ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 237 กระสับกระส่าย
ขณะที่นายหญิงใหญ่เผยพูด เรื่องที่เมื่อก่อนไม่ได้คิดอย่างละเอียดมากมายล้วนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมีเงื่อนงำขึ้นมา นางหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดถึงขั้นฟันสั่นกระทบกัน พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
เผยถงก็เย็นวาบไปทั้งตัว
เขาจับมือของมารดาไว้แน่น คล้ายว่าเหมือนเป็นเช่นนี้คนทั้งคู่ก็จะสามารถเอาชนะความหวาดกลัวในใจ สามารถเพิ่มความกล้าให้กับตัวเองได้
“ท่านแม่” เผยถงเอ่ยเสียงแผ่ว เผยเฟยวิ่งยกเอาของว่างเข้ามา ตะโกนเสียงดังว่า ‘ท่านแม่’ ‘ท่านพี่’ ก่อนจะเอาของว่างในมือให้สองคนดู “กล่าวว่าเป็นขนมที่พวกพระอาจารย์วัดเจาหมิงทำ ข้ากินไปชิ้นหนึ่ง ด้านในมีซิ่งเหริน และเหอเถา อร่อยอย่างยิ่ง! ท่านก็ชิมด้วยกันสิ!”
ขนมของเมืองหลวงมักใช้ซิ่งเหรินและเหอเถาสอดไส้ เผยถงและเผยเฟยต่างก็เติบใหญ่ในเมืองหลวง เทียบกับของว่างพวกขนมดอกกุ้ยฮวาหรือชิงถวนแล้ว ย่อมชื่นชอบขนมที่มีเมล็ดแตงโม ซิ่งเหรินหรือเหอเถามากกว่า
นายหญิงใหญ่เผยรีบฝืนส่งยิ้ม ก่อนจะดึงมือลูกคนเล็กอย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “รู้แล้วว่าเจ้าต้องชอบ แม่ไม่กินหรอก ดึกแล้ว แม่ล้างหน้าบ้วนปากแล้ว เจ้าและพี่เจ้ากินกันเถิด!”
เผยเฟยทราบถึงความเคยชินของมารดาดี ยามเย็นเมื่อล้างปากแล้วก็จะไม่กินอะไรอีก จึงไม่คิดฝืนใจ แบ่งขนมในมือส่วนใหญ่ให้เผยถง
นายหญิงใหญ่เผยส่งสายตาให้ลูกชายคนโต เอ่ยว่า “นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าและน้องกลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เป็นงานบรรยายธรรม พวกเจ้าไม่อาจไปสายกว่าพวกผู้ใหญ่ได้ อย่าได้อดหลับอดนอน มีเรื่องอะไร รอข้าหาโอกาสพูดกับอาสามเจ้าในงานบรรยายธรรมดีกว่า”
กู้เจาหยางไม่ได้กล่าวว่าหลังจากงานบรรยายธรรมจะอยู่ในหลินอันช่วงหนึ่งหรอกรึ พวกเขาต้องฉวยยามที่กู้เจาหยางอยู่หลินอัน ถามกับเผยเยี่ยนให้กระจ่าง
เผยถงมองน้องชาย ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พาน้องชายจากไป
—
ด้านกู้ฉ่างยามนี้อยู่ระหว่างทางกลับห้องเซียงฝางที่ตัวเองพักอยู่ เกาเซิงคนสนิทข้างกายเขาก็รายงานข่าวที่ไปสืบมาเสียงเบา “…คุณหนูอวี้เป็นคุณหนูของสกุลซิ่วไฉธรรมดา เพราะนิสัยดี จึงได้รับความโปรดปรานจากท่านแม่เฒ่า มักจะไปมาหาสู่กับจวนสกุลเผยขอรับ” น้ำเสียงของเขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า “ไม่ใช่คุณหนูสกุลใหญ่แต่อย่างใดขอรับ”
กู้ฉ่างตกตะลึง หยุดฝีเท้าลง ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าคุณหนูอวี้ เป็นเพียงคุณหนูสกุลซิ่วไฉธรรมดาในหลินอัน?”
“ขอรับ!” เกาเซิงไม่กล้ามองตาของกู้ฉ่าง หลุบตาต่ำเอ่ยว่า “เดิมทีสกุลอวี้ก็เป็นสกุลเกษตรกรธรรมดา เพราะว่าขยันขันแข็ง จึงค่อยๆ สร้างรากฐานขึ้นมา จากนั้นก็เปิดร้านค้าเครื่องลงรัก จึงได้มีความสามารถส่งลูกหลานในสกุลเรียนหนังสือ บิดาของคุณหนูอวี้ เป็นคนที่มีตำแหน่งเพียงคนเดียวของสกุลพวกเขา ทั้งสมาชิกในสกุลพวกเขาก็น้อยนิด อวี้ซิ่วไฉมีเพียงพี่ชายอีกคน ทั้งคุณหนูอวี้ก็มีญาติผู้พี่เพียงคนเดียวขอรับ”
ก็หมายความว่า ไม่มีคนที่สามารถพึ่งพากันและกันได้แม้แต่คนเดียว
นี่ก็หมดหนทางแล้ว!
กู้ฉ่างถูขมับ ในสมองปรากฏใบหน้าที่พริ้มเพราของอวี้ถังขึ้นมาอีกครั้ง
งดงามจริงๆ!
แทบจะเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา
น่าเสียดาย…
กู้ฉ่างยืนใต้ต้นหวงหยางที่อยู่ข้างทางเป็นเวลาเกือบหนึ่งก้านธูป จึงค่อยรวบรวมสติของตัวเอง เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เรื่องนี้ก็หยุดเพียงเท่านี้เถิด อย่าได้แพร่งพรายอะไรออกไป”
เกาเซิงรับคำสั่ง เอ่ยอีกเรื่องขึ้นมา “ครั้งนี้นายหญิงสามสกุลหยางเข้ามาเช่นกัน หรือเดิมก็คือคุณหนูเจ็ดของสกุลอิน ได้ยินว่า สกุลอินมีคุณหนูที่ใกล้จะเข้าสู่วัยปักปิ่น นางได้รับสั่งจากนายหญิงสกุลอิน ให้หาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับสกุลอินขอรับ”
ในราชสำนักมีขุนนางอยู่นับร้อย ใครบ้างไม่รู้ถึงความเก่งกาจในการหาบุตรเขยของสกุลอิน
เดิมทีนี่ก็เป็นโชคที่กู้ฉ่างทำได้เพียงคิดอยู่เรื่อยมา แต่วันนี้โอกาสกลับวางอยู่ข้างมือของเขา จู่ๆ เขากลับไม่มีความตื่นเต้นและกระตือรือร้นเหมือนที่คิดไว้เสียอย่างนั้น
“เรื่องเช่นนี้ ก็ต้องอาศัยวาสนา” เขาเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “มีโอกาสค่อยว่ากันเถิด!”
เกาเซิงไม่กล้าปากมาก เดินตามกู้ฉ่างไปที่พักอย่างเงียบเชียบ
—
เผยเยี่ยนกลับนอนไม่หลับอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าตัวเองควรพูดคุยกับชูชิงเสียหน่อย แต่ก็นึกขึ้นมาอีกว่า คำที่เขาจะพูดนั้นอาจจะทำให้ชูชิงดูแคลนได้ จึงนอนนิ่งอยู่บนเตียงให้รู้แล้วรู้รอดไป จ้องเพดานอย่างเงียบเชียบ
ยามดึกเงียบสงัด กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา คล้ายจะดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เขาได้ยินโจวจื่อจินเล่นกู่ฉินเปล่งเสียงอยู่ตรงนั้น
ช่วงเวลาเช่นนี้ มักเป็นยามที่โจวจื่อจินเมาสุราเล็กน้อย
หากเป็นวันปกติ เผยเยี่ยนก็จะคิดว่านี่เป็นเรื่องของโจวจื่อจิน ไม่เกี่ยวกับเขา แต่วันนี้ เขากลับรู้สึกเกลียดโจวจื่อจินขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด…โจวจื่อจินถือสิทธิ์อันใดถึงดื่มสุราร้องเพลงเสียงดังจนทำให้ทุกคนในวัดนอนไม่ได้ เขายังจะทนได้รึ? เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ที่นี่กลับไม่มีคนให้พูดคุยแม้แต่คนเดียว?
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะสวมเสื้อคลุมออกจากห้อง
โจวจื่อจินพาพวกบ่าวรับใช้นั่งล้อมวงอยู่ตรงโขดหินปลอมข้างเรือนที่พวกเขาพำนักอยู่ ปลดปล่อยตัวเองไปกับแสงจันทร์ที่ส่องกระทบลำธาร
เขาโมโหอย่างยิ่ง สาวเท้าเข้าไป เตะขวดสุราที่อยู่ข้างกายโจวจื่อจินเหล่านั้นจนกระเด็นลอยไป
โจวจื่อจินเงยหน้าขึ้นมา มองเผยเยี่ยนด้วยตาปรือ “เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก? ไม่สงบเสงี่ยมทำตัวเป็นคนดีแล้วรึ? มาๆ! สหาย ไม่ต้องโกรธไป เล่าให้พี่ชายฟังว่าเจ้าไปพบเรื่องอะไรมา?” ขณะที่พูด ก็ดึงชายเสื้อของเผยเยี่ยน พยายามจะจัดแจงเขานั่งลงบนหญ้า “เรื่องยิบย่อยในเรือนคงไม่คณามือเจ้าหรอก เช่นนั้นเป็นเรื่องอะไรกัน? คงไม่ใช่ว่าเจ้าไปพบสาวงามคนหนึ่ง แต่ไม่อาจไขว่คว้าได้กระมัง” ขณะที่พูด โจวจื่อจินก็ตลกกับคำพูดของตัวเอง เอ่ยว่า “ไม่ใช่สิ หากเจ้าถูกใจคุณหนูสกุลใดจริงๆ คาดว่าอยากแต่งก็แค่พูดประโยคเดียวเท่านั้น ไม่อาจไร้ทางไขว่คว้าได้หรอก! หรือว่าเป็นคุณหนูที่ฐานะและตำแหน่งไม่ทัดเทียมเจ้า? ฮ่าๆ!…เผยสยากวง เจ้าก็มีวันนี้สินะ!”
เผยเยี่ยนโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี ผลักโจวจื่อจินทันที พุ่งเป้าตำหนิไปที่บ่าวรับใช้ของเขา “พวกเจ้าไม่รู้หรือว่านี่คือที่ไหน? คาดไม่ถึงว่ายังจะปล่อยให้เขาดื่มสุราร้องเพลงตามใจ พวกเจ้ากลัวว่าชื่อเสียงของเขาจะไม่เสื่อมเสียอย่างนั้นรึ?”
พวกบ่าวรับใช้ล้วนแต่ปรากฏสีหน้าลำบากใจ รีบเข้าไปพยุงโจวจื่อจินกลับที่พักของเขา
โจวจื่อจินกลับสะบัดมือจากบ่าวรับใช้ ตะโกนใส่เผยเยี่ยน “สยากวง! เจ้าไม่ต้องอาย แม้ว่าข้าและพี่ชายเจ้าจะเข้าสอบรุ่นเดียวกัน แต่เห็นแก่หน้าเจ้าจึงได้ให้ความเคารพพี่เจ้าขนาดนั้น เจ้าต่างหากที่เป็นสหาย…”
ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าท่า
เผยเยี่ยนตัดสินใจไม่สนโจวจื่อจินอีก เดินผ่านไปอย่างโมโห
เมื่อกลับมาถึงในห้อง ก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เขายังคงนอนไม่หลับ ครุ่นคิดในใจว่า งานบรรยายธรรมพรุ่งนี้จะจัดที่ศาลาธรรมเทศนา แขกผู้ชายให้นั่งโต๊ะตรงหน้าแท่นบรรยาย ส่วนสตรีนั้นจัดให้อยู่ทางวิหารตะวันออก ด้านหน้าก็ตั้งฉากกั้นลมเอาไว้ ถึงเวลานั้นสตรีในเรือนก็จะนั่งด้วยกันทั้งหมด หากคุณหนูกู้และคุณหนูอวี้ปะทะกันขึ้นมา ทุกคนเห็นเข้า ไม่ว่าใครผิดใครถูก สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอยู่ดี
เผยเยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้อันตรายอยู่บ้าง…หากคุณหนูอวี้ฟังที่เขาพูดก็ดี หากไม่ฟัง…ไม่สิบางทีคุณหนูกู้อาจเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน คุณหนูอวี้ก็ไม่อาจทนอยู่ฝ่ายเดียวกระมัง? ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูอวี้ก็ไม่ใช่คนที่อดทนได้เสียด้วย!
เขานอนพลิกไปพลิกมาสักพักก่อนจะลุกจากเตียง เรียกเผยหม่านเข้ามา ให้เขาสั่งการคนไปจัดพื้นที่ให้กับพวกสตรี “ใครนั่งตำแหน่งไหน จัดไว้ให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นอย่าได้ให้เดินวุ่นวาย อยากนั่งหน้าก็นั่งหน้าด้วยกัน คุณหนูอวี้แม่ลูกมากับท่านแม่เฒ่า เจ้าจัดแจงให้พวกนางนั่งกับท่านแม่เฒ่า ส่วนคุณหนูกู้ ก็จัดให้นั่งกับพวกคุณหนูสกุลซ่งและสกุลเผิง”
แยกคนออกห่างกันแล้ว คงจะลดเรื่องยุ่งได้ไม่น้อย
เผยหม่านตกใจไปพักใหญ่จึงค่อยหาเสียงตัวเองกลับมาได้ เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ยามนี้? จัดตำแหน่งหรือขอรับ?”
“ใช่!” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ไปเดี๋ยวนี้เลย เหมือนครั้งก่อนยามที่สกุลอาจารย์ข้าจัดงานมงคลที่เมืองหลวง วาดภาพหนึ่งภาพ มีที่นั่งกี่ตำแหน่ง ทุกคนนั่งที่ไหน ล้วนกำหนดให้ชัดเจน จากนั้นส่งภาพให้แต่ละสกุล ให้พวกนางรู้ว่าตำแหน่งของตัวเองว่านั่งที่ไหน”
แต่งานมงคลครั้งก่อนของใต้เท้าจาง เป็นเพราะนอกจากองค์ชายสามและองค์ชายรองล้วนมาเข้าร่วมแล้ว ทั้งคู่ยังรั้งตัวดูการแสดงงิ้วอีก
พวกเขาเพียงจัดงานบรรยายธรรมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นกระมัง?
แต่คำพูดนี้เผยหม่านไม่กล้าพูด เขาคล้ายกำลังละเมออยู่ในฝัน ขานรับ‘อ่อๆ’ สองครั้ง ยามนี้จึงค่อยดึงสติกลับมา เอ่ยเพื่อความแน่ใจ “ต้องกำหนดตำแหน่งของทุกคน?”
ก็หมายความว่า คืนนี้ทั้งคืนพวกเขาต้องยืนยันออกมาว่าแต่ละสกุลมีคนไปฟังการบรรยายธรรมกี่คน
รวมถึงพวกสาวใช้ หญิงรับใช้ข้างกาย
แม้แต่คนที่ยืนก็ต้องหาที่ให้ยืนกระมัง?
เผยเยี่ยนคิดว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก
ในเมื่อสกุลจางทำได้ สกุลพวกเขาก็สามารถทำได้
“เจ้าไปจัดการเถิด!” เขาคล้ายกับสบายใจขึ้นมา ความง่วงครอบคลุมอีกครั้ง อ้าปากหาวเป็นนัยให้เผยหม่านออกไปได้
เผยหม่านถอนตัวออกไป กลับอดนินทาในใจไม่ได้ คำพูดของเจ้านายคำเดียว คนรับใช้วิ่งกันจนขาหัก คืนวันนี้เขาและพวกผู้ดูแลล้วนอย่าได้คิดจะนอนเลย
—
ด้านอวี้ถังกลับนอนหลับสนิทอย่างยิ่ง
เมื่อเย็นวานนางไม่เพียงคัดลอกคัมภีร์เสร็จตามที่วางแผนไว้ ยังรู้อีกว่าสกุลหลี่ใกล้ประสบเคราะห์ร้าย อารมณ์ดียิ่งกว่าอะไร ถึงขั้นวันถัดมาฟ้าไม่ทันสว่างถูกซวงเถาปลุกให้ตื่นก็ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส กินอาหารเช้า ทั้งยังนัดคุณหนูสวีเข้าไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าเผยด้วยกัน รอจนเดินมาถึงประตูเรือนจึงนึกขึ้นมาได้ว่าคุณหนูสวีและนายหญิงสามสกุลหยางล้วนตัดสินใจแกล้งป่วยไม่ร่วมพิธี
แต่นางยังคงเข้าไปทักทายคุณหนูสวีและนายหญิงสามสกุลหยาง ยามนี้จึงค่อยพยุงมารดาไปหาทางท่านแม่เฒ่าเผย
ท่านแม่เฒ่าเผยตื่นเช้าเช่นกัน ยามที่พวกนางเข้าไป ไม่เพียงท่านแม่เฒ่าอี้และท่านแม่เฒ่าหย่งล้วนอยู่ที่นั่น แต่กระทั่งนายหญิงรองและพวกคุณหนูสกุลเผย พวกนายหญิง หลานสะใภ้บ้านอื่นของสกุลเผยก็ทยอยกันเข้ามาเช่นกัน ท่านแม่เฒ่าอารมณ์ดียิ่ง ยังอุ้มหลานที่ยังไม่ครบปีเล่นอยู่พักใหญ่ รอจนเวลาพอเหมาะพอควรแล้ว จึงค่อยนำทุกคนไปศาลาเทศนาธรรมด้านหลังพระอุโบสถ
กำหนดงานก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนทราบหมดแล้ว จู่ๆ ก็ได้รับกระดาษแสดงที่นั่ง ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
แม้กล่าวว่าสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนล้วนอาศัยตำแหน่งฐานะของตัวเองในการหาที่เหมาะสม แต่ก็มักมีคนที่ต้องการประจบประแจงไปนั่งรวมอยู่ข้างกายผู้อาวุโสที่มีบารมี หากพวกผู้อาวุโสไม่ถึงเกลียดคนนี้ ยังสามารถนั่งคุยเล่นได้
แต่ภาพที่บอกกระทั่งสาวใช้ หญิงรับใช้ของสกุลใดยืนที่ไหน พวกนางยังคงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
นายหญิงและหลานสะใภ้ไม่กี่คนของสกุลเผยเริ่มซุบซิบนินทาขึ้นมา
เผยหม่านที่ไม่ได้นอนทั้งคืนทำได้เพียงวิ่งเหยาะๆ เข้ามาอธิบาย “งานบรรยายธรรมมีเก้าวัน ใครมาใครไม่มาพวกเราล้วนทราบทั้งหมดแล้ว บางเรื่องก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น”
มีเรื่องอะไรที่ต้องจัดการ?
ท่านแม่เฒ่าเผยเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ผู้ที่ดูแลเรื่องเป็นลูกชายของตัวเอง ก็ทำได้เพียงยกยอ “เช่นนี้ก็ดี ทุกคนอย่าได้ชักช้าเลย นั่งลงก่อนเถิด! หากคิดว่าไม่คุ้นเคย รอสักพักค่อยปรับเปลี่ยน”
ทุกคนนั่งลงทั้งรอยยิ้ม
เผยหม่านก็ยิ้มตาม ให้คนเฝ้าทางที่ผ่านไปวิหารตะวันออกอย่างแน่นหนา
ส่วนวิหารตะวันตก วางพวกเก้าอี้โต๊ะตั่งไว้บ้าง เปิดให้ชาวบ้านคหบดีชนบททั่วไปของหลินอันมาฟังการบรรยายธรรม
———————-