ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 243 คำลวง
ความทรงจำเหล่านั้นพรั่งพรูเข้ามา ทำให้อวี้ถังปวดศีรษะจนแทบระเบิด หัวใจราวกับถูกกระชากขาดแล้วกลับมารวมตัวใหม่อีกครั้ง จนนางต้องกำชายเสื้อเอาไว้แล้วหอบหายใจเบาๆ
สาวใช้สองคนที่ชิงหยวนพามาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเข้ามาดู เห็นว่านางลืมตาขึ้นแล้ว รู้สึกตื่นเต้นดีใจ คนหนึ่งวิ่งออกไปแจ้งข่าวดี ส่วนอีกคนก็ทรุดตัวนั่งที่หน้าเตียงแล้วถามอวี้ถังเสียงนุ่มว่า “ท่านตื่นแล้ว! พูดไหวไหมเจ้าคะ? อยากดื่มน้ำหรือไม่? ท่านหมอมาตรวจอาการไปแล้ว บอกว่าท่านหายใจไม่สะดวกจึงเขียนใบสั่งยาให้ อาหมิงไปหาซื้อยาด้วยตนเอง ตอนนี้เขากับบ่าวอีกสองคนกำลังต้มยาให้ท่านอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
เสียงของนางยังไม่ทันจบดี เผยเยี่ยนที่เพิ่งรู้ข่าวก็ก้าวพรวดๆ เข้ามาแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
สาวใช้คนนั้นรีบถอยงุดๆ ไปอยู่ด้านข้าง
เผยเยี่ยนนั่งลงที่ข้างเตียง คว้ามือนางขึ้นมาเพื่อจับชีพจร
อวี้ถังไม่ได้ส่งเสียง เพียงนั่งมองเผยเยี่ยนอย่างเงียบงัน
นางเพิ่งจะค้นพบว่าโครงหน้าบริเวณใต้คางของเผยเยี่ยนช่างสง่านัก มันคมชัดเป็นสัน เป็นความงามอันหนักแน่น
เผยเยี่ยนที่งดงามเพียงนี้ จะเกี่ยวข้องกับการตายเมื่อชาติก่อนของนางได้อย่างไร?
เพียงแค่อวี้ถังนึกถึงมัน ตนเองก็รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
หากเป็นอวี้ถังเมื่อชาติก่อน ต่อให้เวลานี้ภายในจะถูกบีบเค้นร้อยพันครั้ง นางก็คงได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้
แต่นางคืออวี้ถังที่เคยผ่านความเป็นตาย คนที่เคยทำผิดพลาดมาก่อน
ดังนั้นนางจึงถามเผยเยี่ยนออกไปว่า “ทำไมท่านต้องให้เผิงสืออีมาคารวะท่านแม่เฒ่า? ท่านต้องการจะสานสัมพันธ์นับสหายกับเขาหรือ?”
น้ำเสียงของนางแหบแห้ง ทั้งเจอกระแสกังวล
เผยเยี่ยนพลันรู้สึกหนักอึ้ง
การเป็นลมของอวี้ถังเกี่ยวกับเผิงสืออีจริงๆ
หรือเกิดเรื่องอะไรที่เขายังไม่รู้?
เผยเยี่ยนคิดให้ตายก็คิดไม่ออก ว่าอวี้ถังจะเคยมีบุญคุณความแค้นกับเผิงสืออีมาก่อนได้อย่างไร
เขาตอบกลับว่า “เปล่า เพราะเขาถูกคนทำร้ายจนเสียโฉม แค่คิดว่าเขาเป็นคนน่าสงสาร ต้องโยนความฝันและความทะเยอทะยานของตนทิ้ง ข้าถึงเห็นแก่หน้าเขาสักหลายส่วน”
อวี้ถังพลันเข้าใจอย่างกระจ่าง
เผยเยี่ยนก็คล้ายจะมีความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่เพราะคำสั่งเสียของท่านผู้เฒ่า เขาจึงต้องถูกกักขังให้รับผิดชอบกิจการของสกุล ล้มเลิกเส้นทางสายขุนนาง
หากพิจารณาอย่างละเอียด สถานการณ์ของคนทั้งคู่ก็คล้ายกันอยู่ไม่น้อย
อวี้ถังกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว พยายามยืนยันกับเขาอย่างระมัดระวังว่า “นายท่านสาม ท่านกำลังสงสารเขาอยู่หรือ?”
“ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าเป็นอะไร?” เผยเยี่ยนถลึงตาใส่นาง “เผิงสืออีเป็นคนทะเยอะทะยาน โอหังเลือดเย็น คนประเภทนี้ข้าเคยเจอมามาก จะไปคบค้าเป็นสหายได้อย่างไร”
อวี้ถังถอนหายใจเฮือก พลันเผยรอยยิ้มออกมา
อารมณ์ของนางเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน รอยยิ้มก็เจิดจ้าถึงเพียงนั้น ต่อให้เผยเยี่ยนพยายามมองผ่านเช่นไรก็ไม่สำเร็จ เขาเอ่ยว่า “แล้วเจ้าล่ะ? เจ้ารู้จักเผิงสืออีได้อย่างไร? เขาทำอะไรให้เจ้า?” พูดถึงตรงนี้ เขาพลันนึกไปถึงหลี่ตวน จึงเ อ่ยขึ้นอีกว่า “มิใช่ว่าเรื่องของหลี่ตวนเขาก็มีเอี่ยวด้วยหรอกนะ?”
อวี้ถังชะงักกึก
นางรู้สึกว่าเผยเยี่ยนช่างปราดเปรื่องจริงๆ
แม้จะบอกว่าการตายของเว่ยเสี่ยวซานในชาตินี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเผิงสืออี ทั้งหมดล้วนเป็นความเลวทรามของหลี่ตวนคนเดียว แต่ตอนชาติก่อนเล่า สกุลหลี่ร่วมมือกับสกุลเผิง หลี่ตวนกับเผิงสืออี…
นางสงสัยมาตลอดว่าการตายของนางเมื่อชาติก่อนมีความเกี่ยวพันกับวาจาเหล่านั้นที่นางได้ยินก่อนตาย
แต่ที่น่าเวทนาก็คือ ตอนนั้นนางเห็นหลี่ตวนปรากฏขึ้นในสายตา แต่เพราะตื่นตระหนกเกินไป จึงไม่เข้าใจสักนิดว่าพวกเขากำลังโต้เถียงเรื่องอะไรกัน
อวี้ถังนิ่งเงียบไปพักใหญ่
นางไม่รู้จะบอกกับเผยเยี่ยนอย่างไรดี
เผยเยี่ยนเป็นคนดี ก่อนหน้านี้ก็ช่วยนางเอาไว้มาก นางไม่สมควรโกหกเผยเยี่ยน อีกอย่างตอนนี้เผยเยี่ยนก็กำลังช่วงชิงผลประโยชน์ของสกุลตนกับพวกสกุลเผิงและสกุลซ่งอยู่ หากว่าคำพูดของนางส่งผลต่อการตัดสินใจของเขา ทำให้สกุลเผยต้องเสียเปรียบ ต่อให้นางต้องตกนรกชั้นที่สิบแปดก็ไม่มีทางชดเชยให้ได้
นางได้แต่ใช้สายตาใสซื่อมองไปที่เผยเยี่ยน หวังว่าเผยเยี่ยนจะยอมทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้เหมือนไม่มี เข้าใจผิดไปเสียว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของนาง แล้วเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้
เผยเยี่ยนกลับมิใช่คนที่จะหลอกง่ายปานนั้น
ดวงตาของแม่นางน้อยงดงามมิผิด ลูกตาขาวดำนั่น เหมือนกับดวงดาวในคืนหน้าร้อน แต่ถ้านางไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ออกมาให้ชัดเจน เขาไม่มีทางปล่อยไปแบบนี้แน่
สองคนเจ้ามองตาข้า ข้าจ้องตาเจ้า พลันทำให้ห้องสงบใจเงียบงันไร้เสียง กระทั่งเข็มตกก็คงได้ยิน
เพราะอวี้ถังมีเรื่องในใจ มีหรือจะเอาชนะเผยเยี่ยนที่มีเหตุผลพร้อมจะพูดได้เต็มปากได้?
ใช้เวลาเพียงหนึ่งป้านชา นางก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
นางพลันร้อนรนเหมือนถูกไฟสุม
ทำอย่างไรดีเล่า?
เผยเยี่ยนลอบสูดลมหายใจลึก
หากว่าเด็กสาวไม่ยอมพูด เขาเองก็หมดปัญญาจะทำอะไรได้
แต่จะทำสงครามเย็นไปเรื่อยๆ เช่นนี้หรือ
วิหารทางนั้นยังมีคนเป็นโขยงรอเขาอยู่!
เขามิได้กลัวว่าจะล่วงเกินคนพวกนั้น เขากลัวว่าคนพวกนั้นจะรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ อยู่ดีไม่ว่าดีอวี้ถังอาจถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วย นางอาจถูกผลักไปยืนข้างหน้า กลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
ส่วนที่ว่าทำไมถึงไม่อยากให้คนรู้เรื่องอวี้ถัง เขากลับไม่เคยคิดถึงข้อนี้ จึงไม่เคยได้พิจารณาอย่างจริงจังเสียที
เพียงคิดเอาว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของสตรีในห้องหอ ทางที่ดีก็ไม่ควรออกหน้าให้มากนัก
เผยเยี่ยนจัดระเบียบเวลาที่เหลืออยู่ เพียงรอให้อวี้ถังเปิดปาก
อวี้ถังร้อนรนจนแทบบ้า คิดว่าไม่อย่างนั้นก็โกหกไปเสีย…หางตาพลันเหลือบไปเห็นภาพพระศากยมุนีที่แขวนอยู่บนผนังห้องสงบใจโดยบังเอิญ
สมองของนางพลันสว่างวาบ
ที่แห่งนี้คือวัด ซ้ำนางยังนอนอยู่ในวัดตั้งหลายคืน สามารถอ้างว่ามีคนมาเข้าฝันนางได้นี่นา!
แต่จะให้ใครมาเข้าฝันนางดีล่ะ?
หลู่ซิ่น? ตอนที่เขามีชีวิตนางก็เคยไปขัดขวางเรื่องดีๆ ของเขา หากว่าเขามาเข้าฝัน ก็คงไม่มาเข้าฝันนาง! เว่ยเสี่ยวซาน? ชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด พ่อแม่พี่น้องของเว่ยเสี่ยวซานยังอยู่ครบ เหตุใดต้องมาเข้าฝันนางด้วย? หากเพราะเหตุนี้ทำให้เผยเยี่ยนเข้าใจผิดคิดว่าตนกับเว่ยเสี่ยวซานมีความรู้สึกต่อกัน เช่นนั้นมิใช่ทำให้เรื่องเลวร้ายลงไปอีกรึ?
วิธีนี้ก็ใช้ไม่ได้!
หน้าผากอวี้ถังเริ่มมีเหงื่อผุด
ช่างเถอะ หากต้องสร้างเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง ลากผู้อื่นลงน้ำไปด้วย มิสู้เล่าออกไปให้ธรรมดาที่สุดจะดีกว่า
นางจะบอกว่าตั้งแต่ที่ตนเข้ามาพักในวัด นางก็เอาแต่ฝันร้ายติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว!
อวี้ถังตัดสินใจแน่วแน่
แต่ภายหลังก็วิตกนิดหน่อย
สถานที่แห่งนี้คือวัด เทพสวรรค์และพระพุทธองค์กำลังจับตามองดู นางได้กลับชาติมาเกิดใหม่ เป็นผู้ที่ได้รับความเมตตาจากพระพุทธองค์ หากว่านางพูดโกหก พระพุทธองค์จะลงโทษนางหรือไม่เล่า?
หากว่าลงโทษแค่นางก็ยังพอรับไหว แต่จะลงโทษบิดามารดานาง ลงโทษเผยเยี่ยนด้วยหรือ!
คิดถึงตรงนี้ สายตาของนางพลันทอประกายหวาดหวั่น!
เผยเยี่ยนเห็นเช่นนั้นก็ใจหายวาบ
ดูท่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ!
แล้วเด็กสาวคนนี้ยังทำหน้าเหมือนไม่กล้าบอกเขา
สีหน้าของเขาพลันมีไอเย็นเยียบทิ่มแทง แต่กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้สึก
พออวี้ถังได้เห็น ก็รู้สึกทรมานใจยิ่งนัก
นางทำให้เผยเยี่ยนอารมณ์เสียอีกแล้ว
เช่นนั้น…นางจะยอมบอกออกไปก็ได้!
มิเช่นนั้นก็ขอให้พระพุทธองค์มอบบทลงโทษให้นางแบกรับไว้เพียงคนเดียว
นางจึงไม่ปิดบังต่ออีก สองมือยกประสาน แล้วหันไปไหว้ภาพพระศากยมุนีที่แขวนอยู่บนผนังหลายที ดวงตาสองข้างปิดแน่น แล้วงึมงำเสียงเบาว่า “พระพุทธองค์ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า หากว่าท่านพิโรธ ก็ให้ลงโทษข้าเพียงคนเดียวเถอะเจ้าค่ะ ข้ายินดีแบกรับเคราะห์กรรมทั้งหมด ขอให้ท่านอย่าได้กล่าวโทษผู้อื่นเลย”
เผยเยี่ยนได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู
ต้องขอพรกับพระพุทธองค์เลยรึ?
เขาเม้มปากเบาๆ เดิมคิดจะเสียดสีอวี้ถังสักหลายประโยค แต่เมื่ออวี้ถังพูดจบ ก็ยังพนมมือไหว้ไปทางรูปนั้นอย่างจริงจังอีกหลายที คำพูดที่จ่ออยู่ตรงปากจึงเปลี่ยนไปว่า “เอาล่ะ! หากเจ้ากลัวพระพุทธองค์ลงโทษขนาดนี้ อีกเดี๋ยวข้าจะเตรียมเงินทำบุญให้ ให้พระอาจารย์ที่วัดสวดทำพิธีให้เจ้าด้วย พระพุทธองค์มีเมตตา พระองค์ชื่นชอบเงินทำบุญมาก หากว่าพระองค์ได้รับเงินทำบุญแล้ว ไม่ว่าเคราะห์กรรมใดล้วนแก้ให้เจ้าได้ทั้งสิ้น”
ดูพูดจาเข้าสิ!
อวี้ถังอดจะถลึงตาใส่เผยเยี่ยนไม่ได้
เผยเยี่ยนลอบถอนหายใจยาวเหยียด
นางยังพูดจาเหลวไหลได้ ยังโมโหเป็น เช่นนี้ค่อยทำให้คนวางใจขึ้นหน่อย ไม่เหมือนกับตอนที่สลบไสลอยู่บนเกี้ยว ไม่เหมือนกับตอนที่ขอพรด้วยความหวาดหวั่น ทำให้คนมองอดเป็นห่วงและปวดใจแทนไม่ได้
เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้คงบอกข้าได้แล้วสินะ”
น้ำเสียงราบเรียบนั่น อวี้ถังจับกระแสเย้ยหยันในน้ำเสียงได้
คล้ายว่ากำลังกระเซ้านางอยู่
นางเม้มปากกลั้นยิ้ม
หัวใจที่กระสับกระส่ายพลันสงบขึ้นอีกครั้ง
เผยเยี่ยนช่างดีเหลือเกิน ไม่ว่านางจะทำเรื่องให้ผู้คนแตกตื่นเพียงใด เขาก็ไม่เคยเดินเลี่ยงหนีนาง ทั้งยินดีจะรับฟังนาง ยินดีจะเชื่อนางอย่างไร้ข้อกังขา
แต่ก่อนเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น!
ชั่วขณะนั้นเอง นางตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ต่อไปนางจะไม่เข้าใจเผยเยี่ยนผิดอีกแล้ว จะไม่ฟังสิ่งที่เขาพูด แต่จะดูสิ่งที่เขาทำ มองให้ทะลุเปลือกนอก มองให้ชัดถึงความดีงามและน้ำใจอันประเสริฐที่อยู่ลึกข้างใน
อวี้ถังสูดหายใจเต็มปอด เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกท่าน แต่ข้ากลัวว่าท่านรู้แล้วจะไม่เชื่อข้า”
มีเรื่องเล่าอยู่จริงๆ!
เผยเยี่ยนเลิกคิ้ว รอฟังอย่างตั้งใจ
อวี้ถังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชาติก่อนให้เผยเยี่ยนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ “…ข้าไม่รู้ว่าทำไมถึงไปพักในอารามดับทุกข์ ข้าเห็นหลี่ตวนกับเผิงสืออีทะเลาะกัน แน่นอนว่าตอนนั้นข้าไม่รู้หรอกว่าเขาคือเผิงสืออี ข้าแค่จำรอยแผลเป็นบนหน้าเขาได้ ท่านก็รู้ว่าหลี่ตวนทำอะไรกับสกุลข้าบ้าง พอข้าเห็นรอยแผลเป็นบนหน้าเผิงสืออี จึงมั่นใจว่าเขาย่อมไม่ใช่คนดีอะไรแน่ หลี่ตวนคบหากับคนเช่นนี้ ไม่แน่อาจคิดร้ายต่อสกุลอวี้ก็เป็นได้ ข้าจึงค่อยๆ เข้าไปใกล้ๆ ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ด้านหลังเขา ได้ยินเพียงสิ่งที่เผิงสืออีพูดกับหลี่ตวนว่า ‘เจ้าเห็นแต่คนงามจนขาดสติ หญิงคนนั้นจำเป็นต้องถูกกำจัด ไม่อย่างนั้นจะตอบคำถามกู้เจาหยางได้อย่างไร? นี่เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างหนึ่ง’
สีหน้าของหลี่ตวนแทบดูไม่ได้ ‘ถ้าข้าไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่’
เผิงสืออีบอกว่า ‘ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมทะลุผ่านไม่ได้ หากกู้เจาหยางรู้ว่าพวกเราหลอกเขา เจ้าจะแบกรับผลที่ตามมาคนเดียวหรือไม่? แล้วเจ้าคนเดียวจะแบกรับมันไหวเช่นนั้นหรือ?’
หลี่ตวนตอบกลับว่า ‘ข้าจะรับผิดชอบเอง!’
เผิงสืออีหลุดหัวเราะออกมา ‘หากมิใช่เพราะเจ้ายังกล่อมเมียเจ้าได้ เจ้าคิดว่าตัวเองยังจะมีหน้าไปคุยกับกู้เจาหยางได้อยู่รึ? อย่าเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย!’
พูดจบ เขาก็ผลักหลี่ตวนออก แล้วก็เริ่มตามหาตัวข้า
“…ข้าไม่รู้ต้องทำอย่างไร จึงล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ควักกรรไกรที่ลับจนคบกริบออกมา คิดในใจว่าหรือข้าจะหลบอยู่ตรงนี้ต่อ รอให้หลี่ตวนอยู่เพียงลำพัง ข้าก็ค่อยฆ่าเขา”
เรื่องราวที่ถูกอวี้ถังฝังกลบไว้ในส่วนลึกของใจถูกเล่าออกมาทีละประโยคๆ ด้วยตัวนางเอง นางรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก
นางจึงหยุดพักครู่หนึ่ง
เผยเยี่ยนไม่เพียงเร่งนาง เขาลุกขึ้นยืนแล้วรินน้ำชาส่งให้นางถ้วยหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาปลอบใจนางว่า “มันคือความฝัน!”
นั่นมิใช่ความฝัน!
มันคือเรื่องจริงที่นางประสบมาด้วยตนเอง!
หางตาของอวี้ถังค่อยๆ รื้นชื้น
นางก้มหน้าลง พยายามจัดการกับอารมณ์ของตนเอง
ความร้อนที่แผ่ออกมาจากถ้วยชาค่อยๆ ทำให้นิ้วมือนางสัมผัสถึงไออุ่น
ทำให้สมองที่เครียดตึงของนางผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ
ความคิดของนางกลับมาแล่นฉิวอีกครั้ง สัมปชัญญะไหววูบ ทำไมนางไม่ถือโอกาสนี้เสริมไปอีกสักประโยค แล้วบอกเผยเยี่ยนให้รู้ไปเลยว่าองค์ชายรองคือคนที่จะมาชิงบัลลังก์ของฮ่องเต้เล่า?
———————————————————–