ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 247 ยา
ท่านแม่เฒ่าเผยให้คนส่งยาเหรินเซินกุยผี[1]เข้ามา เพื่อใช้ช่วยบำรุงร่างกายผ่อนคลายจิตใจ
บรรจุใส่ในกล่องไม้เอาไว้
แม้ว่าจะเป็นคนที่กินเป็นประจำ หากไม่เปิดออกมาดม ก็คงไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร
นายหญิงรองไม่รู้ นับประสาอะไรกับคนสกุลเฉิน
คนสกุลเฉินรับยามา นายหญิงรองถามอาการของอวี้ถังอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหาอะไร ออกไปสูดอากาศเสียหน่อยก็ดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังเชิญหมอมา ยาก็กินไปแล้ว” ขณะที่คนสกุลเฉินพูด คุณหนูสวีและนายหญิงสามสกุลหยางก็เข้ามา
ทั้งสองคนทราบข่าวตอนกลางวัน รอจนกินข้าวเสร็จแล้วจึงเข้ามา
สาวใช้ข้างกายยังยกพวกหยูกยามาด้วย
คนสกุลเฉินย่อมซาบซึ้งอย่างยิ่ง รีบเข้าไปต้อนรับทั้งสองคน
คุณหนูสวีเห็นนายหญิงสามสกุลหยางและคนสกุลเฉินไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน จึงไปเยี่ยมเยียนอวี้ถังในห้อง
อวี้ถังย่อมอายที่จะบอกว่าตัวเองได้รับความตกใจ กระอึกกระอักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยบอกเรื่องราวออกไป
คุณหนูสวีย่อมไม่คิดอะไรมาก…ไข้แดดจะว่าเป็นเรื่องเล็กก็เล็กจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ขอเพียงแค่คนสามารถฟื้นขึ้นมา พักรักษาตัวไม่กี่วันก็ย่อมไม่เป็นอะไรแล้ว
นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ประจวบเหมาะ เจ้าจะได้พักในห้องกับพวกเราด้วย ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างแล้ว งานบรรยายธรรม ใครอยากออกหน้าออกตาก็ปล่อยไป พวกเรารองานบรรยายธรรมเสร็จสิ้น ก็ไปเที่ยวเล่นเมืองหังโจวด้วยกัน”
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่รีบไปไหวอันแล้วรึ?”
คุณหนูสวียู่ปาก เอ่ยว่า “หลังจากเกิดเรื่องข้าก็มาคิดดู รู้สึกว่าบางทีพวกเราอาจทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เอง แต่ว่า จะไปเที่ยวหังโจวได้หรือไม่ นั่นก็ต้องรอพี่รองอินส่งจดหมายมาว่าอย่างไร แต่ข้าอยากเที่ยวที่หังโจวให้นานหน่อย” พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตานางก็เป็นประกาย “ไม่อย่างนั้น ข้าไปส่งเจ้าไปหาหมอที่หังโจวดีหรือไม่? เป็นลมก็ไม่ใช่ว่าเพราะไข้แดดอย่างเดียว อาจจะหายใจไม่คล่องคอ ปวดหัว ล้วนสามารถเป็นลมได้ทั้งนั้น อย่างไรไปตรวจดูที่หังโจวอีกครั้งเพื่อความปลอดภัยดีกว่า”
อวี้ถังแทบจะบิดจมูกนาง ยังเอ่ยว่า “ข้าว่าพวกเราไปส่งเจ้าหาหมอที่หังโจวจะดีกว่า! ทั้งต้องส่งจดหมายให้คุณชายอินที่เมืองหลวงว่าเจ้าไม่สบาย เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่?”
อินหมิงหย่วนผู้นั้นคงจะวิ่งโร่มาเจียงหนานอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!
อาศัยแค่ร่างกายบอบบางนั้นของเขา เดินมาครึ่งทางก็คงหมดเรี่ยวแรงแล้ว!
คุณหนูสวีส่งยิ้มให้อวี้ถังอย่างเคอะเขิน เอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราก็อยู่ในห้องพูดคุย ดูภาพวาดกันก็พอแล้ว”
นี่ค่อยใช้ได้หน่อย!
อวี้ถังพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม
นายหญิงสามสกุลหยางส่งคนมาเรียกคุณหนูสวี กล่าวว่าอาการอวี้ถังเพิ่งจะดีขึ้น ให้อวี้ถังพักผ่อนให้ดีก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมอวี้ถังใหม่
อวี้ถังก็อยากขบคิดอย่างละเอียดว่าคำพูดพวกนั้นที่เอ่ยกับเผยเยี่ยนมีช่องโหว่ตรงไหนหรือไม่ จำเป็นต้องกล่าวเสริมอีกไหม ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้รั้งตัวคุณหนูสวี ให้ซวงเถาส่งนางออกจากประตู
ช่วงเวลานั้นทางอวี้ถังก็คึกคักขึ้นมา
พวกท่านแม่เฒ่าสกุลเผย สกุลซ่ง สกุลอู่ต่างก็ส่งคนมาเยี่ยมเยียนอวี้ถัง
อวี้ถังได้รับความตกใจ ไม่มีกำลังวังชาอยู่บ้าง หน้าที่ต้อนรับจึงมอบให้คนสกุลเฉิน ส่วนนางหลบอยู่ในห้องเซียงฝาง นอนหลับพักผ่อนด้วยความสบาย
—
ด้านกู้ซีนั้นเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของอวี้ถังอยู่ตลอด
หลังจากเผยเยี่ยนเข้าไปห้องสงบใจ เกือบจะกลางวันค่อยปรากฏตัวที่ศาลาเทศนาธรรมอีกครั้ง
คล้อยหลังนายหญิงรองก็กลับมา กล่าวกับทุกคนว่าอวี้ถังไม่เป็นอะไร
กู้ซีสงสัยว่าเผยเยี่ยนจะเฝ้าอวี้ถังช่วงที่นางหมดสติอยู่ตลอดเวลา
ไม่อย่างนั้นจะอธิบายเรื่องที่เผยเยี่ยนไม่อยู่ในงานได้อย่างไร?
ทั้งพิธีบริจาคก่อนงานบรรยายธรรม
ก่อนหน้านี้สกุลเผยเคยบอกนางว่า สตรีในเรือนไม่เปิดเผยหน้า แม้ว่านางจะเสียดายที่ตัวเองไม่อาจออกหน้าออกตาได้อยู่บ้าง แต่ก็สามารถเข้าใจวิธีการของสกุลเผย แค่ไม่สบายใจอยู่หลายวันเท่านั้น รอยามที่ในพิธีบริจาคขานฐานะของนาง คิดว่าชื่อสกุลของนางคงจะสลักลึกบนป้ายหินนับร้อยปี นางยังคงดีใจไม่น้อย แต่ยามที่นางพบว่าผู้ที่รับผิดชอบพิธีบริจาคเป็นเผยเซวียนนายท่านรอง ได้ยินคนด้านนอกฉากกั้นลมซุบซิบว่าเผยเยี่ยนไปไหน ชั่วขณะนั้นในใจของนางก็คล้ายกลืนแมลงวัน ยากจะรับได้อย่างยิ่ง
คาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะไม่อยู่!
สกุลเผยเป็นสกุลที่โดดเด่นที่สุดในหลินอัน ทั้งเผยเยี่ยนยังเป็นผู้นำของสกุลเผย ไม่มีเรื่องอะไรจะสำคัญไปกว่านี้แล้ว คาดไม่ถึงว่าเพราะอวี้ถังผู้นั้น เขาถึงกับต้องหายไปจากพิธีบริจาคของงานบรรยายธรรม!
กู้ซีคิดว่าไม่ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาพูด เผยเยี่ยนล้วนไม่อาจให้ความสำคัญอวี้ถังเช่นนี้ได้ แต่สัญชาตญาณของนางกลับบอกนางว่า เผยเยี่ยนนั้นเฝ้าอยู่ข้างกายอวี้ถัง
ความดีใจที่ชื่อสกุลถูกสลักบนหินล้วนหลุดลอยหายไป
สีหน้าของกู้ซีเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ
ไฉนถึงเป็นเช่นนี้?
นางไม่ยอม
นางนึกถึงใบหน้าของอวี้ถังยามไร้รอยยิ้มยังเผยความงดงามอ่อนโยน ยามที่ยิ้มกลับยิ่งเบ่งบานราวกับดอกไม้
หรือเพราะสาเหตุนี้?
เผยเยี่ยนจึงได้เหลาะแหละเช่นนี้?
เช่นนั้นไม่ใช่ว่าคุณหนูอู่ก็มีโอกาสหรอกรึ?
กู้ซียิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้ได้
นางเอ่ยถามเหอเซียงเสียงเบา “ทางนายหญิงใหญ่มีข่าวอะไรบ้าง?”
เหอเซียงส่ายศีรษะอย่างเงียบๆ “ไม่มีคนเข้าออกเจ้าค่ะ”
นั่นก็หมายความว่าไม่วางแผนจะยุ่งเรื่องนี้!
กู้ซีผิดหวังอย่างยิ่ง
ยามที่กินข้าวกลางวัน นางและพวกคุณหนูอู่ก็นั่งด้วยกัน จงใจเอ่ยถึงเรื่องอวี้ถังโดยเฉพาะ “พวกเราต้องไปเยี่ยมนางหรือไม่?”
คุณหนูหกสกุลซ่งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไม่ใช่ว่าส่งคนไปเยี่ยมแล้วหรอกรึ?”
หรือยังต้องให้พวกนางไปเยี่ยมคุณหนูอวี้ด้วยตัวเองอีก? คุณหนูอวี้มีหน้ามีตาขนาดนั้น?
หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงไม่ได้กล่าวอันใด ครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจเช่นกัน เพียงแค่นางยังไม่ได้ส่งคนไปเยี่ยมอวี้ถัง แต่ส่งคนไปถามนายท่านใหญ่สกุลเผิงและเผิงสืออีแทน นายท่านสกุลเผิงคิดว่า มองเป็นความสัมพันธ์ไปมาหาสู่กันปกติก็เพียงพอแล้ว ด้านเผิงสืออีคิดมากกว่านั้น เขาให้คนตอบกลับหลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงว่า “อาจจะตกใจข้า” ทั้งยังกล่าวว่า “คุณหนูผู้นี้ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือสกุลเผยมีท่าทีอย่างไรต่อนาง หากสกุลเผยให้ความสำคัญนาง ข้าก็จะไปขอโทษสกุลเผย เจ้าก็เข้าไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเองเสียหน่อย”
หากไม่มีความสำคัญพอ เป็นลมก็ปล่อยเป็นลมไป
หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงเข้าใจความนัย กินอาหารกลางวันอย่างใจเย็นแล้ว ก็รอเพียงข่าวจากเผิงสืออี
—
ด้านเผยเยี่ยนตัดสินใจไม่ได้อยู่บ้างว่าควรจะจัดการเผิงสืออียามนี้ หรือว่ารอนกพิราบที่เขาส่งไปเมืองหลวงมีการตอบกลับมาค่อยจัดการเขา
อวี้ถังกล่าวว่าสกุลเผิงมีคนรับตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซี ทั้งสกุลเผิงยามนี้ผู้ที่สามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการเจียงซีได้ก็มีแต่นายท่านเจ็ดสกุลเผิง เผิงอวี่ สกุลจางเป็นคนเมืองหลวง ทั้งยังมีกิจการมาหลายชั่วอายุคน เรียกได้ว่าเป็นงูเจ้าถิ่นของเมืองหลวง หากเผิงอวี่ตั้งใจงัดข้อจางเซ่าเป็นผู้ตรวจการเจียงซี สกุลจางย่อมไม่อาจไร้ความเคลื่อนไหว อย่างมากก็คงเพราะชะล่าใจ ไม่เห็นเผิงอวี่อยู่ในสายตา ทำให้เรือล่มในคลองระบายน้ำ[2]
เรื่องนี้เขาไม่รู้ว่าตกลงสกุลจางวางแผนจะทำอย่างไรกันแน่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้คนส่งนกพิราบไปเมืองหลวง
หากไม่มีเรื่องอะไรก็คิดว่าเป็นการเตือน หากมีเรื่องก็ต้องให้สกุลจางระมัดระวังขึ้นมา กันไว้ดีกว่าแก้
เผยเยี่ยนคิดอย่างดี แต่เมื่อพบเผิงสืออียังคงรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง ยามที่เผิงสืออีมาถามเขาเรื่องอาการของอวี้ถัง เขาก็ตอบทีเล่นทีจริงว่า “เป็นข้าที่ละเลยไป คาดไม่ถึงว่าคุณหนูตัวน้อยจะขี้ขลาดตาขาวขนาดนั้น ข้าว่า ภายหลังเจ้าคงทำได้เพียงดื่มชาสุรากับพวกเราอย่างเดียวแล้ว”
นี่หมายความว่าตักเตือนเขาอย่างอ้อมๆ ไม่ให้ไปเจอพวกสตรีในเรือนอีกแล้ว
เผิงสืออีลอบประหลาดใจอยู่บ้าง
คุณหนูของสกุลอวี้ผู้นี้ เขาสืบเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็หาจุดที่นางแตกต่างกับทุกคนแต่กลับได้รับความโปรดปรานจากเผยเยี่ยนไม่พบ…เขานึกถึงใบหน้าที่ไม่ว่าจะดีใจหรือโกรธล้วนสง่างามของอวี้ถังขึ้นมา
วีรบุรุษมักพ่ายแพ้หญิงงาม?
เผิงสืออีลอบแค่นหัวเราะในใจ ใบหน้ากลับไม่แสดงอันใด ยังเอ่ยหยอกล้อตัวเอง “เช่นนั้นข้าก็มีลาภปากแล้ว ใครบ้างไม่รู้ว่านายท่านสามสกุลเผย ชาไม่ดี สุราไม่กลมกล่อมย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา ข้าก็อยากมีส่วนร่วมด้วย ลิ้มรสชาดีสุราเลิศรสเจ้อเจียงของพวกเจ้า”
แต่แม้เขามีท่าทีดีเช่นนี้ เผยเยี่ยนก็ยังคงมองเขาขัดหูขัดตา ยิ้มไปไม่ถึงดวงตา ทำเอาเผิงสืออีที่เห็นตกใจอย่างยิ่ง กลับไปนั่งที่ของตัวเองครุ่นคิดเล็กน้อย ตัดสินใจว่าควรรอบคอบเสียหน่อย จึงส่งคนไปส่งจดหมายให้หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิง ทางที่ดีให้นางไปเยี่ยมเยียนอวี้ถังด้วยตัวเอง ‘ทำตามธรรมเนียม ผู้คนย่อมไม่ตำหนิ’
หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเผิงสืออี นางก็ไม่เชิญคนอื่นไป พาเพียงคุณหนูแปดสกุลเผิงเข้าไปหาอวี้ถังด้วยกัน
กู้ซีมองแผ่นหลังของหลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิง นั่งจมกับความคิดหน้าโต๊ะอยู่พักใหญ่ หากไม่ใช่ว่าคุณหนูอู่ถามนางว่าจะกลับห้องไปพักด้วยกันหรือไม่ เกรงว่านางยังคงจะดึงสติกลับมาไม่ได้
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด!” กู้ซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม อดพูดเรื่องอวี้ถังต่อหน้าคุณหนูอู่ไม่ได้ “ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเห็นหรือไม่ เมื่อครู่เจินจู คนข้างกายท่านแม่เฒ่าเผยมอบกล่องไม้ใบหนึ่งให้นายหญิงรอง ดูท่าจะเป็นกล่องบรรจุยา ท่านแม่เฒ่าเผยคงไม่ใช่ว่าส่งนายหญิงรองนำยาไปมอบให้คุณหนูอวี้หรอกกระมัง?” คล้อยหลังยังเอ่ยหยอกว่า “หมอมาตรวจดูยังไม่พอ ต้องเข้าไปถามด้วยตัวเองอีก ก็ไม่แปลกใจที่คุณหนูอวี้จะสามารถเทียวไปเทียวมาในสกุลเผยได้ คนทั้งสกุลเผยต่างชื่นชอบนางกันทั้งนั้น”
คุณหนูอู่รู้ว่ากู้ซีหมายความว่าอย่างไร อดระวังตัวขึ้นมาไม่ได้
คำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของแม่สื่อ[3]
ท่านแม่เฒ่าเผยเป็นคนที่สามารถควบคุมเรื่องงานแต่งของเผยเยี่ยนได้
ผู้ที่ได้รับความรักจากเผยเยี่ยนไม่แน่ว่าจะสามารถแต่งงานกับเผยเยี่ยนได้เสมอไป แต่ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านแม่เฒ่าเผย กลับสามารถกลายเป็นภรรยาของเผยเยี่ยนได้อย่างง่ายดาย
คุณหนูอู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้น พวกเราก็เข้าไปเยี่ยมคุณหนูอวี้? ถือเสียว่าเห็นแก่หน้าท่านแม่เฒ่าเผย!”
นี่ก็ตรงกับความตั้งใจของกู้ซี
นางอยากสืบเรื่องของเผยเยี่ยนก่อนหน้านี้
ทั้งสองคนแกล้งทำเป็นให้สาวใช้ถือกล่องของว่างสองกล่อง ก่อนจะไปหาทางอวี้ถัง
อวี้ถังนอนหลับแล้ว ยามที่พวกนางไปถึง หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเผิงเพิ่งจะออกไป
คนสกุลเฉินต้อนรับพวกนางด้วยความกระตือรือร้น
ยามที่คุณหนูใหญ่สกุลอู่สืบท่าทีที่สกุลเผยมีต่ออวี้ถัง กู้ซีกลับสำรวจเครื่องเรือนภายในห้อง
โต๊ะหนังสือยาวกลางห้องโถง มีแจกันธรรมดาวางอยู่ สิ่งที่เสียบอยู่ในนั้นคือดอกชงโคที่ปลูกในสวนดอกไม้ของที่นี่ เครื่องชาที่ใช้ก็เป็นเครื่องลายครามทั่วไปตามท้องตลาด หันกลับมามองเสื้อผ้าอาภรณ์ของคนสกุลเฉิน เสื้อคลุมผ้าหยาบหังโฉวสีน้ำเงิน เสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีครามลายเมฆ สวมดอกผ้าซานฉาสีแดง ต่างหูทองคำทรงน้ำเต้า เป็นเครื่องแต่งกายของพวกนายหญิงในเมืองหลินอันทั่วไป แต่ว่าใบหน้านั้นกลับเหมือนลูกสาวของนาง ผิวเนียนละเอียด คิ้วงามราวกับใบหลิว โดดเด่นอย่างยิ่ง เพียงแต่มารดาให้ความรู้สึกนุ่มนวลบอบบาง ลูกสาวกลับสดใสร่าเริง
นางช้อนสายตามองไปทางห้องของอวี้ถัง
พอดีกับมีผู้หญิงคนหนึ่งแหวกม่านออกมา
คนสกุลเฉินตะโกนเรียกอย่างเกรงใจทันที ‘แม่นางชิงหยวน’
แม่นางผู้นั้นอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี กลับสวมชุดคลุมยาวผ้าแพรสีเขียวน้ำทะเลสาบ ทับด้วยเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมทอลายยอดไม้อ่อน สวมต่างหูไข่มุก ใส่สร้อยข้อมือทอง แต่งกายหรูหรายิ่งกว่าคุณหนูคหบดีชนบททั่วไป โดยเฉพาะใบหน้างดงามนั้น ระหว่างคิ้วเผยความใจกว้างอ่อนโยน คล้ายคุณหนูที่ถูกเลี้ยงอยู่ในห้องหับ
กู้ซีและคุณหนูอู่ต่างก็ตะลึงงัน
คนสกุลเฉินแนะนำให้พวกนางรู้จัก “นี่คือแม่นางชิงหยวน คนข้างกายของนายท่านสาม ได้ยินว่าคุณหนูของเราเป็นลม จึงส่งนางเข้ามาคอยช่วยเหลือ”
กู้ซีและคุณหนูอู่ต่างหน้าเปลี่ยนสีโดยพร้อมเพรียงกัน
———————–
[1]เหรินเซินกุยผี เป็นยาสมุนไพรจีน มีสรรพคุณบำรุงเลือดลม เพิ่มกำลังวังชา ผ่อนคลายจิตใจ
[2]เรือล่มในคลองระบายน้ำ หมายถึงเกิดความผิดพลาดในเรื่องที่มั่นใจ
[3]คำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของแม่สื่อ อุปมาถึงการแต่งงานที่พ่อแม่เป็นคนจัดการให้