ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 233 หวังให้ชื่นชม
กู้ฉ่างได้ฟัง ก็เผยท่าทีกระดากอาย ล้วนไม่กล้าเงยหน้าสบตาเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนกลับไม่ผ่อนปรน เอ่ยว่า “แม้เจ้าจะเป็นพี่สามีของเผยถง แต่เรื่องของสกุลพวกเรา เจ้าอย่าได้ยุ่งจะดีที่สุด จะได้ไม่เป็นเหมือนข้า เสียแรงไปมากมายสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา”
กู้ฉ่างนึกถึงข่าวลือภายนอกพวกนั้นของสกุลเผย เขาเอ่ยขอโทษแทนน้องสาวกับเผยเยี่ยนอย่างจริงใจ “เรื่องนี้ข้าทำผิดเอง ภายหลังข้าจะอบรมสั่งสอนน้องสาวให้ดี”
เผยถงเป็นคนของสกุลเผย เขาไม่มีอำนาจไปควบคุม
แต่หากมีโอกาส เขาย่อมช่วยหว่านล้อมเผยถง
ต่อให้สกุลหยางจะดีอย่างไร ก็เป็นเพียงสกุลมารดาของเผยถง ตัดขาดกับญาติทางบิดา ใกล้ชิดกับทางญาติมารดา ทั้งไม่มีความแค้นเคืองใหญ่โตอันใด ภายหลังเดินสายขุนนาง ย่อมถูกอีกฝ่ายโจมตีจุดอ่อน
เขาไหนเลยยังจะนั่งติดที่ มีธุระที่ต้องทำขึ้นมาทันที หยัดกายขึ้น เอ่ยว่า “ข้ายังมีธุระนิดหน่อย เมื่อครู่เพิ่งนึกได้ว่าต้องจัดการ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา จะพยายามไม่ถ่วงเวลาของทุกคน”
เผยเยี่ยนเดาว่าเขากำลังจะไปคิดบัญชีกับกู้ซี ยินดีที่ได้เห็นพวกเขากัดกันยิ่ง ทั้งยังนึกถึงอวี้ถังที่อยู่ทางนั้น จึงเอาแต่คิดหาข้ออ้างไล่เถาชิง ทั้งกลัวว่าเถาชิงจะตามเขาไม่ปล่อย จึงทำเป็นใจกว้าง เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเชิญเว่ยซานฝูมาหลินอันหรือไปเข้าพบหวังชีเป่าที่ซูโจว ล้วนฟังความเห็นของเจ้า อย่างไรราตรีก็อีกยาวนาน ทุกคนก็ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร เจ้ามีธุระก็ไปทำ พวกเราคอยเจ้ากลับมาหารืออีกครั้งก็เพียงพอแล้ว”
เดิมกู้ฉ่างยังคิดจะเอ่ยถ่อมตัว แต่เขานึกถึงเรื่องที่นายหญิงใหญ่เผยกระทำหลายวันมานี้ ก็รู้สึกว่าน้องสาวของเขาเหมือนเนื้อในปากของเสือ หากเขาชักช้าหนึ่งเค่อ น้องสาวก็อาจจะบาดเจ็บมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงไม่เกรงใจ เอ่ยรับว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณนายท่านสามแล้ว” ก่อนจะไปหากู้ซีอย่างเร่งรีบ
เถาชิงที่อยู่ด้านนอกเห็นก็เข้ามา เอ่ยว่า “เขาเป็นอะไรรึ? คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกกระมัง?” ทำท่าประหนึ่งตกใจ
เผยเยี่ยนชำเลืองมองเถาชิงไปที เอ่ยว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด น้องสาวของเขาเหมือนจะมีเรื่องสำคัญอะไรกับเขา เขาจึงไปจัดการก่อน การรวมตัวคงต้องเลื่อนเวลาไปอีกสักพัก”
เถาชิงเอาแต่คิดหาโอกาสจะพูดเรื่องเงินสองแสนตำลึงกับเผยเยี่ยนเพียงลำพังอยู่ตลอด การรวมตัวถูกเลื่อนออกไป ตรงกับใจเขาพอดี เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราออกไปเดินเล่นกันเถิด อีกเดี๋ยวพวกเขาทยอยกันเข้ามา ก็ทำได้เพียงนั่งอยู่ในนี้คุยไม่ได้เรื่องได้ราวอันใด มีเวลาเช่นนี้ มิสู้พวกเราปรึกษาหารือกิจการทางกว่างตงเสียหน่อย!”
หากจะล้มเลิกสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลของเฉวียนโจวและหนิวปัวจริงๆ สกุลเถาที่ครอบครองท่าเรือส่วนมากของกว่างตงก็ย่อมกลายเป็นเป้าโจมตีของผู้คน นับตั้งแต่โบราณกาล การเก็บผลประโยชน์คนเดียวล้วนไม่มีจุดจบที่ดีทั้งนั้น
เผยเยี่ยนกลับไม่มีใจจะพูดเรื่องยิบย่อยพวกนี้กับเถาชิง เขากำลังขบคิดในใจ แม้ว่าเรื่องที่เสิ่นซ่านเหยียนถึงเมืองหลวงนั้นผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยากรับประกันว่าเรื่องที่มีคนช่วยเหลือสกุลหลี่ จะไม่เล็ดลอดออกมา ถึงเวลานั้นคุณหนูอวี้ทราบย่อมโมโหเป็นแน่ แทนที่จะให้นางคิดฟุ้งซ่านอยู่ที่นั่น มิสู้เขาเผยแผนการของตัวเองออกมาอย่างหมดเปลือก จากความฉลาดของคุณหนูอวี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถร่วมมือกับเขา ทำให้สกุลหลี่ไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ตลอดกาล
ยามนี้เขามองเถาชิงที่เขาเป็นคนเชิญเข้ามาด้วยตัวเองอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสายตาอยู่บ้าง
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “ข้าก็มีเรื่องเร่งด่วนเล็กน้อยต้องจัดการเช่นกัน เรื่องของสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล มิสู้พวกเรารอสักพักค่อยปรึกษากัน ยามนี้เจ้าให้ข้าตัดสินใจ ข้าก็นึกความคิดที่ดีกว่านี้ไม่ทันอยู่บ้าง”
เถาชิงเห็นสีหน้าร้อนใจของเขา ก็คิดว่ากู้ฉ่างเคยเข้ามาหาเผยเยี่ยนเพราะเรื่องเรียนหนังสือของเผยถง ขบคิดว่าเมื่อครู่กู้ฉ่างอาจจะเข้ามาพูดเรื่องของเผยถง อีกทั้งสองคนนี้ยังเคยขัดแย้งกันด้วยเหตุนี้ กู้ฉ่างจึงได้ไปพบน้องสาวของตนเองอย่างเร่งรีบ ทั้งเผยเยี่ยน คาดว่าก็คงไปปรึกษาหารือเรื่องนี้กับท่านแม่เฒ่า
เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยากและเร่งด่วนจริงๆ
เถาชิงไม่อาจรั้งเขา เร่งให้เขารีบไปรีบมา
เผยเยี่ยนผงกศีรษะให้เถาชิง ยังกลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ยามนี้จึงเดินไปทางเรือนตะวันออกที่พวกสตรีพำนักอยู่
เถาชิงคิดว่า เผยเยี่ยนไปพบท่านแม่เฒ่าเผยดังคาด ยังดีที่เขาไม่ได้รั้งตัวไว้
แม้ว่าเรื่องกิจการจะสำคัญ แต่ทำกิจการก็ไม่ใช่เพราะว่าอยากให้คนในเรือนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกว่าเดิมหรอกรึ? หากเพิกเฉยกับคนในเรือนเพราะเหตุนี้ไป เช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
เขาถึงกระทั่งดีใจอยู่บ้างที่ตัวเองเป็นพันธมิตรกับเผยเยี่ยน
ทั้งสองคนมีความคิดในการทำเรื่องใหญ่เหมือนกัน ทำกิจการร่วมกันก็ย่อมไม่มีช่องว่างอะไรมากมาย
เถาชิงนั่งอยู่ในห้องโถงเพียงคนเดียว รินชาอย่างเงียบเชียบ
—
เผยเยี่ยนที่ถูกเขาเข้าใจผิด หลังจากเข้าไปเรือนทางตะวันออกก็เดินเลี้ยว ก่อนจะเดินตามทางป่าไผ่เพื่อไปหาอวี้ถัง
ทางอวี้ถังกำลังรับแขกอยู่กับคนสกุลเฉิน
สกุลอู๋และสกุลเว่ยล้วนได้ห้องเซียงฝางไว้พักผ่อนหนึ่งห้องเพราะสกุลอวี้ เนื่องด้วยต้องเข้ามาอยู่เย็นวันนี้ จึงส่งหญิงรับใช้นำข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวล่วงหน้าเข้ามาจัดเก็บ หญิงรับใช้พวกนี้มาถึงวัดเจาหมิงก็เข้ามาน้อมทักทายนายหญิงอวี้ด้วยกัน
ปกติคนสกุลเฉินก็ได้รับการดูแลจากสกุลเว่ยและสกุลอู๋ ย่อมกระตือรือร้นกับหญิงรับใช้ของสองสกุล ไม่เพียงบอกเป็นนัยให้พวกนางดื่มชาครั้งแล้วครั้งเล่า ยังถามพวกนางว่ามีจุดไหนอยากให้นางช่วยเหลืออีกหรือไม่
หญิงรับใช้ทั้งสองสกุลตอบติดต่อกันว่า ‘ไม่กล้า’ เอ่ยขอบคุณคนสกุลเฉิน ทั้งกล่าวว่า “ไม่มีจุดไหนขาดตกบกพร่อง รบกวนนายหญิงเสียแล้ว”
พวกนางเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกัน ซวงเถาก็เดินมากระซิบข้างหูอวี้ถังอย่างเงียบเชียบ
อวี้ถังตกใจอย่างยิ่ง ถามเสียงเบาว่า “เขามาคนเดียวอย่างนั้นรึ?”
ซวงเถาผงกศีรษะ “ให้คุณหนูรีบไปพบเจ้าค่ะ กล่าวว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับคุณหนู”
พรุ่งนี้เป็นงานบรรยายธรรมแล้ว แม้จะจัดการดีแค่ไหนก็ยากที่จะไม่เกิดจุดบกพร่อง อวี้ถังกลับไม่ได้คิดมาก บอกกล่าวกับคนสกุลเฉิน ก่อนจะตามซวงเถาออกไป
เผยเยี่ยนยืนอยู่ใต้ต้นการบูรรูปทรงคล้ายร่มตรงปากประตู ยังคงสวมชุดต้าวผาวผ้าหยาบสีฟ้าอ่อน ยืนอย่างสง่าผ่าเผย พาให้อวี้ถังตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง คล้ายว่าการทะเลาะกันระหว่างทั้งสองเป็นเรื่องในอดีตของนาง ยามนี้หวนสติคืน นางกลับมาอยู่ในเหตุการณ์ที่พบเผยเยี่ยนใหม่อีกครั้ง
น่าเสียดายที่เผยเยี่ยนเป็นยอดฝีมือในการทำลายบรรยากาศคนหนึ่ง
เขาเห็นอวี้ถังก็กวักมือเรียกนาง บอกเป็นนัยให้นางเข้ามาพูดคุย
อวี้ถังไม่สบอารมณ์ แต่ยังคงเดินเข้าไปอย่างอดทน เอ่ยว่า “มีอะไร?”
น้ำเสียงของนางแข็งทื่ออยู่บ้าง เผยเยี่ยนได้ฟังก็ลอบจิ๊ปาก ครุ่นคิดว่าเหตุใดคุณหนูอวี้ยังโกรธอยู่? นิสัยเช่นนี้เกินไปหน่อยแล้วกระมัง? ไม่ใช่กล่าวว่ารับผลไม้ขนมหวานจากเขาแล้วหรอกรึ? หรือรับของก็ไม่ยอมรับรู้อะไรแล้ว?
แต่ว่าเขาก็เป็นคนใจกว้างมาโดยตลอด อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง เขาไม่จำเป็นต้องจริงจังเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กับคุณหนูอวี้
เขาเอ่ยว่า “เจ้าอยากให้นับจากนี้สกุลหลี่ชื่อเสียงป่นปี้ห่างจากบ้านเกิดเมืองนอน ปิดบังชื่อเสียงเรียงนามไม่ให้คนรู้ หลายปีจากนั้นค่อยกลับมายืนหยัดขึ้นอีกครั้ง? หรือว่าอยากให้นับจากนี้แม้สกุลพวกเขาจะลำบากก็ไม่อาจพูด ตัวสั่นงันงก อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ภายหลังก็ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ?”
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนไปที
นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรอกรึ?
นางและสกุลหลี่มีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันได้
ชาตินี้พวกเขายังเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปคนหนึ่ง ไฉนจะสามารถให้อภัยได้!
แต่นึกถึงนิสัยของเผยเยี่ยน อวี้ถังก็รู้สึกว่า คิดไปเองหรือพูดความนัยอะไรย่อมไม่มีประโยชน์ ยังมิสู้พูดกับเขาให้ชัดเจนไปตามตรง
“ข้าอยากให้สกุลพวกเขาชดใช้ด้วยชีวิต!” น้ำเสียงของอวี้ถังก้องกังวาน ดวงตากลมโตนั้นมองเผยเยี่ยนแทบไม่กะพริบ แววตายังเผยความไม่ผ่อนปรนอย่างจริงจัง
เจ้าเด็กคนนี้!
ไม่เหมือนใครจริงๆ!
เผยเยี่ยนลอบชมในใจ ก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยว่า “อาจารย์เสิ่นมาขอความเมตตาให้หลี่ตวน ข้าคิดอยู่นาน รู้สึกว่าแม้ข้าจะไม่ลงมือ เห็นแก่ความสัมพันธ์และไมตรีที่มีต่ออาจารย์เสิ่น ก็สามารถให้คนอื่นลงมือได้ ข้าจึงรับปาก…”
เขาพูดมาถึงตรงนี้ ก็สังเกตสีหน้าของอวี้ถัง
นางไม่ได้โมโหทั้งไม่มีความขุ่นเคือง ยังคงมองเขาอย่างจริงจังเหมือนก่อนหน้านี้ รอให้เขาพูดต่อ
ชั่วขณะนั้นในใจเผยเยี่ยนก็เกิดความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
เด็กสาวผู้นี้ยังคงเชื่อมั่นเขากระมัง?
ไม่อย่างนั้นอาศัยจากที่นางมีความแค้นกับสกุลหลี่ ได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็คงกระโดดขึ้นมาแล้ว แต่นางยังสามารถยืนฟังตนเองพูดอย่างใจเย็น เห็นได้ชัดว่านางเชื่อว่าเขาสามารถแก้แค้นให้นางได้
เผยเยี่ยนเสียใจในภายหลังอยู่บ้างที่ก่อนหน้านี้เย้าแหย่อวี้ถังจนโมโห
เขาไม่ควรใช้ประโยชน์จากเรื่องที่อวี้ถังเชื่อใจเขาอย่างตามใจชอบ คนที่ไม่เชื่อใจเขาพวกนั้นต่างหากที่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
เผยเยี่ยนรู้สึกคันลำคอ จึงกระแอมไอเบาๆ ยามนี้ค่อยกล่าวต่อ “ข้าจะเขียนจดหมายให้อาจารย์และพวกศิษย์พี่ของข้า ทั้งจะส่งเทียบเชิญให้อาจารย์เสิ่นหนึ่งฉบับเช่นกัน ให้เขาเข้าเมืองหลวงไปพบอาจารย์และศิษย์พี่ของข้า ขอให้พวกเขาช่วยอาจารย์เสิ่นดึงสกุลหลี่ขึ้นมา”
อวี้ถังโมโหจนปอดแทบจะระเบิดออกมา
แต่นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองมีเรื่องเข้าใจผิดเผยเยี่ยน จึงตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอฟังเผยเยี่ยนพูดให้จบ ค่อยคิดบัญชีกับเขา กลับลืมตระหนักว่า นางถือสิทธิ์อะไรมาคิดบัญชีกับเผยเยี่ยน…
เผยเยี่ยนเห็นอวี้ถังยังคงรอฟังเขาเหมือนตอนแรก ก็ยิ่งรู้สึกพอใจ ในน้ำเสียงอดแฝงความยินดีที่กระทั่งตัวเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ “ข้าพูดกับอาจารย์และศิษย์พี่แล้ว สกุลพวกเราติดหนี้บุญคุณอาจารย์เสิ่น จำต้องตอบแทน ทำได้เพียงช่วยเขาเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือให้สกุลหลี่ เจ้าคงแปลกใจว่าเหตุใดข้าจึงพูดเช่นนี้กระมัง?”
เขาอุบไว้อย่างห้ามไม่อยู่
อวี้ถังรู้จักนิสัยเขาดีเกินไป จึงประจบประแจงเขาตามน้ำไป เอ่ยว่า “เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้รึ?”
คงไม่ใช่เพราะสกุลเผยติดหนี้บุญคุณอาจารย์เสิ่นจริงๆ หรอกกระมัง?
เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างลำพองใจอยู่บ้าง “เพราะอาจารย์และศิษย์พี่พวกนั้นของข้าล้วนเกลียดพวกขุนนางที่ประพฤติมิชอบที่สุด!”
อวี้ถังตกตะลึง
เผยเยี่ยนมองดวงตากลมโต ทั้งสีหน้านิ่งอึ้งของนาง…รู้สึกว่านางดูซื่อบื้อขึ้นมาจริงๆ
เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อาจารย์และศิษย์พี่ของข้าคิดว่า เจ้าเป็นขุนนางมีความเห็นแก่ตัวได้ กลับไม่อาจทำร้ายคนอื่นได้ เพราะในมือมีอำนาจ อันตรายยิ่งกว่าพญาเสือเสียอีก เห็นแก่หน้าข้า พวกเขาจะช่วยอาจารย์เสิ่นดึงคนขึ้นมา แต่หากสกุลหลี่คิดจะเดินสายขุนนางอีก ไม่ว่าอาจารย์หรือพวกศิษย์พี่ รวมถึงพวกบัณฑิตขุนนางที่สนิทสนมกับอาจารย์และศิษย์พี่ข้า ล้วนจะกดหัวสกุลหลี่ ไม่ให้สกุลพวกเขากลับมารับตำแหน่ง ไปทำร้ายคนได้อีก”
เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุด สกุลหลี่ย่อมถูกตัดขาดจากเส้นทางขุนนางกว่าห้าสิบปี
หากลูกหลานของสกุลหลี่ปล่อยปละละเลยเรื่องเรียน จากสกุลบัณฑิตก็อาจจะกลายเป็นสกุลเกษตรกร หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ถึงกระทั่งอาจจะเป็นเกษตรกรไม่ได้ กลายเป็นชาวนาที่เช่าไร่เช่าสวนคนอื่น
เผยเยี่ยนส่งยิ้มให้อวี้ถัง เอ่ยว่า “ดังนั้นข้าจึงคิดว่า แทนที่จะให้สกุลหลี่อยู่ในที่ที่พวกเรามองไม่เห็น มิสู้ให้พวกเขาอยู่ในหลินอัน พวกเราก็จะสามารถให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตลอดเวลา เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อวี้ถังสั่นสะท้านในใจ
ความคิดนี้ช่างโหดร้ายจริงๆ!
แต่ว่า นางชอบอย่างยิ่ง!
สกุลหลี่ควรจะได้รับจุดจบเช่นนี้
ใครให้สกุลพวกเขาใช้กระดูกของคนอื่นก่อสร้างความร่ำรวยให้กับสกุลตัวเองกัน!
อวี้ถังพยักหน้าระรัว กระปรี้กระเปร่าจนแก้มสองข้างขึ้นสีแดงฝาด
เผยเยี่ยนขานว่า ‘อืม’ อย่างพอใจ คิดว่าคุณหนูอวี้โชคดีที่ได้ตัวเองคิดแผนการนี้แทนนาง ไม่อย่างนั้น นางจะไปหาใครให้แก้แค้นแทนได้?
———————–