?”
ประเด็นคือคุณหนูจากสกุลซ่งและสกุลเผิงต่างหยิ่งยโส นางกลัวว่าหากพูดออกไปตรงๆ จะทำให้คุณหนูจากสองสกุลต้องเสียหน้า ผู้อื่นมิเพียงไม่ฟังยอม อาจเก็บไปคิดแค้น สร้างเรื่องยุ่งยากให้สกุลอวี้อีก
อาฝูมีประสบการณ์มากกว่าซวงเถา นางหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วกระซิบบอกว่า “อีกเดี๋ยวพวกเราไปหาเหล่าคุณหนูสกุลเผยค่อยรายงานเรื่องนี้ หากพวกนางไม่รู้เรื่องเช่นกัน ตอนกลับไปถึงก็แจ้งต่อคุณหนูของพวกเราอีกที หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา สกุลเผยจะได้ไม่ต้องถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย”
ซวงเถามองอาฝูด้วยสายตาเป็นประกาย เอ่ยชื่นชมจากใจจริงว่า “อาฝู เจ้าอายุน้อยกว่าข้า แต่กลับมีความคิดยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้าต้องคอยเรียนรู้จากเจ้าถึงจะถูก”
นางพูดจนอาฝูหน้าแดงเรื่อไปหมด ไม่รู้ว่าต้องตอบกลับเช่นไร
สองคนวางแผนว่าจะเดินผ่านเหล่าสตรีจากสองสกุลไปเช่นนี้ แต่เหล่าสตรีจากสกุลซ่งและสกุลเผิงไม่คิดจะปล่อยให้พวกนางผ่านไปง่ายๆ โดยเฉพาะคุณหนูหกสกุลซ่ง ที่หลังจากกลับไปก็ถูกนายหญิงสี่สกุลซ่งตำหนิอย่างรุนแรง ทั้งถูกลงโทษหักเงินไปหนึ่งเดือน กลับไปยังต้องคัดตำรา ‘สอนหญิง’ อีกสามรอบ ทำให้นางต้องเสียหน้าเป็นที่สุด หากมิใช่เพราะเหล่าสตรีของทุกสกุลอยู่ที่นี่ อาศัยอารมณ์ของนายหญิงสี่สกุลซ่งแล้ว คงจะส่งนางกลับเมืองซูโจวในทันทีด้วยซ้ำ
เมื่อนางเห็นอาฝูกับซวงเถา ความเดือดดาลที่สะสมเอาไว้ย่อมพลุ่งพล่านเป็นธรรมดา นางตะโกนเรียกคนทั้งสอง แล้วมองข้าวของที่อยู่ในมือพวกนางด้วยสายตาดูแคลน พลางเอ่ยว่า “คุณหนูของพวกเจ้าล่ะ? ยังไม่หายป่วยอีกรึ? นางไม่คิดจะออกไปเดินเล่นกับพวกเราบ้างหรือไร?”
พวกตัวโง่งมเช่นนี้อาฝูเจอมามาก นางยิ้มอ่อนหวานแล้วย่อกายคารวะคุณหนูหกสกุลซ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อมว่า “คุณหนูข้าดูแลนายหญิงสามอยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ ส่วนคุณหนูอวี้กำลังคัดลอกหนังมือสวดมนต์ วันนี้เกรงว่าคงไม่ได้ออกนอกวัดแล้ว ได้แต่รอวันหลังหากมีโอกาส ย่อมต้องออกไปเที่ยวเล่นกับเหล่าคุณหนูแน่นอนเจ้าค่ะ”
คุณหนูหกสกุลซ่งได้ฟังก็ตีหน้าขึง คุณหนูอายุน้อยอีกคนจากสกุลเผิงซึ่งถูกจัดอยู่ในลำดับที่แปดของเหล่าพี่น้อง นางไม่อยากก่อเรื่องขึ้นมาเพิ่ม จึงรีบหัวเราะแล้วเอ่ยปากแทรกคุณหนูหกสกุลซ่งว่า “พวกเจ้ากำลังไปส่งของรึ? รีบไปเถอะ! ถ้าหายไปนานคงทำให้คุณหนูพวกเจ้าต้องรอจนร้อนใจแน่”
อาฝูกับซวงเถารีบกล่าวขอบคุณคุณหนูแปดสกุลเผิง แล้วอุ้มของเตรียมจะเผ่นทันที
คุณหนูหกสกุลซ่งกลับไม่ยอมหยุดง่ายๆ นางเอ่ยว่า “จะส่งของพวกนี้ไปให้ใคร?”
อาฝูคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ต่อให้นางเก็บงำไม่ยอมพูด แต่ถ้าสกุลซ่งต้องการรู้จริงๆ ก็สามารถไปสืบถามจนรู้ได้อยู่ดี นางจึงค่อยๆ แจ้งไปตามความจริงว่า “เป็นท่านอาวุโสสกุลเผยส่งของกินเล่นมาให้คุณหนูอวี้เจ้าค่ะ คุณหนูอวี้จึงแบ่งให้คุณหนูของข้ากับเหล่าคุณหนูสกุลเผยจำนวนหนึ่ง แต่เพราะข้าวของค่อนข้างเยอะ คุณหนูจึงสั่งข้าให้ช่วยพี่ซวงเถานำของไปส่งด้วย”
คุณหนูหกสกุลซ่งได้ยินพลันไม่ชอบใจ “พวกเจ้ามาจากทางไหน?”
อาฝูตอบว่า “มาจากเรือนของคุณหนูข้าทางนั้นเจ้าค่ะ”
คุณหนูหกสกุลซ่งเอ่ยต่ออีกว่า “ทำไมคุณหนูอวี้ต้องไปส่งของให้คุณหนูเจ้าก่อน?”
อาฝูรู้สึกว่าคุณหนูหกสกุลซ่งกำลังก่อกวนอย่างไร้เหตุผล น้ำเสียงจึงเจือกระแสหมดความอดทนเล็กน้อย “คุณหนูอวี้กับคุณหนูข้าพักอยู่เรือนติดกัน ห่างจากเรือนของคุณหนูข้าไปไม่ไกล จึงต้องไปส่งให้คุณหนูข้าทางนั้นก่อนเจ้าค่ะ”
คุณหนูหกสกุลซ่งได้ฟังก็แทบจะกระทืบเท้า แต่ถูกคุณหนูเจ็ดสกุลซ่งห้ามไว้ก่อน พลางบอกกับอาฝูและซวงเถาว่า “พวกเจ้ารีบไปส่งของเถอะ! พวกข้าก็จะกลับแล้วเช่นกัน”
อาฝูกับซวงเถาไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เห็นคุณหนูหกสกุลซ่งโมโหมาก ทั้งคุณหนูเจ็ดสกุลซ่งก็ออกอาการร้อนใจ นางไม่กล้ารั้งตัวอยู่นาน จึงรีบคารวะแล้วสาวเท้าฉับๆ จากไปทันที
คุณหนูหกสกุลซ่งทนไม่ไหวอาละวาดออกมาว่า “คนสกุลอวี้ผู้นั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับสกุลเผยแน่? คุณหนูสวี นายหญิงสามสกุลหยางกับเหล่าสตรีสกุลเผยได้พักเรือนที่ดีที่สุดข้าย่อมไม่อาจพูดอะไรได้ แต่คนสกุลอวี้ผู้นั้นอาศัยสิ่งใดถึงเข้าไปพักด้วย? พวกเขาสกุลเผยมิใช่ว่ารังแกคนหรอกรึ?”
พอจบเสียง นางก็รู้ทันทีว่าตนพูดผิดไป
ภรรยาอาศัยความโปรดปรานของสามี เหตุผลเดียวกัน สกุลเผยปฏิบัติต่อสกุลซ่งเช่นไร ย่อมชี้ให้เห็นถึงตำแหน่งความสำคัญของสกุลซ่งในสายตาของสกุลเผย
หลายปีมานี้สกุลซ่งประจบสอพลอสกุลเผยอย่างหนัก สกุลซ่งคิดว่ามีเพียงตนเองเท่านั้นที่รู้ อย่างไรก็คงไม่ยินยอมให้คนสกุลเผิงรู้แน่
นางรีบเสริมอีกประโยคว่า “พี่สาวสกุลเผิง เมื่อวานข้านอนไม่หลับทั้งคืน พวกท่านนอนหลับดีหรือไม่?”
สกุลเผิงมาพร้อมกับสกุลซ่ง จึงได้พักเรือนติดๆ กัน ใครจะคิดว่าพวกนางที่คล้ายจะได้พักติดอยู่กับเรือนพักของสตรีสกุลเผย แต่สวนเล็กๆ ด้านหลังกลับติดชิดกำแพงด้านนอกของวัด ปกติมักจะเงียบสงบมาก แต่ตอนนี้เหล่าพ่อค้าจากด้านล่างขึ้นเขามาตั้งแผงขายของ ทั้งยังมีคนสร้างเพิงขึ้นชั่วคราวเพื่อพักอาศัย พวกคนในตลาด ไม่เพียงพูดจาเสียงดังลั่น ตกดึกยังชอบตั้งวงเหล้าเล็กๆ คุยโวโอ้อวด พอถึงยามราตรีที่เงียบสงัด เสียงพวกนั้นจึงได้ยินชัดเป็นพิเศษ
คุณหนูหกตื่นนอนขึ้นมาก็โวยวายไปทั่ว นางไปหานายหญิงสี่สกุลซ่งแล้วถามอ้อมๆ ว่าจะเปลี่ยนที่พักได้หรือไม่
นายหญิงสี่สกุลซ่งเลือกที่จะพักตรงนั้น เพราะได้พักเรือนใกล้กันกับเหล่าสตรีสกุลเผย มีหรือจะยอมฟังเสียงคร่ำครวญของคุณหนูหกสกุลซ่ง
พอคุณหนูหกสกุลซ่งกลับถึงห้องก็อาละวาดขึ้นมาอีกรอบ
เวลานี้ยังต้องมารู้ว่าอวี้ถังได้พักเรือนฝั่งตะวันออกที่สงบเงียบที่สุด นางจะทนไม่เดือดดาลได้อย่างไรไหว!
คุณหนูแปดสกุลเผิงมองไปทางเรือนพักของอวี้ถัง สายตาพราวระยับ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
คุณหนูเจ็ดสกุงซ่งเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เมื่อวานพวกเรานอนไม่ค่อยหลับ แต่มาพักอยู่ด้านนอกก็มักเป็นเช่นนี้ อดทนเอาหน่อยก็ผ่านไปได้เอง”
คุณหนูหกสกุลซ่งกลับเป็นคนที่ข่มอารมณ์ไม่ไหว
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งเริ่มมีสีหน้าไม่น่ามอง ดึงแขนนางไว้แล้วถามว่า “เจ้าจะเอาอย่างไร? จะเปลี่ยนห้องพักกับคุณหนูอวี้รึ? เช่นนั้นก็ต้องดูก่อนว่าป้าสะใภ้สี่ตกลงหรือไม่? สกุลเผยยินยอมหรือไม่? เจ้าคงไม่คิดสนใจเรื่องอื่นใด อยากทำอะไรก็ทำตามใจเช่นนั้นรึ?”
คุณหนูหกสกุลซ่งนึกถึงสีหน้าเคร่งเครียดของนายหญิงสี่สกุลซ่งเมื่อตอนเช้า จึงงึมงำตอบว่า “ข้า ก็แค่โมโหนี่นา!”
โมโหแล้วทำอย่างไรได้? สกุลซ่งของพวกนางตอนนี้มีเรื่องขอร้องสกุลเผยอยู่ แล้วจะไปซักไซ้ไล่เลียงกับสกุลเผยได้อย่างไร
คุณหนูหกสกุลซ่งทำหน้าง้ำงอ
คุณหนูแปดสกุลเผิงเห็นดังนั้นก็หัวเราะเอ่ยว่า “คุณหนูอวี้ผู้นี้ ต้องไปสืบเรื่องนางดูบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าใครสนิทสนมกับนางบ้าง?”
————————–