ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 246 เกี๊ยว
ชิงหยวนโล่งใจยกใหญ่
แม้นางจะใส่ใจรอบคอบแค่ไหน ก็เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง ย่อมมิอาจสู้คนสกุลเฉินที่เป็นมารดามาคอยอยู่ข้างกาย
รอจนนายหญิงรองประคองคนสกุลเฉินเข้ามา ชิงหยวนก็รีบเข้าไปต้อนรับ
นายหญิงรองแนะนำชิงหยวนให้มารดาของนางรู้จัก “สาวใช้ใหญ่ในห้องนายท่านสาม ตั้งแต่เด็กก็รับใช้ข้างกายนายท่านสาม เคยเรียนหนังสือกับท่านชู คนสนิทของนายท่านสาม เป็นคนที่นายท่านสามขาดไม่ได้”
ให้ความสำคัญชิงหยวนอย่างยิ่ง
คนสกุลเฉินไม่กล้าเพิกเฉย รีบเรียกด้วยรอยยิ้มว่า ‘แม่นาง’ ก่อนจะขอบคุณนางที่ช่วยดูแลอวี้ถัง
ชิงหยวนไม่กล้าลำพองตัว ขานรับคนสกุลเฉินอย่างนอบน้อม พูดไม่กี่ประโยคก่อนจะเล่าเรื่องที่อวี้ถังยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นลมให้นางฟัง
คนสกุลเฉินพยักหน้าเบาๆ
ไม่แปลกใจที่นายหญิงรองจะให้ความสำคัญแม่นางชิงหยวนผู้นี้ เป็นคนที่ฉลาดคล่องแคล่วคนหนึ่งจริงๆ ทั้งคำพูด การกระทำไม่มีจุดบกพร่องแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อนางและนายหญิงรองเข้าไปในห้องสงบจิต ล้วนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดเมื่อครู่
คนสกุลเฉินดึงมืออวี้ถัง มองพินิจนางทั่วร่างอยู่พักใหญ่ เห็นอวี้ถังมีชีวิตชีวา ยามนี้จึงค่อยวางใจ เอ่ยกับนางว่า “เด็กคนนี้ ไม่สบายก็ควรจะบอกกันก่อน ดูเจ้าสิ จู่ๆ ก็เป็นลม อย่าว่าแต่ข้าเลย กระทั่งพวกท่านแม่เฒ่าก็ยังตกใจกับเจ้าไม่น้อย รอเจ้าดีขึ้นแล้ว อย่าลืมไปน้อมทักทายพวกท่านแม่เฒ่าเชียว โดยเฉพาะท่านแม่เฒ่าเผย ตอนที่เจ้าเป็นลม นางยังจับชีพจรให้เจ้า! ยังมีนายหญิงรอง ไปส่งเจ้าที่ห้องสงบใจด้วยตัวเอง”
ส่วนเรื่องของตัวเอง นางตัดสินใจยังไม่บอกอวี้ถัง รอมั่นใจแล้วว่าอวี้ถังไม่เป็นอะไรค่อยบอกอีกครั้ง
ยามนี้อวี้ถังจึงรู้ว่าท่านแม่เฒ่าเผยยังเข้าใจวิชาแพทย์ หลังจากนางเป็นลมนายหญิงรองก็ช่วยเหลือนางเช่นกัน
นางรู้สึกอับอาย
แม้ว่าเพื่อรักษาหน้าของนาง เผยเยี่ยนจะบอกกับคนอื่นว่าร่างกายนางไม่แข็งแรง หายใจไม่เต็มปอดจึงเป็นลม แต่ท่านแม่เฒ่าย่อมรู้ว่านางเป็นลมเพราะความตกใจ
คงจะเป็นดังที่มารดาพูดเช่นนั้น นางต้องไปขอบคุณท่านแม่เฒ่าเสียหน่อย
ยังมีนายหญิงรองอีกผู้
อวี้ถังจึงรีบกล่าวขอบคุณนายหญิงรอง
นายหญิงรองรับการขอบคุณของนางด้วยรอยยิ้มหวาน เห็นว่าทางนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็หยัดกายขึ้นบอกลาสองแม่ลูกสกุลอวี้ “ใกล้จะกลางวันแล้ว ข้ายังต้องไปดูแลพวกท่านแม่เฒ่า คงไม่รบกวนเวลาพักผ่อนพวกเจ้าแล้ว รอเรื่องทางนั้นเสร็จแล้ว ข้าจะมาดูเจ้าอีกครั้ง”
เรื่องที่ถ่วงเวลานายหญิงรอง คนสกุลเฉินและอวี้ถังล้วนรู้สึกลำบากใจ ทั้งสองคนส่งนายหญิงรองออกจากประตูไป
ชิงหยวนถือโอกาสสั่งสาวใช้จัดเก็บข้าวของที่อวี้ถังใช้งานแล้ว ทั้งเรียกคนยกเกี้ยวเข้ามา ส่งอวี้ถังและคนสกุลเฉินกลับที่พักห้องเซียงฝางในวัดเจาหมิงของพวกนาง ก่อนจะตามไปปรนนิบัติดูแลอวี้ถังให้พักผ่อน จัดหาอาหารกลางวัน ยามนี้ซวงเถาที่ถูกส่งไปพบอวี้เหวินได้รับข่าวแล้วจึงเร่งตามมา
คนสกุลเฉินเห็นก็ดึงนางไปข้างนอกประตู มองอวี้ถังที่กำลังพูดคุยกับชิงหยวนอยู่ ยามนี้จึงเอ่ยถามนางเสียงเบา “นายท่านรู้เรื่องที่คุณหนูเป็นลมแล้วหรือยัง?”
ซวงเถาส่ายศีรษะระรัว เอ่ยด้วยหอบหายใจ “ยามที่นายท่าน นายท่านใหญ่และคุณชายใหญ่มาถึงศาลาเทศนาธรรมไม่เห็นนายท่านสาม ยังตั้งใจถามถึง คนของนายท่านสามได้รับการกำชับจากนายท่านสาม จึงบอกเพียงว่านายท่านสามมีธุระ นายท่านรู้ว่าคุณหนูและท่านอยู่กับท่านแม่เฒ่า มีสตรีอยู่เต็มวิหาร เขาไม่อาจเข้าไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่า จึงไหว้วานสาวใช้มาส่งข่าวให้ท่านแทน สาวใช้คนนั้นกล่าวว่าท่านและคุณหนูต้องกินอาหารกลางวันกับท่านแม่เฒ่า ยามเย็นคงต้องว่ากันใหม่ ทั้งพวกนายท่านอู่ก็มาพอดี นายท่านจึงไม่อาจถามต่อ ข้าเห็นว่าข้างกายนายท่านไม่จำเป็นต้องมีข้า จึงย้อนกลับมาวิหารตะวันออกถึงรู้ว่าคุณหนูเป็นลม ถูกส่งกลับมาเจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินได้ฟังก็ท่องว่า ‘อมิตตาพุทธ’ ยังดีที่สกุลเผยรอบคอบ ไม่อย่างนั้นอวี้เหวินรู้ว่าอวี้ถังเป็นลมยังไม่รู้ว่าจะร้อนใจถึงขั้นใด?
คนสกุลเฉินถามว่า “เรื่องกล่องบริจาคราบรื่นหรือไม่?”
“ราบรื่นเจ้าค่ะ!” เมื่อรู้ว่าอวี้ถังไม่สบายเท่านั้น ซวงเถาจึงวางใจ เอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างดีอกดีใจ “ของบริจาคของสกุลพวกเราครั้งนี้เชิดหน้าชูตาอย่างยิ่งเจ้าค่ะ เมื่อยกเข้าไป ก็ต้องตานายท่านสกุลซ่ง ยังตั้งใจให้คนยกเข้าไปให้เขาดูอย่างละเอียด พูดกับนายท่านใหญ่ว่าต้องการสั่งกล่องของสกุลพวกเราเจ้าค่ะ! นายท่านใหญ่ดีใจจนหุบปากไม่ลง กล่าวว่าคุณชายน้อยเกิดวันมงคล กำเนิดมาก็นำพาโชคดีให้กับสกุล ยังพูดอีกว่า อีกเดี๋ยวจะขอเครื่องรางจากพระอาจารย์ให้คุณชายน้อยด้วยเจ้าค่ะ!”
คนสกุลเฉินได้ฟังก็อดยิ้มไม่ได้
พี่ใหญ่ คนที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์เช่นนั้น เห็นหลานชายก็คล้ายกับใจหลอมละลาย ไม่ว่าเรื่องดีอะไรก็ล้วนโยงไปหาหลานชายทั้งนั้น
ดีที่เด็กยังเล็ก กลัวว่าจะได้รับความตกใจ จึงทิ้งให้พี่สะใภ้ใหญ่และคนสกุลเซียงดูแลเด็กอยู่ที่เรือน ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ก็คงอุ้มเด็กมาถึงงานบรรยายธรรมด้วยแล้ว
ซวงเถาพูดมาถึงตรงนี้ ก็คิดอย่างว่องไว เอ่ยว่า “นายหญิงยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่เจ้าคะ? หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าอยากไปดูคุณหนูสักหน่อยเจ้าค่ะ”
นางเป็นห่วงอวี้ถัง คนสกุลเฉินเอาแต่ดีใจ ย่อมไม่รั้งนาง “ไปเถิด! ชิงหยวนจะดีอย่างไรก็เป็นคนของนายท่านสาม เจ้าไปช่วยเหลือเสียหน่อยก็เพียงพอแล้ว”
ซวงเถาจึงไปหาอวี้ถังอย่างเบิกบานใจ ยังเอ่ยกับอวี้ถังว่า “ท่านไม่อยู่น่าเสียดายจริงๆ หลังจากคุณหนูกู้รู้ว่างานบรรยายธรรมไม่ให้แต่ละสกุลเข้าไปถวายของบริจาคเพียงลำพังอีกแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนทันทีเจ้าค่ะ ลำพังคุณหนูอู่ที่เป็นคนตรงไปตรงมายังถามคุณหนูกู้ว่าเป็นอะไร!”
อวี้ถังรู้ว่าเผยเยี่ยนพูดแล้วก็ย่อมทำได้ ไม่กังวลเรื่องของบริจาคแต่อย่างใด สิ่งที่นางกังวลกว่าคือธูปหอมของอารามดับทุกข์
ซวงเถานั้นตื่นเต้นจนตาเป็นประกาย เอ่ยว่า “ยังต้องพูดอีกหรือเจ้าคะ ย่อมเหมือนกับกล่องบริจาคของพวกเรา โดดเด่นขึ้นมาเช่นกัน โดยเฉพาะธูปที่เป็นกลิ่นจันทน์หอม ไม่ใช่จันทน์หอมกลับมีกลิ่นเหมือนจันทน์หอม ทุกคนต่างก็สืบหาว่าอารามดับทุกข์อยู่ที่ไหน? ไฉนจึงทำธูปที่มีกลิ่นหอมเช่นนี้ออกมาได้? ยามนั้นก็มีนายหญิงผู้ดูแลเรือนของสกุลคหบดีชนบทเรียกคนของอารามดับทุกข์เข้าไป ถามว่าในวัดมีธูปหอมประเภทไหนบ้าง แต่ละประเภทขายเท่าใด ในความเห็นของข้า ธูปหอมของอารามดับทุกข์ต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน ความทุ่มเทของคุณหนูย่อมไม่เสียเปล่าเจ้าค่ะ”
อวี้ถังพยักหน้า คิดว่าหากกู้ซีรู้ว่าธูปหอมนี้นางได้มาจากไหนก็คงจะดี
น่าเสียดายที่ชั่วชีวิตนี้กู้ซีคงไม่อาจรู้ได้
ซวงเถาเอ่ยถามเรื่องที่อวี้ถังเป็นลม “ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
“มีนายท่านสาม ข้าจะเป็นอะไรได้?” ขณะที่อวี้ถังพูด นายหญิงอู๋และนายหญิงเว่ยก็ตามมาสมทบ
คนสกุลเฉินเข้าไปต้อนรับด้วยตัวเอง
นายหญิงอู๋ดึงคนสกุลเฉินมาพินิจ เอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้าไม่สบาย? เป็นอย่างไรบ้าง? หมอตรวจดูแล้วหรือยัง? ข้าและนายหญิงเว่ยกลับมากินข้าวกลางวันที่ห้องเซียงฝางจึงได้ยินเรื่องที่เจ้าเป็นลม ข้าตำหนิพวกหญิงรับใช้ที่รั้งตัวอยู่ไปชุดใหญ่ เรื่องใหญ่เช่นนี้ กลับไม่มีใครมาบอกข้าสักคน”
นายหญิงเว่ยพยักหน้าอยู่ด้านข้าง
คนสกุลเฉินเร่งเอ่ยว่า “ข้าเป็นคนกำชับพวกนางเอง พวกเจ้ามางานบรรยายธรรมก็ลำบากมากแล้ว ไม่ควรมาเป็นทุกข์เพราะเรื่องของข้า อีกอย่าง ข้าก็แค่หายใจไม่เต็มปอดเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด จึงไม่ได้บอกกล่าวกับพวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็มาดูได้ ไม่ใช่ว่ายามนี้ข้าก็สบายดีหรอกรึ?”
นางไม่อยากให้ลูกสาวกลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่อาจหาข้ออ้างได้ จึงใช้สาเหตุการป่วยของอวี้ถังมาอ้างแทน
นายหญิงเว่ยและนายหญิงอู๋ไม่สงสัยนาง เห็นว่าสีหน้าของคนสกุลเฉินมีเลือดฝาด ไม่เหมือนเจ็บป่วยอันใด จึงค่อยวางใจลง
คนสกุลเฉินขอบคุณความปรารถนาดีของนายหญิงอู๋และนายหญิงเว่ย นึกถึงหญิงรับใช้ของทั้งสองสกุลที่เฝ้าหน้าห้องเซียงฝาง หลังจากนางไปก็พยายามดูแลเอาใจใส่ ทราบว่าเพราะที่พักไม่ค่อยสะดวกสบาย อาหารกลางวันของพวกนางจึงเป็นเพียงเสบียงแห้งของแต่ละสกุลเท่านั้น จึงเชิญพวกนางกินข้าวกลางวันด้วยกันอย่างจริงใจ
นายหญิงเว่ยและนายหญิงอู๋ตระหนักว่าช่วงสายล้วนมีแต่เรื่องบริจาคสิ่งของ ช่วงบ่ายพระอาจารย์คงจะบรรยายธรรมอย่างเป็นทางการ ทั้งสองคนต่างก็ไม่อยากพลาดในการฟังพระชั้นสูงบรรยายธรรมในครั้งนี้ ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ไม่ได้เกรงใจคนสกุลเฉิน ตัดสินใจรั้งตัวกินข้าวด้วยกัน
ชิงหยวนเรียกคนมาส่งอาหารจำนวนหนึ่งทันที
ยามที่ทั้งสองคนนั่งลงจึงพบว่าบนโต๊ะมีอาหารจัดวางเต็มไปหมด ทั้งยังเป็นอาหารเจขึ้นชื่อของวัดเจาหมิง
นายหญิงอู๋และนายหญิงเว่ยต่างก็ตกใจ โดยเฉพาะนายหญิงอู๋ ยังชี้ไปที่เกี๊ยวขนาดเท่ากำปั้นผู้ชาย เอ่ยว่า “ยังคงเป็นเมื่อสามปีก่อนที่ข้าเคยกินเกี๊ยวเจ ยามที่มาวัดเจาหมิง เกี๊ยวเจของวัดเจาหมิงนับวันก็ยิ่งหากินได้ยาก”
เกี๊ยวเจของวัดเจาหมิง ทำมาจากเต้าหู้ ทั้งเป็นผักกวางตุ้ง และหัวไชเท้าที่พวกอาจารย์วัดเจาหมิงเพาะปลูกด้วยตัวเอง และด้วยเหตุที่วัดเจาหมิงมีแหล่งน้ำแร่ที่มีชื่อเสียง เต้าหู้ที่ทำออกมาจึงมีความละเอียดอ่อนหอมเนียนกว่าผู้อื่น ที่อื่นหาซื้อไม่ได้ เกี๊ยวเจนี้จึงอร่อยอย่างยิ่ง ทั้งคนในวัดเจาหมิงก็มีไม่มาก เต้าหู้ที่ทำออกมาจึงมีจำนวนจำกัด เต้าหู้ที่นำมาห่อเกี๊ยวก็น้อยตาม เนื่องจากนับวันผู้ศรัทธาของวัดเจาหมิงก็มากขึ้นเรื่อยๆ เกี๊ยวเจจึงเลื่องชื่ออย่างยิ่ง คนที่มาซื้อเกี๊ยวก็เพิ่มขึ้นทุกวัน เกี๊ยวเจนี้จึงมาถึงขั้นที่หายากนานแล้ว มักจะมีบางคนถึงกระทั่งตื่นกลางดึกเพื่อวิ่งมาซื้อเกี๊ยวที่วัดเจาหมิง
นายหญิงเว่ยได้ยินก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากลับเพิ่งเคยกินเมื่อปีที่แล้ว วานคนให้ช่วยซื้อให้ ค่าเสียเวลาก็ปาไปสองตำลึงแล้ว คำนวณดู เกี๊ยวหนึ่งอันก็ราคาประมาณห้าสิบเหรียญอีแปะ”
นายหญิงอู๋ตกใจยกใหญ่
นายหญิงเว่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ใช่ว่าลูกสะใภ้ของเจ้าสี่ตั้งท้องหรอกรึ? นางกินอะไรก็อาเจียนออกมา ข้าอับจนหนทาง ไม่อย่างนั้น แม้จะมีเงินเท่าใดก็ไม่อาจเอาออกมาใช้เช่นนี้หรอก!”
นายหญิงอู๋หัวเราะเสียงดัง เอ่ยถามนายหญิงเว่ยว่าหาใครมาซื้อเกี๊ยวให้ “ไม่แน่ว่าวันหนึ่งข้าอาจจะวานให้คนช่วยซื้อเกี๊ยวมาให้เช่นกัน”
นายหญิงเว่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็สองพี่น้องสกุลชวีของตำบลป่านเฉียว! พวกเขาทำเรื่องได้น่าไว้ใจ จึงแพงไปอยู่บ้าง”
อวี้ถังตกใจอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่าสองพี่น้องสกุลชวีจะทำการค้าแทบทุกอย่าง กระทั่งงานเข้าแถวซื้อเกี๊ยวให้คนอื่นก็ไม่ปล่อยไป
คนสกุลเฉินเห็นเกี๊ยวจานใหญ่นั้น เดิมทีคนหนึ่งกินหนึ่งชิ้นก็แทบไม่หมด คิดว่าควรเหลือให้พวกเขาเอากลับไปที่ห้องเซียงฝางของตัวเองให้พวกนายท่านเว่ย เว่ยเสี่ยวชวนและนายท่านอู๋ นางจึงให้คนนำเกี๊ยวที่เหลือไปห่อ ให้นายหญิงเว่ยและนายหญิงอู๋ที่กินข้าวกลางวันเสร็จแล้วนำไปให้พวกนายท่านอู๋กิน “ในเมื่อหายาก ทุกคนก็ชิมกันให้หมดเถิด”
หากเป็นของอย่างอื่น นายหญิงอู๋และนายหญิงเว่ยคงจะปฏิเสธ ตระหนักว่าเกี๊ยวนี้เป็นของวัดเจาหมิง มาวัดเจาหมิงกินเสียหน่อยก็นับว่าเป็นเรื่องมงคลเช่นกัน จึงไม่คิดปฏิเสธ ขอบคุณคนสกุลเฉินอย่างใจกว้าง ก่อนจะนำเกี๊ยวกลับไปที่พักของพวกนาง ยามที่ไปยังเอ่ยกับคนสกุลเฉินว่า “เจ้าพักผ่อนดีๆ ตอนเย็นพวกเราจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
คนสกุลเฉินส่งทั้งสองคนออกไปด้วยรอยยิ้ม
นายหญิงรองที่กินข้าวกลางวันเสร็จกลับเข้ามา
คนสกุลเฉินเห็นหน้าผากนางชื้นเหงื่อ จึงรู้สึกผิดในใจอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “ทางพวกเรา ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย อาถังกินยาแล้ว หมอก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ให้ท่านเทียวไปเทียวมาเช่นนี้ พวกเราจะไม่ลำบากใจได้อย่างไรกัน”
นายหญิงรองมอบกล่องไม้เล็กๆ กล่องหนึ่งให้คนสกุลเฉิน เอ่ยว่า “ข้าได้รับการไหว้วานจากท่านแม่เฒ่าให้มาส่งยา”
คนสกุลเฉินชะงักไป คล้อยหลังขอบตาก็รื้นชื้นขึ้นมา
————————-