ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 241 พาลโกรธ
คุณหนูอู่อยู่ในชุดคลุมสีแดงสดขลิบทอง ปักปิ่นระย้าติดมุกแดง เพริศพริ้งสะดุดตาคน เฉิดฉายเฉกดอกโบตั๋นที่งดงามสูงส่ง ส่วนกู้ซีอยู่ในชุดคลุมผ้าหังโฉวสีเขียวลายบุปผา ประดับด้วยมุกดอกไม้ขนาดเท่าเม็ดบัว รูปร่างอรชร ดั่งปทุมมากลางน้ำ สง่าเยือกเย็น
สองคนยืนเคียงคู่กัน งดงามดั่งแสงยามวสันต์ เหมือนภาพดรุณีที่ออกจากปลายพู่กันของโจวจื่อจิน
เทียบกับอวี้ถังที่นอนอยู่บนเกี้ยวหลังนั้นแล้ว ก็เปรียบดั่งดอกหญ้ากับไข่มุก
แต่อาศัยสิ่งใดพวกนางถึงได้มายืนเฉิดฉายอยู่ตรงนี้?
เผยเยี่ยนกำหมัดแน่น
เล็บมือจิกเข้ากลางฝ่ามือจนเจ็บ
มันทำให้เขาได้สติกลับมา และก็ดึงเขาให้ตกสู่ความกังวลจนแทบจะระเบิดอารมณ์ในทันทีเช่นกัน
สติสัมปชัญญะบอกเขาว่า เวลานี้เขาต้องอดกลั้น แต่ความรู้สึกที่ต้องเผชิญทำให้เขาคิดว่าหากเวลาเช่นนี้ยังต้องข่มกลั้นเอาไว้ แล้วชื่อเสียงอำนาจที่เขาปรารถนาจะมีไว้เพื่อประโยชน์อันใดเล่า?
หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา หนึ่งร้อนหนึ่งเย็น สองอารมณ์กำลังปะทะกันอยู่ในใจเขา เหมือนกับพายุที่บ้าคลั่ง
สีหน้าเขาไม่แสดงออก แต่สายตาที่มองคุณหนูอู่กับกู้ซีนั้นราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ เย็นเยือกจากเบื้องลึก
คุณหนูอู่ถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว ในใจรู้สึกลนลานอย่างไร้สาเหตุ แล้วพาลโกรธไปถึงอวี้ถังด้วย
“เจ้าดูสิ!” นางกระซิบเสียงเบาข้างหูกู้ซี ก่อนจะหมุนตัวกลับไป คล้ายต้องการจะหลบอยู่หลังกู้ซี “ถ้าคุณหนูอวี้ไม่เป็นลม นายท่านสามสกุลเผยคงไม่วิ่งมาถึงที่นี่? ไม่แน่ ผู้อื่นอาจเฝ้ารอโอกาสนี้อยู่ก็ได้?”
เผยเยี่ยนกับอวี้ถัง?!
ไม่มีทาง!
กู้ซีส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงพลันตึงแข็งขึ้นมาทันที “เป็นไปไม่ได้! คุณหนูอวี้มีฐานะเช่นใด? อีกอย่าง นายท่านสามสกุลเผยกับนายท่านอวี้คบหาเฉกคนรุ่นเดียวกัน พวกเขาสองคนต่างอาวุโสกันอยู่!”
คุณหนูอู่คล้ายจะได้รับพลังเพิ่มจากวาจาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น นางเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “คุณหนูกู้ช่างอ่อนประสบการณ์เหลือเกิน คุณหนูอวี้อาจเกิดมาฐานะต่ำต้อย แต่นั่นไม่อาจข่มความงามของคนได้ พวกบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นวิญญูชนเพียงใด ท้ายที่สุดก็ชอบของสวยงามอยู่วันยังค่ำ ไม่อย่างนั้นพวกม้าผอมของหยางโจวจะส่งไปให้ใครเล่า? อาวุโสต่างกันแล้วเป็นอย่างไร? ก็มิได้ใช้นามสกุลเดียวกันเสียหน่อย สกุลเช่นนี้ข้าเห็นมาเยอะแล้ว ขอเพียงได้ดองกับสกุลสูงส่ง อาวุโสจะนับเป็นเรื่องอะไรได้? จารีตความละอายไม่จำเป็นต้องมีหรอก พวกเราคอยดูก็แล้วกัน คุณหนูอวี้ผู้นั้น ไม่มีทางพอใจเพียงแค่ตำแหน่งเพื่อนข้างกายของท่านแม่เฒ่าสกุลเผยแน่!”
ปฏิกิริยาแรกของกู้ซีคือ “ไม่ได้”
ต่อให้สิ่งที่คุณหนูอู่พูดจะเป็นความจริง แต่ให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้!
หากต่อไปนางต้องแต่งให้เผยถง ภรรยาของเผยเยี่ยนก็คืออาสะใภ้ของนาง
หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนี้ใครจะเป็นอาสะใภ้ของนางก็ย่อมได้ ต่อให้เป็นผู้ที่โง่เง่าไร้ใดเปรียบอย่างคุณหนูหกสกุลซ่ง
แต่จะเป็นอวี้ถังไม่ได้!
หญิงสาวคนนี้ไม่เพียงตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางทุกๆ เรื่อง ทั้งไม่ถูกชะตากับนางอีก สองคนอยู่ร่วมกันไม่เคยเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นเลยสักหน
แค่กู้ซีนึกภาพว่าอวี้ถังอาจจะกดข่มอยู่เหนือศีรษะนาง นางก็รู้สึกชาหนึบไปหมดแล้ว
ต่อให้อวี้ถังจะเป็นแค่อนุของเผยเยี่ยนก็ตาม
อวี้ถังก็ยังเป็นคนที่ได้นอนเคียงข้างเผยเยี่ยนอยู่ดี
สิ่งนี้ทำให้นางไม่พอใจอย่างมาก
นางพลันนึกถึงครั้งแรกตอนที่นางได้พบกับเผยเยี่ยน
นางมองคนสองคนจากไกลๆ รู้สึกว่าทั่วร่างของเผยเยี่ยนมีแต่ความอ่อนโยน สูงสง่า ไร้พิษสง นางถึงได้เดินเข้าไปหาเขาอย่างใจกล้า
สุดท้าย พออวี้ถังมาถึง นางก็ได้เห็นเผยเยี่ยนในแบบที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
บัดนี้พอมาได้ยินคุณหนูอู่พูด นางจึงได้ขบคิดอย่างละเอียด ไม่ใช่ว่านางมองคนพลาด แต่เห็นชัดว่าเผยเยี่ยนปฏิบัติต่อคนและเรื่องราวด้วยทัศนคติที่แตกต่างกัน
กู้ซีเริ่มลนลาน คิดว่าไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปเช่นนี้ได้ นางต้องหาทางหยุดมัน!
นางต้องหันหน้าไปหาใครดี?
สมองของนางหมุนแล่นเร็วจี๋ นึกถึงคนที่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ปรากฏตัวในพิธีบรรยายธรรมอย่างนายหญิงใหญ่สกุลเผย
เผยถงเคยบอกกับนางว่า บิดาของเขากับเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงเป็นสหายสนิทกัน ด้วยเหตุนี้เขากับมารดาของตนจึงได้รับความคุ้มครองจากบิดา ท่านอาวาสวัดเจาหมิงปฏิบัติต่อพวกเขาสองพี่น้องรวมถึงนายหญิงใหญ่สกุลเผยต่างจากคนอื่น ไม่เพียงแนะนำอาจารย์อู๋เหนิงให้นายหญิงใหญ่รู้จักด้วยตนเอง อาจารย์อู๋เหนิงยังเห็นแก่ที่บิดาของพวกเขาต้องมาจากไป จึงทำพิธีอุทิศกุศลให้บิดาเขาอีกด้วย
นายหญิงใหญ่สกุลเผยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากวัดเจาหมิง คิดว่าในเวลานี้ต้องช่วยเหลือนางได้แน่
อย่างน้อย ก็ไม่มีทางปล่อยให้อวี้ถังได้สมปรารถนาเป็นอันขาด!
กู้ซีคิดแผนออกอย่างรวดเร็ว นางหัวเราะแล้วเอ่ยกับคุณหนูอู่ว่า “อย่างไรสกุลอวี้กับสกุลเผยก็มีไมตรีต่อกัน เพราะนายหญิงใหญ่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ จึงเป็นเหตุให้ไม่อาจมาร่วมพิธีบรรยายธรรมวันนี้ได้ ทางนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นนางคงยังไม่รู้ ข้าต้องหาใครสักคนไปแจ้งข่าวให้นางทราบ สุดท้ายแล้วจะไปเยี่ยมไข้ด้วยตนเองหรือส่งคนไปเยี่ยมแทน นางจะได้จัดการถูก”
นางแสยะยิ้มในใจ
คุณหนูกู้ไม่ชอบหน้าคุณหนูอวี้จริงๆ ด้วย ทั้งจ้องจะประชันสูงต่ำกับคุณหนูอวี้ไปเสียทุกเรื่อง
ประโยคไร้เจตนาเพียงหนึ่งประโยคกลับทำให้คุณหนูกู้ต้องถูกเปิดโปงจนได้
คุณหนูกู้คิดว่าจะหลอกใช้ประโยชน์จากตนได้ ใครจะคิดว่าแค่คำพูดไม่กี่คำของตนกลับทำให้นางกระโดดลงหลุมพรางทันที
เวลานี้พวกนางยังคงเป็นพันธมิตรต่อกัน หากไม่สามารถแตกหักได้ก็อย่าเพิ่งแตกหักจะดีกว่า
คุณหนูอู่รีบเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถอะ!”
นางใคร่ครวญอยู่ว่าสมควรเดินเข้าไปทักทายเผยเยี่ยนหรือไม่ อย่างไรก็มองเห็นแล้ว หากไม่ทักทายก็จะเสียมารยาท แต่สายตาที่เผยเยี่ยนมองนางช่างเย็นชานัก นางกลัวว่าหากตนเข้าไปตอนนี้มีแต่จะทำให้ตัวเองอับอาย
แน่นอนว่า เมื่อไม่มีกู้ซีอยู่ด้วย ตัวเองจะต้องอับอายก็ไม่เห็นเป็นไร
คิดถึงปีนั้น คุณชายใหญ่สกุลเจียงก็ไม่ชอบพี่สาวของนางเหมือนกัน แต่ท้ายสุด ก็ยังต้องมาสู่ขอพี่สาวของนางด้วยความหลงใหล
ความคิดสว่างวาบแล้วหายไป โอกาสผ่านเข้ามาแล้วสลายวับ
คุณหนูอู่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เผยเยี่ยนก็ยกเท้าแล้วเดินไปทางห้องสงบใจแล้ว
กู้ซีประหลาดใจ ถามคุณหนูอู่อย่างทนข่มไม่ไหวว่า “เจ้าช่วยข้าดูที นายท่านสามสกุลเผยจะเดินไปที่ห้องสงบใจหรือ? ทางนั้นเชื่อมต่อไปยังสถานที่อื่นหรือไม่?”
คุณหนูอู่พลันมีเมฆหมอกปกคลุมเต็มหน้า
มองทิศทางที่เผยเยี่ยนพุ่งหน้าไป เก้าในสิบคงเป็นห้องสงบใจแน่
เขาคิดจะทำอะไร? พิธีบรรยายธรรมใกล้จะเริ่มแล้ว ในวิหารยังมีสหายและแขกเหรื่อจากสกุลใหญ่นั่งอยู่อีกมาก หรือเขาไม่คิดจะสนใจแล้วรึ?
ตั้งแต่เด็กเผยเยี่ยนก็ติดตามบิดาเข้าออกที่วัดเจาหมิงบ่อยๆ หากนับความสัมพันธ์ คนที่สนิทกับเจ้าอาวาสจริงๆ มิใช่เผยโย่วพี่ชายคนโตของเขา แต่เป็นท่านผู้เฒ่าสกุลเผยบิดาของเขาต่างหาก
เขาคุ้นเคยและรู้จักวัดเจาหมิงดีเหมือนกับสวนด้านหลังของจวนตนเอง
เขารู้ว่าจากตรงนี้เดินผ่านป่าไผ่ไป เลี้ยวไปทางทิศตะวันตก ผ่านตรอกแคบๆ สายหนึ่ง ก็จะถึงห้องสงบใจที่อยู่ด้านหลังวิหารแล้ว ทั้งสามารถหลบสายตาของคนในวิหารได้ ทั้งยังหลบผู้คนในวัดได้อีกด้วย
แต่ตอนที่เขาเห็นสายตาหยั่งเชิงของกู้ซีและคุณหนูอู่ เขาก็อดจะเบะปากไม่ได้ แล้วตรงดิ่งไปที่ห้องสงบใจทันที กระทั่งท่าทีเสแสร้งไปยังวิหารยังคร้านจะทำให้เห็น
สองคนนั้นก็แค่สตรีเรือนหลังตัวเล็กๆ หากว่าแค่พวกนางยังทำให้เขากลัว ทำให้เขาต้องระวังตัวและหลบๆ ซ่อนๆ ได้ เขาจะอาศัยสิ่งใดไปควบคุมสกุลเผยที่อยู่มาเป็นร้อยปี อาศัยสิ่งใดมาคุ้มครองทั้งคนแก่และเด็กในสกุลเขา
ในเมื่อพวกนางอยากคิดเหลวไหว เช่นนั้นก็ให้พวกนางคิดเหลวไหวเสียให้พอ ทางที่ดีก็ป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าเขาให้ความสำคัญแก่คุณหนูอวี้เพียงไหน ต่อไปมีเรื่องอะไรจะได้หนีให้ห่างๆ คุณหนูอวี้เสียบ้าง
ทว่าคุณหนูอวี้แต่ไรก็สุขภาพแข็งแรง เหตุใดจู่ๆ นางถึงเป็นลมล้มพับได้?
หรือเพราะถูกเผิงสืออีทำให้ตกใจจริงๆ?
ตอนนั้นนางยังหาญกล้าถึงขั้นไปหาคนมาข่มขู่สหายของบิดาตนเอง มีหรือจะกลัวแค่เผิงสืออีคนหนึ่ง?
เผยเยี่ยนครุ่นคิดอย่างไรก็หาทางออกไม่เจอ เขาก้าวเท้ายาวๆ ไปทางห้องสงบใจ
นายหญิงรองสกุลเผยกับคนสกุลเฉินทางนี้เพิ่งจะจัดที่ทางให้อวี้ถังเสร็จ ยังไม่ทันช่วยอวี้ถังจัดแจงเสื้อผ้า ก็ได้ยินเสียงเผยเยี่ยนตามมาแล้ว
ที่เรียกว่าห้องสงบใจนั้น เพราะเป็นสถานที่ที่ให้ภิกษุชั้นสูงใช้ในการทำสมาธิเพียงลำพัง ห้องสงบใจก็มีแบ่งเป็นเล็กใหญ่ ห้องสงบใจที่อยู่หลังวิหารหลังนี้ ส่วนใหญ่มักจะใช้เป็นห้องเซียงฝางไว้ให้พระอาจารย์ชั้นสูงใช้พักผ่อนชั่วคราวระหว่างที่ถูกเชิญมาเทศนาธรรม ทว่าห้องนี้เล็กมาก นอกจากตั่งไม้ยาวแล้ว ในห้องซ้ายขวามีเก้าอี้พิงหลังตั้งอยู่ฝั่งละตัว ฝั่งหนึ่งวางกรอบกระจกติดกับกะละมังทองแดงเอาไว้ เมื่อเปิดประตูเข้ามา มองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่างในห้องแล้ว
นายหญิงรองสกุลเผยเห็นว่าเช่นนี้ไม่เหมาะสม เตรียมจะสั่งให้หญิงรับใช้ไปยืมฉากกั้นลมมาบังก่อน คาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะเดินเข้ามาทันที
นางรีบลุกขึ้นแล้วยืนบังอวี้ถังเอาไว้ เอ่ยเสียงร้อนใจว่า “ท่านอาสามมาที่นี่ได้อย่างไร? ท่านหมอที่ติดตามมากับสกุลคงใกล้จะถึงแล้ว คุณหนูอวี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย”
เผยเยี่ยนในเวลานี้กำลังร้อนรน สีหน้าหาได้มีอารมณ์ใดแสดงออก เมื่อเห็นนายหญิงรองสกุลเผยกับคนสกุลเฉินที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับเขา ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นหนักแน่นน่าเชื่อถือ โอนอ่อนผ่อนตาม ให้ความรู้สึกน่าพึ่งพาแก่ผู้อื่นทันที
“ไม่เป็นอะไร” เขาคล้ายจะปลอบขวัญคนทั้งสองด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าแค่มาจับชีพจรนางดูเท่านั้น!”
ต่อให้เรือนหลังจะมีระเบียบเข้มงวดเพียงใด แต่มักจะผ่อนปรนให้กับผู้อยู่ใต้ร่มศาสนาและผู้เป็นหมออยู่เสมอ
นายหญิงรองสกุลเผยกับคนสกุลเฉินไม่ได้ติดใจ รีบถอยเพื่อหลบทางให้เขาทันที
เผยเยี่ยนพิจารณาอวี้ถังอย่างละเอียด พบว่าคิ้วนางขมวดแน่น เม็ดเหงื่อผุดทั่ว สีหน้าเจ็บปวด เทียบกับเมื่อครู่แล้ว ยิ่งคล้ายกับลมแดดมากกว่าเก่า
ทว่า การฝันร้ายก็มีอาการเช่นนี้เหมือนกัน!
เผยเยี่ยนไม่ส่งเสียง เขานั่งลงที่ข้างเตียง แล้วจับมืออวี้ถังขึ้นมา สามนิ้วกดลงที่จุดชีพจรของนาง
นายหญิงรองสกุลเผยกับคนสกุลเฉินแทบไม่กล้าหายใจแรงๆ
ชีพจรรัวเร็ว เต้นหยุดไม่เป็นจังหวะ
เห็นชัดๆ ว่าได้รับความแตกตื่น!
เผยเยี่ยนมองอวี้ถังอย่างคาดไม่ถึง เขาสูดหายใจลึก พยายามข่มใจให้นิ่ง แล้วเปลี่ยนไปจับข้อมืออีกข้าง
นายหญิงรองสกุลเผยกับคนสกุลเฉินเห็นแล้วก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มองเผยเยี่ยนอย่างเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ยิ่งไม่กล้าส่งเสียงออกไป
เป็นชีพจรที่รัวเร็วอยู่ดี
สีหน้าของเผยเยี่ยนยิ่งย่ำแย่ขึ้นไปอีก
คนสกุลเฉินทนไม่ไหว เอ่ยเสียงแทบจะร้องไห้เพราะขลาดกลัวว่า “นาย นายท่านสาม บุตรสาวข้าเป็น เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
เผยเยี่ยนมองคนสกุลเฉินที่มีความวิตกอยู่เต็มเปี่ยม ก่อนจะมองไปยังพี่สะใภ้รองที่ดูกระสับกระส่าย รู้สึกว่าอาการป่วยของอวี้ถัง ควรจะรอให้ท่านหมอมาตรวจก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หากว่าชีพจรที่ท่านหมอจับได้เหมือนกันกับเขา…
เช่นนั้นก็ต้องกลบเกลื่อนให้มิด…เพราะการที่ได้รับความแตกตื่นจนเป็นลมหมดสติไป ทั้งทำให้ลำดับพิธีบรรยายธรรมต้องวุ่นวาย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เหล่าสตรีที่อยู่ในวิหารฝั่งตะวันออกพวกนั้นที่ชอบซุบซิบนินทา ก็คงเอาไปพูดต่อได้ยี่สิบสามสิบปีแล้ว
เขาไม่ต้องการให้อวี้ถังกลายเป็นเรื่องสนุกปากหลังเวลาอาหารของผู้อื่น!
เผยเยี่ยนคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเหตุใดอวี้ถังต้องตกใจด้วย เขาเอ่ยว่า “รอให้ท่านหมอมาตรวจแล้วค่อยคุยกันใหม่ดีกว่า!”
คนสกุลเฉินได้ฟัง ก็คิดถึงตลอดหลายปีที่นางล้มป่วยกับคำพูดเหล่านั้นที่ท่านหมอเคยพูดกับอวี้เหวิน
สมองนางมีเสียง ‘วิ้ง’ ทีหนึ่ง ยังไม่ทันได้เปิดปากพูด คนก็เป็นลมไปเสียแล้ว
“นายหญิงอวี้ นายหญิงอวี้!” คราวนี้ต่อให้นายหญิงรองจะเก่งกาจเพียงไรก็เริ่มลนลานบ้างแล้ว รีบตะโกนเรียกหญิงรับใช้ให้เข้ามาช่วยทันที
ทุกคนต่างส่งเสียงพูดไม่หยุด คนหนึ่งบอกให้พานายหญิงอวี้ไปนอนพักข้างคุณหนูอวี้ ทางหนึ่งบอกว่าให้ภิกษุของวัดช่วยยกตั่งยาวเข้ามาให้อีกตัว ในห้องพลันชุลมุนวุ่นวายทันที
เผยเยี่ยนเห็นแล้วสีหน้าก็ดำคล้ำ สั่งด้วยเสียงเฉียบขาดทันทีว่า “ตรงนี้มิใช่อยู่ใกล้ๆ กับที่พักของสกุลอู๋และสกุลเว่ยหรือ? ให้พานายหญิงอวี้ไปส่งไว้ทางนั้นก่อน แล้วเชิญนายหญิงอู๋กับนางหญิงเว่ยมาช่วยดูแลจัดการ รอให้ท่านหมอมาตรวจอาการคุณหนูอวี้เสร็จแล้ว ค่อยให้ตามไปสั่งยาลูกกลอนสงบใจให้นายหญิงอวี้”
นี่นับเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ไม่รู้เพราะเหตุใดคุณหนูอวี้ถึงเป็นลม แต่นายหญิงอวี้นั้นเห็นชัดว่าเป็นลมไปด้วยความวิตก คนหนึ่งไม่รู้ที่มาที่ไป คนหนึ่งรู้สาเหตุชัดเจน ย่อมต้องเป็นห่วงคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของอาการก่อนอยู่แล้ว
———————————————————–