ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 251 เสียใจ
วาจาของอวี้ถังทำให้เผยเยี่ยนรู้สึกน่าเวทนา
นั่นน่ะสิ! เย็นขนาดนี้แล้ว เขามาทำอะไรที่นี่? ต่อให้เป็นห่วงอาการป่วยของนาง เขามิใช่ทั้งหมอที่จะตรวจอาการนางได้ และมิใช่ญาติที่สามารถคอยปลอบประโลมนาง…ถ้าเขาอยากรู้ว่านางสบายดีหรือไม่ สามารถให้คนข้างกายมาถามสักคำก็จบเรื่อง อีกอย่างชิงหยวนกับอาหมิงที่รับใช้เขาก็อยู่ข้างกายนาง เขาอยากรู้อะไรก็สามารถรู้ได้ทั้งสิ้น…
เผยเยี่ยนพลันรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ของตน
ทว่า ความเสียใจนั้นก็หายวับไปทันที
จากการสั่งสอนที่เขาได้รับมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ก่อนลงมือทำต้องใคร่ครวญให้รอบคอบ หลังจากลงมือไปแล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ก็ไม่ต้องเสียใจทั้งสิ้น หากมีเวลามานั่งเสียใจ มิสู้คิดหาวิธีแก้ไข ทำอย่างไรให้เรื่องราวเป็นไปตามทิศทางที่ตนต้องการจะดีกว่า
ด้วยเหตุนี้เผยเยี่ยนจึงกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่ง โยนความรู้สึกนั้นทิ้งไว้เบื้องหลัง “เมื่อเช้าคำที่เจ้าพูดกับข้าตอนอยู่ห้องสงบใจ ข้าตรึกตรองอยู่นาน อย่างไรก็รู้สึกว่าพิสดารเหนือความคาดหมาย จึงมาหาเจ้าเพื่อที่จะถกเถียงเรื่องนี้”
วาจาเพิ่งจะจบลง เผยเยี่ยนพลันรู้สึกเสียใจอีกแล้ว
เดิมเขาอยากมาเยี่ยมอาการป่วยของนาง เหตุใดไม่พูดออกไปตรงๆ? ทำไมต้องหาข้ออ้างเช่นนี้? ต้องรู้ไว้ด้วยว่า การโกหกก็เหมือนก้อนหิมะ ยิ่งไม่อยากให้คนจับได้เท่าไร มันก็ยิ่งต้องใช้คำโกหกมากมายมาปกปิดเอาไว้ไม่จบสิ้น
ความเย่อหยิ่งของเผยเยี่ยนไม่อนุญาตให้เขากลายเป็นคนเช่นนั้น
เขาไม่รอให้อวี้ถังเอ่ยปาก ก็เสริมอีกประโยคไปทันทีว่า “มิใช่แคลงใจว่าเจ้าพูดโกหก ข้าแค่คิดว่ามันแปลกเท่านั้น อยากรู้ว่าในฝันยังเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก…”
คำยังไม่ทันจบดี เขาก็รีบหุบปากฉับ
หากมิกลัวว่าเสียมารยาท เขาอยากจะหลับตาให้แน่น แล้วนวดขมับเบาๆ สักพัก
เมื่อครู่เขาห้ามตัวเองในใจแล้วว่าอย่าได้พูดโกหก ผลคือไม่เพียงหยุดไม่ได้ ยังแต่งเรื่องออกมาเป็นวรรคเป็นเวรอีก การใช้การกระทำของตนมาสร้างโกหกก็ใช้หลักการเดียวกับก้อนหิมะนั่นแหละ
อวี้ถังเห็นเขาสีหน้าเย็นชา ท่าทางเคร่งเครียด กลับไม่ได้คิดมาก…ใครได้มาเจอเรื่องเช่นนี้ล้วนแต่ต้องว้าวุ่นทั้งนั้น เผยเยี่ยนสามารถมาคุยเรื่องนี้กับนางด้วยใจที่สงบได้ สามารถไตร่ตรองเรื่องราวอย่างละเอียด นางก็รู้สึกว่าเผยเยี่ยนเป็นคนมีคุณธรรมและจิตใจกว้างขวางมากแล้ว
นางรีบเอ่ยว่า “หลังจากตื่นขึ้นมาข้าก็จำไม่ค่อยได้ ท่านอยากรู้เรื่องอะไร ถือโอกาสตอนที่ข้ายังพอจำได้รางๆ ข้าจะพยายามเค้นสมองนึกดู”
นางมิได้พยายามจะหลบเลี่ยง
หนึ่งเพราะนางได้มาเกิดใหม่ ชาติก่อนกับชาตินี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปแล้ว สองเพราะชาติก่อนนางอยู่ในวงสังคมที่แคบ เรื่องที่รู้ก็มีอย่างจำกัด กลัวจะชี้ทางผิดให้เผยเยี่ยนเสียมากกว่า
นางได้แต่เลือกเฉพาะเรื่องที่นางมั่นใจมาบอกเผยเยี่อนเท่านั้น
นี่เป็นข้ออ้างที่เผยเยี่ยนยกมาบังหน้าอย่างฉุกละหุก เขามีหรือจะคิดคำถามทัน
เขาอดจะขมวดคิ้วไม่ได้
อวี้ถังยืดหลังตรงทันที รอให้เขาเอ่ยปากถาม
เผยเยี่ยนเห็นแล้วมุมปากก็กระตุก
คนที่แต่ก่อนไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดและกล้าทำต่อหน้าเขา จู่ๆ เปลี่ยนมาเชื่อฟังเรียบร้อยในชั่วพริบตา จะว่าไปแล้วก็น่าสนใจไม่น้อย
เบื้องลึกนัยน์ตาของเผยเยี่ยนมีกระแสรอยยิ้มวาบผ่าน ปัดความหม่นหมองเมื่อครู่จนหายวับ ในใจคำนวณอยู่ว่าหากเขาสนทนาหัวข้อนี้ต่อไป จะทำให้อวี้ถังรู้สึกว่าเขาไม่เชื่อถือนางหรือไม่ แต่ถ้าไม่คุยเรื่องนี้ แล้วเขาจะใช้ข้ออ้างไหนมาอธิบายว่าเหตุใดดึกดื่นป่านนี้แล้ว เขาก็ยังวิ่งมาที่นี่อีก…
ขณะที่เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนสกุลเฉินก็ยกกาน้ำร้อนเข้ามา นางชงชาให้เผยเยี่ยนแล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “วันนี้หากไม่ได้ท่าน อาถังของข้าคงรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่ บุณคุญยิ่งใหญ่ของท่านพวกเรายากจะลืมไปชั่วชีวิต”
“นายหญิงอวี้อย่าได้เกรงใจ” เผยเยี่ยนตอบ ก่อนจะเหลือบมองอวี้ถังทีหนึ่ง ในใจลอบคิดว่า ที่แท้คุณหนูอวี้ก็มีชื่อว่าอาถังนี่เอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็น ‘ถัง’ จากคำว่าถังกั๋ว หรือว่า ‘ถัง’ จากดอกไห่ถังกันแน่ หากว่าเป็น ‘ถัง’ จากคำว่าถังกั๋ว ในเมื่อมีความหมายว่าหอมหวาน เช่นนั้นก็เรียกชื่อว่า ‘อี้หราน’ ได้ มีความหมายว่าหอมหวาน ทั้งแฝงนัยอิสระ แต่ถ้าเป็น ‘ถัง’ จากดอกไห่ถัง โบตั๋นเรียกว่าถัง โบตั๋นเป็นราชาของมวลดอกไม้ จะตั้งชื่อเล่นว่า ‘หย่าจวิน’ ก็ได้ ทว่าจะอี้หรานหรือว่าหย่าจวิน ล้วนแต่ไม่เหมาะกับนิสัยของเด็กสาวทั้งสิ้น หรืออาจจะตั้งว่า ‘เซียงอวี้’? ดอกถังป่าเบ่งบาน กลีบดอกหอมร่วงลอยไปตามลม…ฟังดูเชยไปหน่อย…
เขาคิดไปเรื่อยเปื่อย ความจริงแค่อยากถามว่าชื่อของอวี้ถังใช้อักษรตัวไหนแน่
แต่ดูจากท่าทางของคนสกุลเฉินแล้ว ไม่แน่ว่าจะยอมบอกเขา
เขารู้สึกว่าการที่คนสกุลเฉินยืนอยู่ตรงนี้ออกจะขัดสายตาเขาอยู่บ้าง
เผยเยี่ยนนิ่งคิด ไม่รอให้คนสกุลเฉินเอ่ยปากถามว่าเขามาทำไม ก็ชิงเปล่งเสียงพูดกับคนสกุลเฉินก่อนว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องถามคุณหนูอวี้ ท่านจะช่วยพาสาวใช้ที่อยู่ในห้องออกไปได้หรือไม่”
นี่คือต้องการจะบอกให้พวกนางหลบออกไปเสีย
หากว่าเป็นบุรุษคนอื่น คนสกุลเฉินคงคิดว่าไม่ดีแน่ แต่คนที่พูดคำนี้คือเผยเยี่ยน ผู้กุมอำนาจของสกุลเผยอันโด่งดังที่สุดในเมืองหลินอัน หากว่าเขามีความคิดเป็นอื่น ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมเลี้ยวลด คนสกุลเฉินจึงไม่คิดเอะใจ ถึงขนาดคิดไปว่า มิใช่สกุลเผยทางนั้นเกิดเรื่อง เผยเยี่ยนถึงได้แอบมาถามความจากอวี้ถังอย่างลับๆ เช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุใด คนสกุลเฉินล้วนเห็นว่านางไม่อาจปฏิเสธได้ทั้งสิ้น
นางรับคำพร้อมรอยยิ้มบาง พาสาวใช้ในห้องเดินออกไป ทั้งยังช่วยพวกเขาปิดประตูให้อีกด้วย
อวี้ถังเองก็คิดว่าเรื่องที่นาง ‘ฝันเห็น’ อย่าให้คนสกุลเฉินรู้ด้วยเป็นดีที่สุด
นางจึงไม่คิดว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องไม่ดีแต่อย่างใด
นางรวบรวมสติอย่างเต็มเปี่ยม สายตาวิบวับมองตรงไปที่เผยเยี่ยน ราวกับย้อนไปเมื่อคราวเป็นเด็ก ที่กระวนกระวายเพราะถูกบิดาสอบให้ท่องหนังสือ
เผยเยี่ยนพลันรู้สึกไม่เป็นตัวเองอย่างไร้สาเหตุ
เขายกชาดื่มหนึ่งอึก หาคำมาถามอวี้ถังว่า “เจ้าฝันเห็นหรือไม่ว่าสกุลข้าภายหลังเป็นอย่างไร?”
อวี้ถังนึกถึงคำที่คนด้านนอกลือกันว่าเผยเยี่ยนเหยียบย่ำหลานชายแท้ๆ ของตนเพื่อขึ้นเป็นผู้นำสกุลเสียเอง
ภายในจวนสกุลเผยเองก็มิใช่สมานฉันท์กันอยู่แล้ว
หากว่านางช่วยเผยเยี่ยนดึงพรรคพวกมาได้จำนวนหนึ่ง เผยเยี่ยนก็จะไม่ต้องลำบากมาก ทางเดินยิ่งจะราบเรียบกว่าเก่า
นางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าพอผ่านไปอีกสามปี คุณชายใหญ่กับอีกคนที่ชื่อเผยฉานจะสอบจิ้นซื่อได้ คล้ายว่าลำดับของคุณชายใหญ่จะสูงกว่าเขาหน่อย ส่วนเผยฉานได้ลำดับต่ำลงมา ดังนั้นชื่อเสียงของคุณชายใหญ่จึงขจรไปไกล เผยฉานนั้นสามัญดาษดื่น แต่ทุกคนล้วนพูดว่าเผยฉานเป็น ‘ขุนนางผู้เก่งกาจ’…”
ราชสำนักมีขุนนางตั้งมากมาย สามารถได้ฉายาว่า ‘ขุนนางผู้เก่งกาจ’ นั่นมิใช่ว่ามีความสามารถธรรมดาแล้ว
ลูกหลานของสกุลเผยล้วนแต่โดดเด่นยิ่งนัก
ทว่าในความทรงจำของอวี้ถัง ตอนที่เผยฉานสอบจิ้นซื่อได้นั้น ชื่อเสียงถึงค่อยๆ เลื่องลือออกไป
ที่นางพูดเช่นนี้ ก็เพราะต้องการให้เผยเยี่ยนผูกไมตรีกับเผยฉานไว้ตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่โดดเด่นเลื่องชื่อ
ครั้งนี้ก็เหมือนกับตอนที่นางบอกว่าสกุลเผยเตรียมจะซื้อที่นาแถบเจียงซี ตอนที่ชื่อของเผยฉานออกจากปากอวี้ถัง ทำให้เผยเยี่ยนตกใจแทบสะดุ้ง
สิ่งนี้ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความจริง ไม่อาจหลอกลวงตัวเองต่อไปได้ว่าอวี้ถังก็แค่ฝันไป และมันไม่มีทางเป็นจริง
เรื่องนี้ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก
เผยเยี่ยนได้แต่ลูบจมูกไปมาด้วยความจนใจ
อวี้ถังรับรู้ถึงอารมณ์ของเผยเยี่ยน นางได้แต่เอ่ยเสียงเบาว่า “สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงทั้งสิ้น!”
แน่นอนว่าเผยเยี่ยนเชื่อนาง แต่ตอนนี้เขาไม่มีวิธีใดจะมาใช้พิสูจน์ได้เลยว่าสิ่งที่นางพูดจะเกิดขึ้นจริงๆ
เขาไม่ควรยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเลย
เผยเยี่ยนนั่งลงได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ แต่กลับรู้สึกเสียใจเป็นครั้งที่สามแล้ว
ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้ไม่ได้
ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าอวี้ถัง เขากลายเป็นคนที่พูดจาเหลวไหลโดยสิ้นเชิง
เผยเยี่ยนสูดหายใจเต็มปอด ลุกยืนขึ้น เดินไปหยุดหน้าบานหน้าต่างแล้วผลักมันให้เปิดออก
ท้องฟ้ากลายเป็นสีมืดสนิทแล้ว โคมไฟแดงดวงใหญ่ใต้ชายคาส่องกระทบบนพื้นหินเขียว ย้อมจนเป็นสีแดงจางๆ
ดวงหน้าของเผยเยี่ยนปะทะกับลมอุ่นยามราตรี เขาถอนหายใจทิ้ง คล้ายว่าทำเช่นนี้ จะช่วยปัดเป่าความคิดที่ไม่เข้าท่าในใจเขาออกไปได้บ้าง
เขาจัดระเบียบความคิดใหม่อย่างว่องไว หมุนกายเอนพิงขอบหน้าต่าง เอ่ยกับอวี้ถังว่า “ข้าขอมากไปเอง ความฝันเดิมทีก็ติดขัดไม่ต่อเนื่อง จะให้เจ้าบอกว่าเกิดอะไรกับสกุลเผยบ้าง นับว่าลำบากเจ้าไม่น้อย”
ไม่ลำบาก!
อวี้ถังอยากจะตะโกนตอบเผยเยี่ยนไป แต่นางไม่กล้าพูดอะไรมาก
นางได้แต่ส่งยิ้มให้เผยเยี่ยนเท่านั้น
เผยเยี่ยนอาศัยจังหวะนี้เบนหัวข้อสนทนา ทำทุกอย่างให้อยู่ในครรลองที่ควรจะเป็น “ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? มีชิงหยวนมาอยู่ด้วยดีหรือไม่? อยู่ในห้องทำอะไรฆ่าเวลากันบ้าง?”
อวี้ถังไม่เข้าใจว่าทำไมเผยเยี่ยนไม่ถามเรื่องความฝันกับนางต่อ แต่เช่นนี้ก็ทำให้นางผ่อนคลายขึ้นเป็นกอง นางยิ้มแล้วคล้อยตามบทสนทนาของเผยเยี่ยน “ข้าคิดว่าหายดีแล้วล่ะ อาศัยบารมีของท่าน แม่นางชิงหยวนกับอาหมิงละเอียดใส่ใจมาก ดีกว่าซวงเถาบ้านข้าตั้งหลายขุม แล้วตอนที่อยู่ในห้อง ทุกคนก็มาเยี่ยมข้าด้วย คนนู้นไปคนนี้มา ครึกครื้นเป็นที่สุด ไม่ทันไรก็ตะวันตกดิน หาได้จำเป็นต้องหาสิ่งใดทำฆ่าเวลาไม่!”
เผยเยี่ยนคิดว่าเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก “วันนี้เป็นวันแรก ย่อมจะมีคนมากมายมาเยี่ยมเจ้า รอผ่านไปความสดใหม่ก็จะหดหาย” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในสมองเขากลับมีคนตัวน้อยที่หงอยเหงากระโดดออกมา
เขาอดจะเอ่ยไม่ได้ว่า “แม้ว่าร่างกายจะสำคัญ แต่จะให้เจ้านอนอยู่ในห้องอย่างเดียวก็ทรมาน เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ข้าจะให้ชิงหยวนไปฟังอาจารย์อู๋เหนิงบรรยายธรรมเป็นเพื่อนเจ้า ถ้าเจ้าไม่สนใจ ก็สามารถไปเดินเล่นที่นอกวัดได้ ข้าได้ยินว่านอกวัดมีร้านค้าแผงลอยเกือบสี่ร้อยร้านแล้ว สิ่งใดควรมีย่อมมีหมด ล้วนมีขายทั้งสิ้น ซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกก็ไม่เลว”
อวี้ถังคิดว่าหากตนออกไป คุณหนูสวีต้องตามนางไปด้วยแน่ๆ อีกอย่าง จากนิสัยของคุณหนูสวี พวกนางคงไม่อาจออกไปอย่างเงียบเชียบได้
หรือว่า จะทำสัญญากับคุณหนูสวีไว้ล่วงหน้าก่อนดี?
เผยเยี่ยนเห็นว่าอวี้ถังไม่ได้ตอบตกลงทันที จึงเดาว่าอวี้ถังอาจกลัวว่าจะบังเอิญเจอเผิงสืออีเข้า เขาไม่รอให้นางตอบก็เอ่ยต่อว่า “เผิงสืออีทางนั้น เจ้าสบายใจได้ ข้าได้กำชับลงไปแล้ว ให้จำกัดการเข้าออกของเผิงสืออี เขาเป็นคนฉลาด อีกสองวันก็คงจากไป ส่วนอาจารย์อู๋เหนิงทางนั้น บรรยายธรรมได้ดาษดื่น ก็แค่เสียงก้องกังวาลหน่อย เข้าถึงอารมณ์ได้ พูดจาเป็น คนส่วนใหญ่ถึงคิดว่าเขาบรรยายดี จะไปฟังหน่อยก็ไม่เสียหาย”
อวี้ถังคิดว่าตนควรไปขอบคุณท่านแม่เฒ่าสกุลเผย พรุ่งนี้ไปฟังพิธีบรรยายธรรมสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน จึงได้ตอบตกลงไป
เผยเยี่ยนเห็นว่านางเชื่อฟัง อารมณ์ก็เบิกบานใหญ่ คอยจัดการเรื่องของนางต่ออีก “ช่วงบ่ายอาจารย์อู๋เหนิงกับอาจารย์ในวัดจะโต้ธรรมะกัน เสียงดังวุ่นวาย ไม่มีอะไรน่าฟังหรอก เจ้าก็พักผ่อนอยู่ในห้อง อ่านหนังสือ วาดรูปเล่นไป ไม่ก็เรียกแม่หมอมารมยาด้วยโกฐหรือนวดตัวให้เจ้าก็ได้ หูซิ่งทางนั้น ข้าจะบอกเขาไว้ หากว่าเจ้ามีเรื่องอะไร ก็สั่งเขาไปจัดการได้เลย”
พ่อบ้านสามแห่งจวนสกุลเผย ต่อให้นางมีเรื่องด่วนเพียงใด ก็คงไม่กล้าเรียกใช้เขาหรอก!
อวี้ถังสัมผัสได้ถึงความใส่ใจที่เผยเยี่ยนมีให้ นางจึงคล้อยตามว่า “เจ้าค่ะ” อย่างว่าง่าย
ในใจเผยเยี่ยนยิ่งรู้สึกว่าเหมาะสมครบถ้วนแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดคิดว่าจะหาสิ่งใดมาให้อวี้ถังทำดี
สมองของเขาหมุนแล่นอย่างรวดเร็ว
เรียกช่างจากหอเครื่องเงินมาทำเครื่องประดับ…ไม่เหมาะ
ซื้อสาวใช้สักหลายคนมาเล่นชิงช้าเป็นเพื่อนนาง…แต่สาวใช้พวกนั้นไม่อาจเรียนรู้กฎระเบียบภายในเวลาอันกระชั้นได้
ให้หลานสาวมาอยู่เป็นเพื่อนนาง เหล่าหลานสาวของเขาคล้ายจะซาบซึ้งหลงใหลในเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพุทธองค์ของอาจารย์อู๋เหนิงอยู่ เกรงว่าจะไม่ยินยอมนัก
พิธีบรรยายธรรมยังมีอีกตั้งหลายวัน จะหาอะไรให้คุณหนูอวี้ทำนางถึงจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหนอ?
เผยเยี่ยนพลันรู้สึกจนปัญญา
———————————————————–