ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 232 ไล่
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งกลัวว่าคุณหนูหกสกุลซ่งจะไปล่วงเกินคุณหนูสกุลเผิงเข้า รีบเอ่ยว่า “พี่สาวข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น นางแค่ตกใจเกินไปน่ะ” จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน “ข้าไม่รู้ว่าพี่สาวทั้งสองคิดอย่างไร แต่ข้ารู้สึกประหลาดใจเหมือนกับพี่สาวข้าเช่นกัน ต่อให้คุณหนูอวี้จะเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ แต่สกุลเผยออกจะดีกับนางมากเกินไปหน่อยกระมัง?”
สกุลเผิงก็เหมือนกับสกุลซ่ง ล้วนเป็นสกุลใหญ่ในพื้นที่ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่ต้องการประจบเข้าหาสกุลพวกนาง ทุกๆ ปีสกุลคหบดีมักหาทางส่งบุตรสาวของตนเข้ามาเล่นกับพวกนาง หวังจะได้รับความโปรดปรานกลับไป ก่อนออกเรือนก็ได้ชื่อว่าไปมาหาสู่กับสกุลพวกนาง ออกเรือนไปแล้วก็ยังสามารถพูดคุยกับคนของสกุลเผิงและสกุลซ่งได้ ปูทางสำหรับลูกเขยของสกุลซ่งและสกุลเผิงได้อีกด้วย
และไม่ว่าจะเป็นสกุลซ่งหรือสกุลเผิง พวกนางต่างรู้สึกดูแคลนเหล่าสตรีที่ถูกส่งมาอยู่ข้างกายพวกนางอย่างมาก แต่ยังไม่มีใครเป็นเหมือนอวี้ถัง ที่ได้รับการดูแลจากสกุลเผยถึงเพียงนี้
สิ่งนี้ทำให้เหล่าคุณหนูจากสกุลซ่งและสกุลเผิงอดจะคาดเดาไม่ได้ว่า อวี้ถังอาจมีภูมิหลังหรือความสามารถบางอย่างที่ปิดบังผู้อื่นเอาไว้หรือไม่
คุณหนูทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปมา เป็นนานที่ไม่มีใครส่งเสียง
เป็นคุณหนูเจ็ดสกุลซ่งเสนอขึ้นก่อนว่า “เอาอย่างนี้ไหม พวกเราก็ลองดูไปก่อน อย่าเพิ่งได้ไปล่วงเกินใครโดยไม่รู้แน่ชัด ไม่ว่าอย่างไร หากพวกเราทำเรื่องเลยเถิด มีแต่จะเข้าหน้าสกุลเผยไม่ติด”
คุณหนูสองคนจากสกุลเผิงต่างพยักหน้าเห็นด้วย
คุณหนูหกสกุลซ่งไม่ยอมตัดใจ นางเอ่ยว่า “หรือไม่พวกเราก็ไปถามคุณหนูกู้สิ ข้าดูจากท่าทีของคุณหนูกู้แล้ว นางค่อนข้างสนิทกับคุณหนูอวี้อยู่นะ”
สุดท้าย ก็คือไม่เชื่อเรื่องที่สกุลเผิงเป็นคนสืบมาอยู่ดี
คุณหนูสองคนจากสกุลเผิงไม่สบอารมณ์ แต่รู้ว่าคุณหนูหกสกุลซ่งเป็นคนพูดจาไม่รู้ขอบเขต จึงหันไปพูดกับคุณหนูเจ็ดสกุลซ่งด้วยเสียงเรียบทำนองว่า “ก็ดีเหมือนกัน ลองไปถามจากหลายๆ คนหน่อย ไม่แน่อาจได้ข่าวอย่างอื่นมาเพิ่มบ้าง” จากนั้นก็หยัดกายลุกแล้วขอตัวจากไป
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งรู้ทันทีว่าพี่สาวของตนได้ล่วงเกินสกุลเผิงเข้าให้แล้ว จึงรู้สึกเหนื่อยหน่ายนางนิดหน่อย ก่อนจะพานางกลับไปที่ห้องเซียงฝาง แล้วอ้างว่าต้องไปคารวะนายหญิงสี่สกุลซ่ง สุดท้ายก็ทิ้งนางเอาไว้กับนายหญิงสี่สกุลซ่งทางนั้น ส่วนตัวเองก็เผ่นแน่บ
แต่คุณหนูหกสกุลซ่งกลับไม่รู้สึกรู้สา นางยังเอ่ยเรื่องอวี้ถังกับนายหญิงสี่สกุลซ่งว่า “ใช่หรือไม่ว่าสกุลอวี้เป็นญาติจากการเกี่ยวดองของสกุลอื่นเจ้าคะ!”
นายหญิงสี่ได้รับแจ้งข่าว นางรู้ถึงรายละเอียดเรื่องการค้าที่พวกเผยเยี่ยนทางนั้นหารือกันเมื่อตอนกลางวัน กำลังกลุ้มใจที่สกุลซ่งต้องควักเงินก้อนใหญ่เพื่อจัดการเรื่องหวังชีเป่ากับเว่ยซานฝู ใช่จะมีเวลามาสนใจเรื่องอุบายระหว่างกลุ่มเด็กสาว นางไล่คุณหนูหกสกุลซ่งออกไปอย่างหมดความอดทน แล้วจะเริ่มหารือเรื่องระดมเงินกับหญิงรับใช้ข้างกาย
หญิงรับใช้ผู้นั้นก็ทนดูคุณหนูหกต่อไปไม่ไหว จึงเสนอกับนายหญิงสี่สกุลซ่งว่า “ถ้าไม่รอดจริงๆ ก็ให้คุณหนูหกแต่งออกไปเถอะเจ้าคะ!”
มีสกุลเศรษฐีใหม่คิดสานสัมพันธ์กับสกุลซ่ง พวกเขายินดีออกเงินค่าสินสอดก้อนโต สกุลซ่งย่อมไม่เห็นสกุลเช่นนี้อยู่ในสายตา แต่คุณหนูหกมักคอยสร้างปัญหาอยู่ตลอด พอเวลานี้หญิงรับใช้เสนอขึ้นมา นายหญิงสี่สกุลซ่งก็เริ่มหวั่นไหว รำพึงออกมาว่า “สกุลซ่งคงไม่ตกต่ำถึงขนาดขายบุตรชายบุตรสาวกิน แต่เจ้าพูดถูก เจ้าหกหากยังเก็บคนเอาไว้มีแต่จะกลายเป็นเชื้อไฟสักวัน มิสู้รีบให้นางแต่งออกไปเร็วๆ”
หญิงรับใช้ผู้นี้เป็นเพราะรับประโยชน์จากสกุลเศรษฐีใหม่จึงทุ่มตัวโน้มน้าวนายหญิงสี่อย่างเต็มกำลัง บัดนี้เมื่อได้ฟังคำตอบ จึงพอเดาใจนายหญิงสี่ออก ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจจับพลัดจับผลูสำเร็จขึ้นมาก็ได้ คนจึงยิ่งมีแรงใจมากขึ้น “หลายปีนี้สกุลซ่งเดินออกไปไหนก็มีแต่คนละเลย จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับคุณหนูทั้งหลายในสกุลเราด้วย ท่านดูอย่างสกุลกู้สกุลเสิ่นสิเจ้าคะ แม้ที่เดินออกมาให้เห็นจะสูงสง่าสู้คุณหนูสกุลเราไม่ได้ แต่ก็ได้รับความเคารพจากผู้อื่นมิใช่รึ? นายหญิงคงต้องจัดระเบียบใหม่ เพื่อไม่ให้กระทบต่องานแต่งของเหล่าคุณชายไปด้วยนะเจ้าคะ”
มาครานี้นายหญิงสี่ต้องการสู่ขอคุณหนูสกุลเผยให้กับบุตรชายของตน เป็นการเกี่ยวดองที่แนบแน่นขึ้นอีกขั้น แต่นางกลับถูกท่านแม่เฒ่าสกุลเผยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ใจของนายหญิงสี่ถูกสุมด้วยกองเพลิง มีหรือจะฟังคำพูดพวกนี้เข้าหู? แม้นางจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในใจก็คิดเตรียมแผนเอาไว้ว่า หากกลับไปแล้วจะให้คุณหนูหกแต่งออกไปทันที
ทว่าเพราะอยู่ต่อหน้าหญิงรับใช้ นางจึงไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงเอ่ยเรื่องระดมเงินต่อว่า “ไม่รู้ว่าเรือสองลำนั้นจะออกทะเลได้เมื่อไร? แต่ละวันๆ มีแต่เงินที่ทุ่มลงไป ข้าเห็นแล้วใจก็กังวลยิ่งนัก เช่นนี้แล้ว สกุลเผิงยังบอกว่าไม่พอ ต้องสร้างเพิ่มอีกสองลำจึงจะใช้ได้ ข้าว่าสกุลเผิงไม่อยากทำการค้าร่วมกับพวกเราหรอก แต่คิดจะใช้วิธีนี้ถ่วงเวลาให้พวกเราเหนื่อยตาย รอให้กองเรือออกทะเลแล้ว สกุลเราคงได้แต่เชื่อฟังพวกเขา”
หญิงรับใช้ผู้นี้หากเป็นเรื่องของในเรือนนางยังพอออกความเห็นได้หลายประโยค แต่เมื่อเป็นเรื่องจิปาถะนอกเรือนนั้น นางกลับไม่เข้าใจสักนิด
นางไม่กล้าเอ่ยวาจา จึงได้แต่ยิ้มแหยอยู่ข้างๆ
เผยเยี่ยนทางนั้น ได้ปรึกษากันตลอดช่วงเช้า ตอนเที่ยงให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปเพื่อหารือกับที่ปรึกษาของตนอีกค่อนวัน ในใจก็มีแผนเริ่มต้นคร่าวๆ ไว้แล้ว พอตกเย็น ทุกคนก็ค่อยมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อสรุปรายละเอียดปลีกย่อยเรื่องการรับรองเว่ยซานฝูและการไปเยี่ยมเยือนหวังชีเป่าให้เรียบร้อย
ซึ่งก็คือแต่ละสกุลจะออกเงินคนละเท่าไร มีข้อเรียกร้องอย่างไรบ้าง
กู้ฉ่างเพราะเรื่องของกู้ซีกับเผยถง เขาจึงมาพบเผยเยี่ยนล่วงหน้า คิดไม่ถึงว่าเถาชิงไม่เพียงมาก่อนเขา แต่เสิ่นซ่านเหยียนก็กลายเป็นแขกของเผยเยี่ยนไปแล้วด้วย
เขายากจะข่มความแตกตื่นเอาไว้ได้
เสิ่นซ่านเหยียนได้แต่ยิ้มขื่น แล้วเอ่ยกับกู้ฉ่างอย่างเปิดเผยว่า “ข้ามาเพราะเรื่องของสกุลหลี่ เผยสยากวงรับปากแล้วว่าจะช่วย ข้ากลัวจะเกิดเรื่องให้พลิกผัน จึงบังคับให้เผยกวงเขียนหนังสือแนะนำให้ข้าด้วย”
ต่อให้เผยเยี่ยนรับปากว่าจะช่วย แต่เขาไม่สามารถเดินทางไปด้วยตนเองได้ การสะสางปัญหาของสกุลหลี่ มีเพียงต้องพึ่งเสิ่นซ่านเหยียนตัวคนเดียวแล้ว
เพราะว่ากู้ซีเป็นสาเหตุ กู้ฉ่างจึงไม่ซักไซ้เรื่องนี้มากนัก แต่เถาชิงกลับไม่มีสิ่งใดให้ต้องระวัง จึงเอ่ยถามเสิ่นซ่านเหยียนด้วยความอยากรู้ว่า “พวกเจ้ามีแผนอย่างไรรึ?”
ความหมายของวาจาก็คือ เผยเยี่ยนต้องช่วยถึงขั้นไหนจึงจะนับว่าบรรลุเป้าหมายของพวกเขา
เสิ่นซ่านเหยียนรู้ว่าสกุลเถามีสายสัมพันธ์และมือเท้าของตนในราชสำนัก จึงมองสกุลเถาด้วยความหวังว่าเขาจะร่วมมือด้วยเพราะเห็นแก่หน้าเผยเยี่ยน จึงพูดออกไปอย่างเปิดเผยว่า “หลี่อี้ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา สวรรค์ยากจะให้ความเมตตาแล้ว เรื่องของเขาข้าไม่ยุ่ง ข้าเพียงต้องการรักษาชื่อเสียงของหลี่ตวนเอาไว้ ให้ต่อไปเขายังเข้าร่วมสอบเคอจวี่ได้”
สิ่งนี้ออกจะยากหน่อย
รักษาชื่อเสียงยังพอทำเนา แต่หากให้หลี่ตวนร่วมสอบเคอจวี่ต่อไป เช่นนั้นเขาก็ต้องเดินเส้นทางขุนนาง หากอยากเป็นบัณฑิตในเส้นทางขุนนางนี้ ก็ต้องมีชื่อเสียงดีงาม สิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงดีงาม คือภายในสามรุ่นคนต้องไม่เคยมีใครทุจริตกระทำผิดมาก่อน เช่นนั้นก็มิอาจให้หลี่อี้ถูกปลดจากตำแหน่งด้วยข้อหารับสินบนได้
กู้ฉ่างอดจะมองไปยังเผยเยี่ยนที่กำลังเขียนจดหมายอยู่ไม่ได้
สีหน้าของเผยเยี่ยนนิ่งเรียบ ท่าทางจดจ่อ ดวงหน้าดั่งหยกนั่นไร้ซึ่งร่องรอยกระเพื่อมไหวโดยสิ้นเชิง เห็นชัดว่ารู้ถึงแผนการของเสิ่นซ่านเหยียนอยู่ก่อนแล้ว
เขารู้สึกอย่างไร้ที่มาว่า คำขอร้องของเสิ่นซ่านเหยียนออกจะมากเกินไป
กู้ฉ่างพูดขึ้นมาว่า “สยากวง เกรงว่าเรื่องนี้กระทั่งศาลต้าหลี่ก็รับผิดชอบไม่ไหวกระมัง?”
เผยเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ ภายในรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ เขาคงไม่เอาเรื่องของอวี้ถังมาเป็นอารมณ์ แล้วตอบตกลงเสิ่นซ่านเหยียนไปด้วยความโมโหเช่นนั้น
ปกติเขาก็มิใช่คนจะถูกยั่วให้เดือดดาลได้ง่ายๆ เสียหน่อย
หากจะโทษ ก็ต้องโทษคุณหนูอวี้
นางเป็นต้นเหตุให้เขาทำเรื่องที่ตรงข้ามกับเจตนาของตน
ทว่า เสิ่นซ่านเหยียนก็เหมือนถูกขี้ตาบดบัง ถึงขนาดต้องการให้หลี่ตวนเดินบนเส้นทางขุนนางต่อ
ผู้อื่นพูดกันว่าที่เขาแต่งกับนายหญิงเสิ่นนับเป็นเรื่องโชคร้าย แต่มองดูตอนนี้แล้ว เขากับนายหญิงเสิ่นช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันโดยแท้
แต่เขายังมีอีกหลายวิธีที่จะทำให้หลี่ตวนอดทนต่อไปไม่ไหว
ความคิดในสมองสว่างวาบ เขาชะงักพู่กันทันที
หากคุณหนูอวี้รู้ว่าหลี่ตวนต้องมีจุดจบที่ตกต่ำเช่นนี้ ย่อมจะพอใจแล้วกระมัง?
ทำไมเขาต้องทำความดีแล้วไม่ทิ้งชื่อเสียงเรียงนามด้วย?
เขาต้องนำเรื่องนี้ไปบอกให้อวี้ถังรับรู้ถึงจะถูก
เผยเยี่ยนครุ่นคิด จากนั้นก็ตัดสินใจด้วยความเบิกบาน
เขาตอบกลับกู้ฉ่างว่า “ดังนั้นจึงต้องเขียนจดหมายถึงอาจารย์ข้า ขอร้องให้ท่านผู้เฒ่าออกหน้า ดูสิว่าจะรักษาชื่อเสียงของหลี่ตวนไว้ได้หรือไม่”
จางอิงเป็นเพียงเจ้ากรมขุนนางที่เกษียณออกไปแล้ว แต่ตอนที่เขารับตำแหน่งเจ้ากรมขุนนางก็ผลักดันคนไว้ไม่น้อย หากขอร้องให้คนเช่นนี้ออกหน้า ย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องของเงินเพียงอย่างเดียวแล้ว
ส่วนว่าจะสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ต้องคอยดูความสามารถของเสิ่นซ่านเหยียนแล้ว
เสิ่นซ่านเหยียนซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขาเอ่ยว่า “ข้าก็ว่าเจ้าเขียนจดหมายอะไรอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เขียนถึงท่านผู้เฒ่านี่เอง สยากวง บุญคุณของเจ้าข้าจดจำเอาไว้แล้ว รอให้หลี่ตวนกลับมาจากเมืองหลวง ข้าจะพาเขามาขอบคุณเจ้าด้วยตนเอง”
“ขอบคุณคงไม่จำเป็น” เผยเยี่ยนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักการเดิมของข้า หากว่าท่านต้องการขอบคุณจริงๆ อย่าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกผู้อื่นก็พอ ข้ากลัวผู้อื่นจะคิดว่าข้าร่วมมือกับสกุลหลี่ ถึงเวลานั้นเดี๋ยวจะมีคนมาชี้จมูกด่าสกุลเผยของข้า ทำให้สกุลข้าไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุข”
ดวงหน้าของเสิ่นซ่านเหยียนแดงก่ำ เขาถือป้ายชื่อของเผยเยี่ยนกับจดหมายแล้วออกจากวัดเจาหมิงอย่างรีบร้อน
เถาชิงเห็นเช่นนั้นก็ก้มหน้าหัวเราะ
กู้ฉ่างไม่เข้าใจ
เถาชิงไม่ยอมอธิบาย แต่กลับเอ่ยว่า “เจาหยางมาหาสยากวงแต่เช้า คิดว่าต้องมีเรื่องคุยกับสยากวงแน่ ข้านั่งอยู่ที่นี่เป็นครึ่งวันแล้ว ถึงเวลาลุกไปเดินเล่นขยับกระดูกด้านนอกบ้าง พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า” พูดจบ คนก็ลุกเดินออกจากห้องโถงไป
ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนเหนื่อยหรือเพราะคิดว่าอยู่ในเรือนของตน จึงแสดงสีหน้าท่าทางเย่อหยิ่งออกมาด้วยความเคยชิน
เขาหย่อนตัวลงนั่งทันที พยักพเยิดคางไปทางเก้าอี้ไท่ซือ เอ่ยว่า “มีเรื่องอะไรก็นั่งคุยกันสิ!”
ความสงบและโอนอ่อนผ่อนตามราวกับรู้เรื่องทุกอย่างแก่ใจดีอยู่แล้วนั้น ทำให้กู้ฉ่างรู้สึกถึงความผิดปกติ คิดว่าที่ตนเองมาพูดเรื่องเผยถงกับเผยเยี่ยนซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ ไม่เพียงแสดงว่าตนจุกจิกเกินไป ทั้งค่อนข้างจะใจแคบอีกด้วย
เขาลังเลขึ้นมาว่าจะเอ่ยปากเรื่องเผยถงกับเผยเยี่ยนต่อดีหรือไม่ เผยเยี่ยนก็รำคาญใจอยู่ไม่น้อย…นับแต่ที่เขากินอาหารเที่ยงเสร็จ เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็อยากจะคุยส่วนตัวกับเขาสักสองสามประโยค ทำเอาคนที่ไม่ค่อยพูดอย่างเขาลำคอแห้งผากไปหมด จึงแทบไม่มีอารมณ์มานั่งเล่นทายใจกับกู้เจาหยางอีก
“เจ้ามาเพราะเรื่องเผยถงกระมัง?” เผยเยี่ยนเปิดประเด็นทันที “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเผยถงตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว?”
กู้เจาหยางชะงักไป
เผยเยี่ยนไม่รอให้เขาตอบ ก็เอ่ยต่อทันทีว่า “ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบแปด ข้าไม่รู้ว่าสกุลกู้ของเจ้าปฏิบัติกันเช่นไร แต่เจ้าลองดูสกุลเผยของข้า เรื่องเล่าเรียนยังไม่พูดถึง แต่การออกไปรับตำแหน่งขุนนาง มีคนไหนบ้างที่จะไม่ใช่ขุนนางที่ดีและมีความสามารถ? นั่นเป็นเพราะสกุลเผยของเรา นอกจากจะให้ลูกหลานต้องเรียนหนังสือแล้ว ยังจะต้องเรียนให้ได้ความเป็นเลิศ โดยเฉพาะลูกหลานที่สามารถเดินบนเส้นทางขุนนางได้นั้น จะให้เดินทางออกไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วย เรื่องของเผยถงข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด แต่ก่อนที่พี่ชายข้าจะตายเขาได้ทิ้งจดหมายเอาไว้ บอกว่าสิบปีให้หลังค่อยให้เขาร่วมสอบเคอจวี่ ที่เขาเรียกร้องอยากจะออกไปเล่าเรียนด้านนอก เป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากพี่สะใภ้ข้า ส่วนพี่สะใภ้ข้านั้น มีเพียงคำของคนสกุลหยางที่นางฟังเข้าหู หากเจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ไม่เป็นไร ข้าก็จะไม่ขัดขวาง เจ้าให้เขาเขียนจดหมายขอร้องมาหนึ่งฉบับ ข้าจะปล่อยให้เขาออกไปเล่าเรียนด้านนอก แต่นับจากนี้เป็นต้นไป เขาไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กับสกุลเผยอีก”
“สกุลเผยของข้า มิอาจละเลยต่อธรรมเนียมปฏิบัติเพียงเพราะเขาคนเดียวได้!”
———————————————————–