ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 245 เชื่อครึ่งหนึ่ง
อวี้ถังเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง “ในฝันข้าเหมือนว่าจะประสบพบเจอกับเรื่องราวมากมาย หลังจากตื่นจากฝัน สิ่งที่จำได้ชัดเจนที่สุดก็คือเรื่องที่เผิงสืออีต้องการฆ่าข้า สกุลหลี่เหมือนเพราะรู้ว่าสกุลเผยซื้อที่ในเจียงซี จึงอาศัยเส้นสายของสกุลเผิง ซื้อที่ในเจียงซีเช่นกัน คนสกุลเผิงที่เป็นผู้ตรวจการเจียงซีผู้นั้น ท้ายที่สุดเพราะองค์ชายรองได้ตำแหน่งฮ่องเต้ ยังได้รับตำแหน่งเจ้ากรมขุนนาง สกุลเผิงจึงเปลี่ยนเป็นเก่งกาจขึ้นมา หลี่ตวนก็ได้เป็นขุนนางเช่นกัน”
สีหน้าของเผยเยี่ยนเปลี่ยนไปไม่น้อย หยัดกายขึ้นผลักบานหน้าต่าง มองซ้ายแลขวา ก่อนจะออกคำสั่งให้ชิงหยวนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกทั้งอาหมิงที่ต้มยาอยู่ใต้ชายคายืนเฝ้าหน้าประตู ยามนี้จึงค่อยกลับมานั่งข้างเตียงอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบา “เจ้าบอกว่า ในฝันของเจ้า องค์ชายรองได้รับตำแหน่งฮ่องเต้?”
อวี้ถังพยักหน้า แสร้งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มี มีอะไรไม่ถูกอย่างนั้นรึ?”
ไม่ถูกอย่างยิ่ง!
ราชสำนักยามนี้ลอบโหมกระหน่ำคลื่น ส่วนมากก็เป็นเรื่องแต่งตั้งองค์ชายใดเป็นองค์รัชทายาท
องค์ชายรองจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีบุตรชาย
คนเหล่านั้นจึงได้เสี่ยงหยิบลูกเกาลัดจากเตาไฟ คิดดันองค์ชายสามขึ้นไป เพื่อช่วงชิงความดีความชอบให้กับตัวเองและวงศ์สกุล
คุณหนูตัวน้อยคงไม่ถึงกับโกหกเขาหรอกกระมัง
แต่เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท…เกี่ยวพันเป็นวงกว้างเกินไป
บางทีคุณหนูตัวน้อยอาจจะไปได้ยินใครพูดมา จึงคิดตามเหตุผลว่าราชสำนักเลือกรัชทายาทก็ควรเลือกจากบุตรที่มีอายุมากกว่า เอาความฝันกับความจริงมาปนมั่วไปหมด ดังนั้นจึงได้พูดเช่นนี้กระมัง?
เผยเยี่ยนมองอวี้ถังที่เผยความงุนงง ทนไม่ได้ จึงกล่าวปลอบใจนางว่า “ไม่มีอะไรผิด” จากนั้นยังเอ่ยถามนางต่ออย่างใจเย็น “เจ้ายังฝันถึงอะไรอีก?”
อวี้ถังไม่กล้าพูดมาก
เพราะเรื่องที่นางกลับมาเกิดใหม่ เรื่องราวข้างกายของนางแตกต่างกับชาติก่อนอย่างมาก แม้ว่านางจะลงโทษหลี่ตวน แต่ก็ยังทำให้เว่ยเสี่ยวซานติดร่างแหเช่นกัน
“ข้าจำได้ส่วนใหญ่ก็เป็นสองเรื่องนี้แหละ” นางเศร้าซึมไปอยู่บ้าง เอ่ยว่า “อาจจะฝันถึงเรื่องอื่นอีก แต่เรื่องที่ข้านึกออกในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีเพียงสองเรื่องนี้”
เผยเยี่ยนถามนาง “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้องค์ชายรองมีเพียงลูกสาวสองคน?”
อวี้ถังในชาติก่อนย่อมรู้ดี
นางไม่เพียงรู้ แต่ยังทราบว่าหลังจากองค์ชายรองถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทไม่นาน ก็ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้คนปัจจุบันยังเคยพระราชทานอภัยโทษให้แก่นักโทษที่กระทำผิดเป็นการกุศล
แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่นางพูดทั้งหมดล้วนเป็นความจริง
และนางก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนทายาทองค์ชายรองเป็นอย่างไรในยามนี้
“ข้าไม่รู้” นางสั่นศีรษะ เอ่ยว่า “ในความทรงจำของข้า เหมือนว่าฮ่องเต้จะประชวร จากนั้นองค์ชายรองก็เฝ้าดูแลปรนนิบัติอย่างตั้งอกตั้งใจ องค์ชายสามกลับวิ่งวุ่นไปทั่ว คนส่วนมากคิดว่าควรแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาท ฮ่องเต้บันดาลโทสะ จึงแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาท”
ฮ่องเต้ยามนี้ร่างกายแข็งแรงอย่างยิ่ง ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วยังทำเรื่องรับผู้หญิงอีกเก้าคน ประทานพื้นที่ในวังให้
ฮ่องเต้จะป่วยได้อย่างไร? องค์ชายสามก็เป็นคนฉลาด แม้ว่าฮ่องเต้ป่วยจริงๆ เขาจะไม่ไปเฝ้าไข้ดูแลได้อย่างไร ไม่ไปให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นคนกตัญญู กลับกระโดดลงไปแก่งแย่งตำแหน่งรัชทายาทอย่างนั้นรึ? ถึงแม้องค์ชายสามจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ขุนนางข้างกายองค์ชายสามพวกนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้เขาทำเรื่องที่โง่เง่าเช่นนั้นออกมาได้หรอก!
เผยเยี่ยนครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าจำได้หรือไม่ว่า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าองค์ชายรองจะได้ตำแหน่งฮ่องเต้?”
แน่นอนว่าเพราะประกาศไปทั่วใต้หล้า ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่
แต่คำพูดนี้อวี้ถังไม่อาจเอ่ยออกมาได้
นางหวนนึกเรื่องในชาติที่แล้วอย่างตั้งใจ สุดท้ายก็สามารถหาวิธีพูดที่มีเหตุผลได้ “ก็เป็นเพราะสกุลเผิง ในฝันของข้า สกุลขุนนางใหญ่ในเจียงหนาน บ้างก็สนับสนุนองค์ชายรอง บ้างก็สนับสนุนองค์ชายสาม แต่หลังจากองค์ชายรองครองบัลลังก์ เขากลับไม่ชอบคนที่เคยสนับสนุนเขา ทั้งไม่ชอบคนที่เคยให้ความสนับสนุนองค์ชายสามเช่นกัน เขาชอบคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ขุนนางที่เป็นผู้ตรวจการเจียงซีของสกุลเผิงคนนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเช่นกัน หลังจากองค์ชายรองเป็นฮ่องเต้ จึงชื่นชอบเขาเป็นพิเศษ ทั้งยังให้เขารับตำแหน่งเสนาบดี สกุลเผิงก็พุ่งพรวดขึ้นมากลายเป็นสกุลที่โดดเด่นที่สุดของฝูเจี้ยน”
“ในฝัน เผิงสืออียังเอ่ยอย่างใจกล้าว่า แม้แผนจะถูกเปิดเผย ก็มีอาของเขาอยู่ ย่อมมีคนคอยช่วยเหลือเขา…”
เผยเยี่ยนตกตะลึง
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กสาวผู้หนึ่งควรจะรู้ได้
ไม่รู้ว่าองค์ชายรองขี้ขลาดตาขาว? หรือว่ากลัวจะถูกฮ่องเต้สงสัย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบไปมาหาสู่กับขุนนางใหญ่ในราชสำนัก โดยเฉพาะคนของสมาคมศึกษา ไม่เพียงเกลียดเพียงคนเดียว แต่ยังไม่ชอบให้คนข้างกายไปยุ่มย่ามกับคนของสมาคมศึกษาด้วย
ก่อนหน้านี้อาจารย์ของเขา ใต้เท้าจางคิดว่าองค์ชายรองไม่อยากตกเข้าไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวก ถูกคนใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ ภายหลังพบว่า องค์ชายรองคิดว่าที่ราชสำนักวุ่นวายในยามนี้เป็นเพราะคนของสมาคมศึกษาเหล่านั้นก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ
เขายังเคยถกเรื่องนี้กับใต้เท้าจาง คิดว่าหากองค์ชายรองได้ตำแหน่งฮ่องเต้ เกรงว่าเรื่องแรกที่จะทำก็คือกดหัวพวกคนของสมาคมศึกษา…
อวี้ถังพูดเช่นนี้ ตรงกับนิสัยขององค์ชายรองพอดี
อย่าพูดเลยว่านางเป็นเพียงเด็กสาวในสกุลธรรมดา แม้ว่าจะเป็นอวี้เหวินที่เคยร่ำเรียนหนังสือจนเป็นซิ่วไฉ ก็ไม่อาจรู้เรื่องความลับเช่นนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าอวี้ถังบังเอิญไปได้ยินที่ไหนมา
ยามนี้เผยเยี่ยนเชื่ออยู่บ้างว่าอวี้ถังเป็นคนที่ฝันถึงเรื่องเหลือเชื่อได้จริงๆ!
นึกได้ว่าสมองของอวี้ถังไม่ได้มีปัญหาอะไร ทั้งไม่ได้พูดเหลวไหล ก้อนหินในใจก็คล้ายถูกวางลง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ความฝัน จะฝันถึงเรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องของราชวงศ์ ภายหลังเจ้าอย่าได้พูดถึงเลยดีกว่า ในเมื่อเป็นความฝัน ตื่นจากฝันก็หายไปแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องสนใจเกินเหตุ ทั้งไม่ต้องพูดกับคนอื่น คนในเรือนจะได้ไม่เป็นกังวล”
ความจริง สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือถูกคนเจตนาร้ายได้ยินเข้า คิดว่านางมีความสามารถคาดเดาอนาคตอะไรได้ จะถูกคนจับจ้อง ใช้ประโยชน์ ทั้งอาจจะถูกทำร้าย
อวี้ถังพยักหน้า
เรื่องสำคัญเช่นนี้ นางย่อมไม่บอกคนอื่น
ข่าวสารที่นางเปิดเผยออกไปล้วนสำคัญอย่างยิ่ง เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ไม่อาจมีใครเชื่อนางได้ในทันที เผยเยี่ยนไม่เห็นนางเป็นคนบ้า ก็นับว่าเชื่อใจนางไม่น้อย เขาเป็นเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว
เรื่องอะไรที่ดำเนินเร็วเกินไปย่อมยากจะบรรลุเป้าหมาย
ขอเพียงแค่การเกิดใหม่ของนางไม่ส่งผลกระทบกับเรื่องอื่น ไม่เร็วก็ช้าเผยเยี่ยนย่อมเชื่อในเรื่องที่นางเปิดเผย
จากความฉลาดหลักแหลมของเผยเยี่ยน ชาติก่อนสกุลเผยสามารถใช้ชีวิตอย่างอยู่รอดปลอดภัย ชาตินี้ก็คงหลบหลีกได้เช่นกัน นางเพียงกังวลว่าในอนาคตเผยเยี่ยนจะใช้ชีวิตอย่างลำบากไปบ้างเท่านั้น
นี่ก็เพียงพอแล้ว
อวี้ถังยิ้มอย่างกระดากอาย “เป็นข้าที่ขี้ขลาดตาขาว จึงได้ตกใจเผิงสืออี”
เผยเยี่ยนเห็นนางใจเย็นแล้ว คล้ายว่าฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อนขึ้นมา ก็รู้สึกสบายใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนดีๆ เถิด ช่วงที่เจ้าหมดสติไป แม่ของเจ้าตกใจยกใหญ่ พี่สะใภ้รองของข้าพานางไปหาพระอาจารย์ทำบุญอธิษฐานให้กับเจ้า เจ้าดื่มยา ก็พักผ่อนเสีย เดี๋ยวแม่เจ้าก็คงย้อนกลับมาแล้ว”
เรื่องที่คนสกุลเฉินเป็นลม เดิมทีเขาก็ไม่กล้าบอกนาง กลัวว่านางจะร้อนใจ เจ็บป่วยขึ้นมาอีก
ยามนี้อวี้ถังจึงค่อยนึกถึงมารดา
นางอดใบหน้าแดงก่ำไม่ได้ ขานรับเสียงเบาว่า “อืม”
เผยเยี่ยนเห็นด้านดื้อรั้นของนางจนชินแล้ว จู่ๆ ก็เห็นด้านที่ว่านอนสอนง่าย คิดว่าแปลกตา จึงอดมองนางไปหลายทีไม่ได้
ผมสีดำขลับเงางาม ผิวขาวเนียนอมชมพู ดวงตากระจ่างวับวาว ริมฝีปากแดงนุ่มนวล…ยิ่งโตก็ยิ่งงามจริงๆ!
คล้ายดอกไม้ตูมในเดือนสาม ไม่เพียงส่งกลิ่นหอมล่องลอย ยังผลิกลีบดอกไม้ให้เบ่งบานอย่างงดงาม
ใจของเผยเยี่ยนเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่ได้เรื่องได้ราว
ชั่วขณะนั้นเขาก็ร้อนที่หู กระแอมไอขึ้นมาสองครั้ง ก่อนจะรีบหยัดกายขึ้นอย่างลนลาน เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถิด ข้าจะไปดูที่ศาลาเทศนาธรรมเสียหน่อย ข้าอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง นายท่านใหญ่สกุลเผิงยังเตรียมจะปรึกษาเรื่องกิจการขนส่งทางน้ำกับข้าในตอนกินข้าวกลางวัน อาหารธัญพืชทางพวกเราน้อยเกินไป ข้าวางแผนจะค้าเกลือ สามารถยืมแรงกลุ่มเรือของสกุลอู่ย่อมดีที่สุด นายท่านใหญ่สกุลเผิงก็มีความประสงค์นี้…”
นี่เผยเยี่ยนกำลังอธิบายเหตุผลที่เขาต้องจากไปในเวลานี้ให้นางฟังอย่างนั้นรึ?
แต่เขาเป็นผู้นำของสกุลเผย อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น มีความจำเป็นต้องอธิบายให้นางฟังด้วยหรือ?
อวี้ถังสงสัยในใจ กลับรู้สึกชอบเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอย่างเลือนราง
หรือเพราะพวกเขามีความลับร่วมกัน จึงเป็นเหตุผลที่เผยเยี่ยนเห็นนางเป็นคนกันเอง?
นางขบคิดในใจ
จู่ๆ ก็คิดว่าสามารถเป็นเช่นนี้ได้ก็ดี
นางเร่งเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านรีบเข้าไปเถิด! ทางข้ายังมีแม่นางชิงหยวนและอาหมิง ทั้งยังมีเด็กรับใช้ที่ท่านส่งเข้ามา ปลอดภัยอย่างยิ่ง”
เผยเยี่ยนครุ่นคิด สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือเผิงสืออี เขาต้องรีบจัดการปัญหาคนผู้นี้ให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นแม้จะส่งคนมาเฝ้าคุณหนูตัวน้อยมากกว่านี้ นางก็คงจะหวาดกลัวอยู่ดี
“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน!” เผยเยี่ยนร้อนใจอยู่บ้าง เอ่ยกับอวี้ถังประมาณว่า ‘ระวังตัวด้วย มีเรื่องอะไรก็ให้คนไปบอกข้า’ ก่อนจะจากไป
อวี้ถังค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงมา อ่อนเปลี้ยเพลียแรงจมอยู่ในตั่งหลัวฮั่น
ชิงหยวนเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ เรียกด้วยเสียงนุ่มนวล “คุณหนูอวี้” ถามนางว่ามีอะไรอยากกำชับหรือไม่
อวี้ถังจะใช้งานสาวใช้ของเผยเยี่ยนได้อย่างไร
ทั้งนางก็ไม่ชินนอนหลับในห้องที่พวกพระอาจารย์ใช้นั่งสมาธิและทำพิธีกรรมเช่นกัน
นางเอ่ยอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว อยากกลับไปพักที่ห้องตัวเอง รบกวนแม่นางชิงหยวนช่วยข้าบอกกล่าวกับท่านแม่ที่อยู่ทางนั้นได้หรือไม่”
ยามที่เผยเยี่ยนจากไป ได้ส่งคนไปดูว่าคนสกุลเฉินฟื้นหรือยัง ไม่มีการตอบกลับมา ชิงหยวนย่อมไม่กล้าบอกอวี้ถัง นางรับปากด้วยรอยยิ้ม ใช้น้ำเสียงแฝงความเจรจาอย่างหนึ่งกับอวี้ถัง “ข้าจะส่งคนไปดูนายหญิงเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ แต่ยาที่อาหมิงต้มใกล้จะเสร็จแล้ว ท่านดื่มยาแล้วค่อยกลับที่พักของท่านดีหรือไม่เจ้าคะ?”
อวี้ถังคิดว่าการจัดการเช่นนี้ดีไม่น้อย จึงผงกศีรษะเอ่ยขอบคุณชิงหยวน
ชิงหยวนได้ฟังก็เอ่ยอย่างนอบน้อม “สกุลอวี้กับสกุลเผยมีไมตรีต่อกัน คุณหนูอวี้ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าเช่นนี้ ท่านเรียกชื่อข้าก็เพียงพอแล้ว ท่านเอาแต่เรียกว่าแม่นาง ทำร้ายข้าเกินไปแล้ว หากถูกท่านแม่เฒ่าได้ยินเข้า ย่อมจะตำหนิที่พวกเราไม่ทำตามกฎระเบียบ”
เกิดใหม่อีกครั้ง อวี้ถังไม่ค่อยชอบพิธีรีตองกับคนอื่นนัก ในเมื่อชิงหยวนพูดเช่นนี้ นางก็ยอมตามน้ำแต่โดยดี เริ่มเรียกชื่อชิงหยวนแทน
ด้านชิงหยวนก็ผ่อนคลายขึ้นมา
นางอยู่รับใช้ข้างกายนายท่านสามมานานขนาดนี้ ยังไม่เคยพบนายท่านสามใจเย็นอดทนกับคุณหนูสกุลใดเช่นนี้มาก่อน รับประกันจากเรื่องที่นางสามารถผ่านการทดสอบอย่างหนักหน่วงจนกลายเป็นสาวใช้ที่มีไหวพริบของเผยเยี่ยนได้ คุณหนูผู้นี้ย่อมเป็นบุคคลที่สำคัญในสายตาของนายท่านสามแน่นอน อย่างไรนางให้ความเคารพหน่อยจะดีที่สุด
อวี้ถังดื่มยา ก่อนจะขอบคุณอาหมิง ด้านชิงหยวนก็มีข่าวของคนสกุลเฉินแล้ว
กล่าวว่าคนสกุลเฉินฟื้นแล้ว รู้ว่าอวี้ถังปลอดภัยก็ดีใจจนน้ำตาไหล สวมรองเท้าเตรียมจะเข้ามา นายหญิงรองใช้เหตุผลเกลี้ยกล่อมว่า “คุณหนูอวี้เห็นสภาพของเจ้าเช่นนี้ย่อมเป็นกังวล” จึงกำลังล้างหน้าผลัดผ้าใหม่ อีกสักพักนายหญิงรองจะเข้ามาเป็นเพื่อนนายหญิงอวี้
————————