ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 244 ใคร่ครวญ
พอคิดขึ้นได้ อวี้ถังก็ไม่อาจข่มความตื่นเต้นไว้ได้เลย
แต่นางรู้ว่าเผยเยี่ยนเป็นคนที่ฉลาดมาก หากว่านางเผยพิรุธไปแม้แต่นิดเดียว ความลำบากที่นางทุ่มเทไม่เพียงจะสูญเปล่า ทั้งอาจจะทำให้เผยเยี่ยนคิดว่านางเป็นคนเพ้อพก พูดแต่สิ่งเละเทะเหลวไหล ถึงขนาดอาจคิดว่านางทำลงไปเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง
และต้องเสียความเชื่อมั่นของเผยเยี่ยนไป
นั่นเป็นสิ่งที่นางไม่มีทางทนรับได้ไหวแน่
สีหน้าของอวี้ถังในตอนนั้นเผยให้เห็นความทุกข์ร้อนคล้ายกลัวจะเสียบางอย่างไป
เผยเยี่ยนเข้าใจผิดคิดว่าอวี้ถังกลัวตนเองจะคิดว่าสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องเหลวไหล จึงไม่กล้าเล่าต่อ
เขาขบคิดเล็กน้อย แล้วตบหลังมือขาวนวลดั่งหยกมันแพะของนางที่อยู่ใต้ผ้าห่มบางสีเขียวอ่อนเบาๆ เหมือนตอนที่บิดาของเขาเคยทำตอนเขายังเล็ก เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร! บางครั้งข้าก็เคยฝันประหลาดเช่นกัน พอตื่นมาก็มักสับสน แต่นั่นก็คือสิ่งที่ข้าเคยฝันจริงๆ เจ้าเล่าเรื่องที่เจ้าฝันให้ข้าฟังได้ ข้าคิดว่ามันไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าเองก็ไม่ต้องวิตกนัก ข้าไม่เอาไปบอกกับคนอื่นแน่” พูดจบ ยังเอ่ยล้อเล่นกับอวี้ถังเป็นครั้งแรกว่า “เงินทำบุญของเจ้า ข้าจะช่วยบริจาคให้เอง ไม่ต้องคืนข้าด้วย รับประกันว่าพระอาจารย์ทุกรูปในวัดต้องชอบใจแน่”
น่าเสียดายโอกาสน้อยครั้งที่เขาจะพูดล้อเล่น เพราะเรื่องล้อเล่นนี้ช่างสะเปะสะปะไม่เข้าท่า บวกกับเวลานี้อวี้ถังกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ สมองของนางกำลังหมุนแล่น ประเมินว่าจะเล่าเรื่องชาติก่อนให้เขาฟังอย่างไรดี เมื่อได้ยินดังนั้นจึงไม่ทันคิดให้รอบคอบ เพียงหัวเราะใส่เขาแล้วตอบอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “ตอนมาท่านพ่อข้าให้เงินมาเยอะอยู่” ก่อนจะก้มหน้าคิดเรื่องของตนเองต่อไป
เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ชอบใจนัก
แต่ก่อนเด็กสาวคุยกับเขามักจะเบิกตาจนโต ความสนใจทั้งหมดพุ่งมาที่เขา หากเขามีความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนางก็จะรับรู้ได้ทันที แต่ตอนนี้…บางทีอาจเพราะเจอกับเรื่องน่ากลัว จนทำให้ขวัญหายกระมัง
เผยเยี่ยนพอใจกับสมมติฐานของตนเองมาก
ไม่ว่าอย่างไร เด็กสาวก็เป็นเด็กสาววันยังค่ำ ต่อให้ใจกล้าแค่ไหน แต่ก็เป็นเพียงเด็กซุกซนคนหนึ่ง นางจะถูกทำให้ตกใจก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก่อนเขาเคยคิดว่านางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน คงเพราะเขาคิดอะไรง่ายเกินไปหน่อย
เขาตัดสินใจจบการสนทนาครั้งนี้ กลัวว่าถ้ายังคุยกันต่อ จะทำให้เด็กสาวต้องขวัญหายกว่าเก่า
เอ่ยเยี่ยนเอ่ยว่า “ต่อจากนั้นล่ะ? เจ้าก็ตกใจตื่นรึ?”
อวี้ถังคิดว่าเรื่องราวของชาติก่อน ต่อให้ตามกัดไม่ปล่อยอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว นางไม่อาจย้อนกลับไป ทั้งไม่อาจสืบใหัชัดเจน นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลังจากที่นางเกิดใหม่ นางจึงพยายามลืมเรื่องชาติก่อนให้หมด
คนในชาตินี้ไม่อาจแบกรับความผิดในสิ่งที่ชาตินี้ยังไม่เคยกระทำได้
มีบางเรื่องที่นางอยากบอกเผยเยี่ยน ไม่อย่างนั้นเขาคงเข้าใจผิดว่านางเป็นพวกขี้ขลาดใจปลาซิว เพียงฝันเห็นคนทะเลาะกันก็ตกใจจนเป็นลมแล้ว
อวี้ถังส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าตอนหลังทำไมถึงไปชนต้นไม้จนเสียงดังขึ้น พวกเขาจึงพบข้า ข้าคิดว่าต้องพลาดโอกาสครั้งนี้ไปเสียแล้ว และอาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก ข้าไม่ได้หนี แต่คิดจะไปซ่อนตัวที่อื่นแทน ใครจะคิดว่าเผิงสืออีเหมือนจะมองเห็นว่าข้าอยู่ไหน เขาไล่ตามข้ามา แล้วก็ยื่นมือมาบีบคอข้าไว้ ระหว่างที่ข้าดิ้นรน ข้าก็ปักกรรไกรลงบนหน้าท้องของเขา…”
นางได้ยินเสียงร้องตกใจของหลี่ตวน
ความทรงจำสุดท้ายของนางคือตอนที่หลี่ตวนพูดกับเผิงสืออีว่า ‘ทำอย่างไรดี? อารามดับทุกข์เล็กเกินไป หรือไม่ เอานางไปฝั่งที่คฤหาสน์นอกเมืองของสกุลเผย…’
นางไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาได้นำร่างของนางไปฝังที่คฤหาสน์นอกเมืองสกุลเผยจริงหรือไม่? หากว่าร่างของนางถูกพบเข้า จะทำให้คนสกุลเผยเดือดร้อนไปด้วยหรือเปล่า?
เผยเยี่ยนได้ยินก็สูดหายใจเย็นเยียบ
มิน่าเด็กสาวถึงตกใจขวัญหายเพียงนี้
ไม่ว่าใครที่ฝันเห็นเรื่องพิสดารเช่นนี้ก็คงต้องไม่สบายใจแน่ โดยเฉพาะเมื่อกวาดสายตาไปเจอกับคนที่อยู่ในความฝัน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่คิดมาก ไม่แน่อาจนึกว่าเผิงสืออีวิ่งออกมาจากความฝัน แล้วมาตามฆ่านางจริงๆ!
เขาพยายามไตร่ตรอง แล้วเปลี่ยนชาร้อนถ้วยใหม่ให้อวี้ถัง “เจ้าไม่ต้องคิดมาก บางทีอาจเพราะหลายวันนี้รู้สึกแปลกที่แปลกทาง เจ้าเลยหลับไม่สนิท แต่ท่าทางของเผิงสืออีก็น่าตกใจอยู่ เป็นข้าคิดไม่รอบคอบเอง ข้าได้ยินว่าเจ้าพาคนมาด้วยแค่สองคน เอาแบบนี้สิ ข้าจะให้ชิงหยวนคอยรับใช้ข้างกายเจ้าชั่วคราว แล้วให้บ่าวรับใช้สักหลายคนคอยเฝ้าเรือนพักเจ้าเอาไว้ รอให้พิธีบรรยายธรรมวันนี้จบลง ข้าจะให้เผิงสืออีออกจากเมืองหลินอันทันที”
เช่นนี้เจ้ารู้สึกปลอดภัยขึ้นหรือไม่?
เผยเยี่ยนมองไปที่อวี้ถัง
ดวงตาผลเมล็ดซิ่งของอวี้ถังเบิกกว้าง
เพื่อนางแล้ว เขาจะไล่เผิงสืออีออกจากเมืองหลินอันจริงๆ หรือ?
เช่นนั้นสกุลเผิง…
แววตาของเด็กสาวกระจ่างและชัดเจนเกินไป เป็นเหตุให้เผยเยี่ยนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาเอ่ยว่า “แล้วจะทำเช่นไร? จะรั้งตัวให้เขาอยู่ฉลองปีใหม่ที่นี่ด้วยรึ? หากว่าดวงตาเขาพอจะมีแวว เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็คงจะขอจากไปด้วยตนเองแล้ว ข้าให้เขาฟังบทบรรยายธรรมวันนี้จนจบแล้วค่อยกลับ นับว่าเห็นแก่หน้าเขามากแล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก มอบให้เป็นหน้าที่ข้า ข้าจะให้คนไปส่งเขาที่ฝูเจี้ยน ต่อไปก็อย่าคิดมาเหยียบเมืองหลินอันอีก คิดว่าสกุลเผิงจะแตกหักกับข้าเพียงเพราะเผิงสืออีคนเดียวหรือไร?”
อวี้ถังได้ฟังก็ซาบซึ้งอย่างมาก
สกุลเผิงเป็นสกุลใหญ่โตร่ำรวย การไล่ลูกหลานสกุลเผิงที่เคยเข้าร่วมสนามสอบขุนนางออกไป ไม่อนุญาตให้เขาเหยียบเข้าเมืองหลินอันอีก หาใช่เรื่องที่ง่ายดายปานนั้น!
แต่เผยเยี่ยนก็เตรียมตัวจะลงมือทำตามนั้นเพื่อนาง
ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ นางล้วนแต่ซาบซึ้งในน้ำใจของเผยเยี่ยน
นางคิดว่าตนควรจะกล่อมเผยเยี่ยนเสียหน่อย อย่าให้เผิงสืออีเข้าใกล้นางก็พอแล้ว แต่ตอนที่นางกำลังจะอ้าปากพูด ก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ชาติก่อน ราชสำนักประกาศให้แถบเจียงซีกับเจ้อเจียงเปลี่ยนมาปลูกใบหม่อนแทนข้าว
แถบเจียงหนานเดิมก็มีที่ดินน้อยนิด เมื่อเป็นเช่นนี้ราคาข้าวก็ย่อมจะพุ่งสูงขึ้น
สกุลเผยเคยซื้อที่นาผืนใหญ่ทางหูโจวไว้ก่อนแล้ว ภายหลังยังซื้อที่นาอีกผืนแถบเจียงซีเพิ่ม ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะถึงรอบปีเก็บเกี่ยวใด ร้านค้าธัญพืชของสกุลเผยก็มีข้าวส่งมาขายไม่เคยขาด มีครั้งหนึ่งที่ต้องเจอภัยแล้ง แต่สกุลเผยก็ยังคุมราคาข้าวเอาไว้ เพราะเรื่องนี้เอง ทำให้สกุลเผยได้รับรางวัลจากราชสำนัก มอบป้ายแขวนเกียรติศักดิ์ให้สกุลเผยแผ่นหนึ่ง
เพราะเหตุการณ์นี้เอง ทำให้สกุลหลี่คิดจะซื้อที่นาแถบเจียงซีบ้าง
ตอนนั้นสกุลหลี่คิดจะใช้เส้นสายของสกุลเผิง
เพราะสกุลเผิงมีคนรับตำแหน่งผู้ตรวจการอยู่ที่เจียงซีพอดี
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่อี้ยังเคยเขียนจดหมายกลับมาบอกให้หลี่ตวนเร่งมือจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเสีย เพราะคนของสกุลเผิงนั่งตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซีเกือบครบสามปีแล้ว เขาสร้างผลงานอย่างโดดเด่น สกุลเผิงกำลังปูลู่ทางให้เขา อยากให้กลับมารับตำแหน่งผู้ช่วยของกรมหกในเมืองหลวง แล้วหาทางเข้ารับราชการในหอเน่ยเก๋อร์
หลี่ตวนตอนนั้นกำลังเตรียมตัวลงสนามสอบ ไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ จึงไปขอความช่วยเหลือจากหลินเจวี๋ย
หลินเจวี๋ยจึงถือโอกาสนี้ซื้อที่นาให้สกุลหลินบ้าง
หากว่าเผยเยี่ยนต้องล่วงเกินสกุลเผิงเพราะมีนางเป็นต้นเหตุ แล้วที่นาทางเจียงซีกับป้ายแขวนเกียรติศักดิ์ของราชสำนักจะมิถูกกระทบไปด้วยหรือ?!
นางไม่อาจเห็นแก่ตัว
“ไม่ต้องๆ!” อวี้ถังละล่ำละลักปฏิเสธ “ก็แค่ความฝันเท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องล่วงเกินสกุลเผิงก็ได้ พิธีบรรยายธรรมจัดแค่เก้าวัน เผิงสืออีผู้นั้นก็คงออกจากเมืองหลินอันแล้ว หลายวันนี้ข้าก็เลี่ยงๆ เขาหน่อยเป็นใช้ได้ อย่างไรสกุลเผยก็เป็นเจ้าบ้าน คงไม่ดีแน่หากให้สกุลเผิงจากไปด้วยความโมโห”
วาจาเช่นนี้เผยเยี่ยนไม่ชอบฟัง
เขาเหลือบตามองอวี้ถัง “เจ้าคิดว่าข้าจัดการสกุลเผิงไม่ได้รึ?”
แย่แล้ว!แย่แล้ว!
อวี้ถังได้ฟังก็กรีดร้องในใจ
นางลืมนิสัยเย่อหยิ่งของเผยเยี่ยนไปได้อย่างไร
นางไม่เอ่ยชมเขาสักหลายคำ ซ้ำกลับสงสัยในกำลังของเขาอีก เขาต้องรู้สึกเดือดดาลมากเป็นแน่!
“ไม่ใช่แบบนั้น!” อวี้ถังพยายามกู้สถานการณ์อย่างเร่งด่วน “ข้าแค่คิดว่ามันไม่จำเป็น”
พูดแบบนี้ดูเลื่อนลอยเกินไป ไม่น่าว่าจะเกลี้ยกล่อมเผยเยี่ยนสำเร็จ!
อาศัยความเข้าใจที่อวี้ถังมีต่อเขา นางต้องใช้เหตุผลที่มีพลังและไม่ทำร้ายศักดิ์ศรีของเขาด้วย
สมองของนางแล่นอย่างรวดเร็ว “สกุลเผิงมิได้มีคนรับตำแหน่งผู้ตรวจการอยู่เจียงซีหรือ? ข้าคิดว่าหากจะไล่สกุลเผิงออกไป มิสู้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ทำให้คนสกุลเผิงรู้สึกผิด แล้วเต็มใจจะอำนวยความสะดวกเรื่องการค้าให้สกุลเผยแทน แต่ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง จะทำได้จริงหรือไม่ ต้องให้ท่านเป็นคนตัดสินใจ”
เผยเยี่ยนไม่ได้ตอบความ สายตาที่เขาใช้มองนางมีความฉงนสงสัย
หัวใจของอวี้ถังเต้น ‘ตึกตัก’ รัวเร็ว สงสัยว่านางอาจพูดอะไรผิดไป แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น คือนางไม่รู้ตัวเลยว่ามันผิดตรงไหน ได้แต่ทำหน้าหงอยๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า ข้าไม่รู้ว่าพูดถูกต้องหรือไม่?”
สายตาของเผยเยี่ยนยิ่งดูประหลาดใจกว่าเก่า
เขาเอ่ยว่า “ใครบอกเจ้าว่าสกุลเผิงมีคนเป็นผู้ตรวจการอยู่เจียงซี?”
แล้วมิใช่เช่นนั้นรึ?
ชาติก่อนหลี่ตวนก็ใช้เส้นสายของคนผู้นี้นี่นา
อวี้ถังไม่กล้าคิดมาก เริ่มรู้ตัวว่าวาจาของตนมีช่องโหว่รูใหญ่
นางพยายามเค้นสมองด้วยสีหน้าเลิกลั่ก “ข้า ข้าเห็นจากในฝัน ข้าฝันว่าสกุลเผยซื้อที่นาแถวเจียงซีด้วย”
เผยเยี่ยนมองอวี้ถังด้วยความตกตะลึง
เพิ่งสามวันก่อนนี้เอง เขาเพิ่งจะตัดสินใจซื้อที่นาผืนหนึ่งแถบเจียงซี
เพราะราชสำนักเริ่มจะบังคับให้พื้นที่แถบเจียงซูและเจ้อเจียงหันมาปลูกใบหม่อนแทนข้าว
ไม่เหมือนกับหูโจวกับกว่างโจว แถบนั้นมีขุนนางขั้นสามไม่มาก เขาซื้อที่นาแถบนั้น ขอแค่มีเงินก็ซื้อได้แล้ว เจียงซีทางนี้เป็นสกุลผู้เก็บเกี่ยวรายใหญ่ทางตอนเหนือ เดิมก็ชอบอยู่กันเป็นพรรคพวก คาดว่าคงตั้งตัวเพื่อคานอำนาจกับแถบเจียงหนาน หากจะซื้อที่นาแถวนั้นไม่เพียงต้องมีเงิน ยังต้องมีเส้นสายอีกด้วย
ผู้ตรวจการของเจียงซีคนปัจจุบันคือบุตรชายคนโตของจางอิงผู้เป็นอาจารย์เขา มีนามว่าจางเซ่า จางเซ่าเป็นขุนนางอยู่ที่เจียงซีไม่ค่อยจะราบรื่นนัก เขาต้องการจะแสดงอำนาจข่มขุนนางในเจียงซี จึงย้ำกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าให้เขาไปซื้อที่นาแถบเจียงซีให้จงได้
อีกอย่างเจียงซีทางนั้นไม่สามารถผลิตข้าวได้มากเท่ากับหูโจวและกว่างโจว
เจียงซีจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก
เผยเยี่ยนไม่อยากติดค้างน้ำใจจางเซ่า จึงคิดจะใช้เงินสักหลายหมื่นตำลึงเพื่อเอาใจเขา
สกุลเผยมีเพียงเขากับท่านผู้เฒ่าอี้ แล้วก็มีคนจัดการเรื่องราวอย่างชูชิงสามคนเท่านั้นที่รู้เรื่อง
ไม่ว่าอย่างไรอวี้ถังก็ไม่มีทางจะรู้เรื่องนี้ได้เลย
เผยเยี่ยนเป็นคนมีความรู้ เขาไม่เชื่อเรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่วินาทีนี้เอง เขามองเห็นดวงตาที่ยังสุกใสและสีหน้าที่ยังคงพึ่งพาเขาของอวี้ถัง แม้ตนเองจะยังนั่งอยู่ในห้องสงบใจภายในวัด แต่หัวใจกลับไม่อาจสงบลงได้ มีแต่ความคิดเหลวไหลผุดขึ้นมาไม่จบสิ้น
สกุลเผยทุกรุ่นบูชาพระศากยมุนี เงินที่บริจาคให้แทบจะสร้างพระพุทธรูปในวิหารใหญ่ของวัดเจาหมิงได้อยู่แล้ว คงมิใช่ว่าพระพุทธองค์ได้รับความเคารพบูชาจากสกุลเผยมาก เมื่อรับของผู้อื่นมาแล้วพอเจอปัญหาจึงไม่กล้าเอาเรื่อง เพื่อที่จะให้สกุลเผยเคารพบูชาพระองค์ต่อไป จึงได้มาเอ่ยเตือนเขาผ่านความฝันของเด็กสาวกระมัง?
แต่ว่า ผู้ตรวจการเมืองเจียงซีเป็นคนของสกุลเผิงนี่หมายความว่าอย่างไร เขาต้องไปสืบดูให้แน่ชัดแล้ว
ไม่แน่จางเซ่าอาจจะทำอะไรบางอย่างที่เจียงซี เขาอาจจะทำพลาดในเรื่องที่มั่นใจอย่างมากก็เป็นได้
เผยเยี่ยนถามอวี้ถังว่า “ในฝันเจ้ายังเห็นอะไรอีก?”
อวี้ถังถอนหายใจโล่งอก
นางคิดอยู่ตลอดว่าจะลากบทสนทนาเข้าเรื่องนี้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ก็คุยมาถึงประเด็นนี้ได้
อวี้ถังเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ
———————————————————–