ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 254 หยั่งเชิง
เผยเยี่ยนนั่งในศาลาเทศนาธรรมเพียงครึ่งชั่วยาม ก่อนจะหาข้ออ้างว่ามีธุระออกไป
พวกนายท่านใหญ่สกุลเผิงล้วนรู้ว่าเขาต้องออกเดินทางไปหังโจว พวกนายท่านอู๋และคหบดีชนบทกลับไม่รู้ เห็นเผยเยี่ยนออกไป ยังเอ่ยกับนายท่านเว่ยเสียงเบาว่า “นายท่านสามเผยงานรัดตัวเสียจริง เช้าตรู่เมื่อวานก็ไม่เห็นแม้แต่เงา วันนี้ก็มานั่งเพียงชั่วครู่ ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งกับอะไรอยู่?”
นายท่านเว่ยไม่ได้พุ่งความสนใจไปที่เผยเยี่ยนนัก เขายืดคอออกไปหาอวี้เหวิน
อวี้เหวินนั้นตามพวกเขาเข้ามา เมื่อวานทุกคนยังพักด้วยกัน เพียงแค่เมื่อครู่มีคนมาหาอวี้เหวิน หลังจากอวี้เหวินตามคนผู้นั้นออกไปก็ไม่ได้ย้อนกลับมาเสียที ยามนี้ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อแล้ว เขายังไม่เห็นอวี้เหวินแต่อย่างใด
นายท่านเว่ยรอจนผ่านไปสองเค่อ ที่นั่งของอวี้เหวินยังคงว่างเปล่า เขาจึงร้อนใจขึ้นมา เอ่ยกำชับกับนายท่านอู๋ ก่อนจะค้อมตัวเบียดออกมาจากศาลาเทศนาธรรม
อวี้เหวินกำลังยืนพูดกับคนสกุลเฉินอยู่ใต้ต้นหวงหยางไม่ไกลจากศาลาเทศนาธรรมมาก
เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ยามที่กำลังครุ่นคิดว่าควรจะเข้าไปทักทายเสียหน่อยดีหรือไม่ อวี้เหวินพลันกวาดสายตาเข้ามาก่อน มองเห็นเขาในทันที
อวี้เหวินชะงักไปเล็กน้อย ก้มหน้ากระซิบกับคนสกุลเฉินไม่กี่คำ ก่อนจะสาวเท้าเข้ามา “เจ้าออกมาทำไมกัน? มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ?”
“ไม่มีๆ” นายท่านเว่ยโบกไม้โบกมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าออกมาหาเจ้า เจ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว”
อวี้เหวินได้ฟังก็เงียบไปพักใหญ่ เอ่ยว่า “ภรรยามาหาข้า กล่าวว่าเมื่อวานคนในศาลาเทศนาธรรมมีมากเกินไป แออัดเบียดเสียด ลูกสาวของพวกเราจึงเป็นลม”
นายท่านเว่ยตกใจไม่น้อย เร่งถามว่ายามนี้อวี้ถังเป็นอย่างไรบ้าง
อวี้เหวินจึงค่อยเผยรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ยว่า “นายท่านสามและท่านแม่เฒ่าสกุลเผยช่วยเชิญหมอมาอย่างทันท่วงที ยังไม่ทันได้ใช้ยา คนก็ดีขึ้นเสียแล้ว ภรรยากล่าวว่า เป็นเพราะลูกสาวของพวกเราร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง หลังจากกลับไปต้องบำรุงดีๆ เสียหน่อย”
“ควรเป็นเช่นนั้นๆ!” ขณะที่นายท่านเว่ยกล่าวก็โล่งใจตาม
อวี้เหวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดขึ้นมาแล้วก็ต้องขอบคุณนายหญิงเว่ยและนายหญิงอู๋ด้วย หลังจากลูกสาวของพวกเราป่วย นายหญิงทั้งสองก็มาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง น้ำใจนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่จะกล่าวขอบคุณ รองานบรรยายธรรมจบแล้ว ทุกคนก็ไปรวมตัวกินข้าวกันง่ายๆ ที่เรือนข้าเถิด”
นายท่านเว่ยเอ่ยเป็นมารยาทไม่กี่คำ ก่อนอวี้เหวินจะกลับไปพูดกับคนสกุลเฉินเล็กน้อย ส่งคนสกุลเฉินกลับไป ยามนี้จึงค่อยกลับเข้าไปในศาลาเทศนาธรรมกับนายท่านเว่ย
ทุกคนล้วนจดจ่ออยู่กับการฟังธรรมจากพระอาจารย์ อวี้เหวินกลับนึกถึงเจียงเฉา
ก็ไม่รู้ว่าเรือของนายท่านเจียงจะสามารถกลับมาเมื่อใด ถึงเวลานั้นเขาก็ควรซื้อพวกโสมรังนกอะไรให้ลูกสาวบำรุงร่างกายเสียหน่อย ยังมีพวกบ่าวสาวใช้ ก็ต้องซื้อให้เช่นกัน ป้องกันเผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะไม่มีคนพอใช้ ทั้งยังต้องช่วยซื้อของบำรุงให้คนของสกุลเผยเช่นกัน
คนสกุลเฉินเล่าเรื่องราวของอวี้ถังให้อวี้เหวินฟัง อวี้เหวินปลอบใจนางยกใหญ่ นางจึงโล่งใจขึ้นมา ยามที่กลับไปสีหน้าก็ดูดีไม่น้อย นั่งอยู่ด้านข้างท่านแม่เฒ่าเผย ไม่เพียงฟังพระอาจารย์อย่างตั้งใจ ยังสามารถรับบทสนทนาคุยเล่นกับพวกท่านแม่เฒ่าเผย
กู้ซีมองอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มเย็น
สกุลอวี้คิดอาศัยความสัมพันธ์ฉันญาติสนิทมิตรสหายไปมาหาสู่กับสกุลเผยจริงๆ ก็ไม่ดูตัวเองบ้างว่ามีชาติกำเนิดอะไร มีคุณสมบัตินี้หรือไม่?
นึกถึงเรื่องพวกนี้ นางก็ใช้หางตาเหลือบมองคุณหนูอู่
เมื่อเย็นวาน กู้ฉ่างกลัวว่านางจะไม่คุ้นชินกับอาหารเจวัดเจาหมิง จึงตั้งใจให้คนมาส่งพวกขนมของว่างเข้ามา ประจวบกับคุณหนูอู่เป็นแขกของนางพอดี คนที่มาส่งของอาจจะกลับไปรายงานให้กู้ฉ่าง กู้ฉ่างไม่สนใจราตรีเงียบสงัด มาเข้าพบนาง ทั้งยังเตือนนางไม่ให้เข้าใกล้คุณหนูอู่มากเกินไป นางไม่ค่อยพอใจเท่าใด จึงเอ่ยถึงแผนของสกุลอู่ขึ้นมา
กระทั่งยามนี้กู้ซีก็ยังจำได้อย่างแม่นยำหลังจากที่กู้ฉ่างได้ยินเรื่องนี้ แววตาก็เผยท่าทีเหน็บแนมขึ้นมา “เจ้าอย่าได้ฟังเรื่องไร้สาระพวกนี้ สกุลเผยจะเกี่ยวดองกับสกุลอู่ได้อย่างไร สกุลเจียงสามารถแต่งกับคุณหนูของสกุลอู่ได้ นั่นเป็นเพราะว่าสกุลเจียงไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร สกุลอู่ก็มีแผนอยู่ในใจ ส่งคุณหนูคนหนึ่งเข้ามา ทั้งยังป่าวประกาศเรื่องนี้ไปทั่ว ก็แค่คิดจะเล่นแง่เท่านั้น…หากเผยสยากวงถูกใจคุณหนูอู่จริงๆ นั่นก็ดีไม่น้อย แต่หากเผยสยากวงไม่ตั้งใจจะผูกสัมพันธ์กับสกุลอู่ ย่อมจะเกรงใจไม่พูดตรงไปตรงมาขนาดนั้น สกุลอู่ก็สามารถอาศัยโอกาสนี้ข่มคนอื่นไปทั่ว แอบอ้างบารมีของสกุลเผย ใช้ประโยชน์กับกิจการ” ยังบอกนางว่า “เจ้าต้องเรียนรู้จากคุณหนูสวี ได้ยินอะไร มองเห็นอะไรก็นิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว วางแผนในใจให้ดีแล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร จะได้ไม่ถูกคนอื่นหลอกใช้ประโยชน์”
คุณหนูอู่สภาพเช่นนี้ กระทำเรื่องแฝงความมุทะลุถึงสามส่วน คล้ายดั่งคุณหนูโง่เง่าคนหนึ่ง จะหลอกใช้ประโยชน์จากนางได้อย่างนั้นรึ?
กู้ซีไม่เชื่ออยู่บ้าง
อีกสักพักเมื่อถึงยามเที่ยงนางยังวางแผนจะไปเยี่ยมเยือนคุณหนูสวี
กู้ซีเก็บความคิดไว้ในใจ ตั้งใจฟังพระอาจารย์อธิบายเรื่องราวในคัมภีร์อย่างใจจดใจจ่อ
อวี้ถังและคุณหนูสวีฟังสักพักก็หมดความสนใจ คุณหนูสวีนั้นฟังมามากแล้ว คิดว่าพระอาจารย์ระดับธรรมดาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว อวี้ถังนั้นไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพระอาจารย์เท่าใด อะไรคือเจ้าปลูกอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น หากไม่เกิดผลดี นั่นก็เป็นเพราะบาปในชาติก่อนมีมาก ชาตินี้จึงมาเพื่อชดใช้ รอจนชาตินี้ชดใช้คืนชาติก่อนหมดแล้ว ชาติต่อไปย่อมมีสิ่งดีๆ รออยู่
ชาติก่อนนางใจกว้างกว่าชาตินี้ไม่รู้ตั้งเท่าใด กลับพึ่งตัวเองในการแก้แค้นไปแล้วครึ่งหนึ่ง
หากทุกเรื่องล้วนฝากไว้กับเทพเซียนเทวดา นางก็คงกล้ำกลืนฝืนทนตายอยู่ในเรือนหลังของสกุลหลี่แล้ว
ไม่แน่ว่าพระโพธิสัตว์ให้นางกลับมาเกิดอีกครั้งก็เพราะนางดื้อรั้นเกินไป ไม่เชื่อฟังคนอื่น พระโพธิสัตว์คิดว่านางน่ารำคาญจึงได้ส่งนางมาเกิดในชาตินี้
เห็นได้ชัดว่าเด็กที่ร้องไห้งอแงเพื่อกินลูกอม จึงจะนับว่าใช้ได้อย่างแท้จริง
อวี้ถังนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้คัดลอกคัมภีร์ให้เผยเยี่ยนแม้แต่ตัวเดียว ก็ปรึกษากับคุณหนูสวีเสียงเบาว่า “พวกเรากลับไปกันก่อนดีหรือไม่! อีกเดี๋ยวยามที่งานเลิกทุกคนจะได้ไม่เห็นพวกเรา หากต้องทักทายนั้นไม่เท่าใด แต่ยังต้องอธิบายอีกว่าไฉนพวกเราจึงมาอยู่ที่นี่”
อย่างไรเผยเยี่ยนก็ไปแล้วเช่นกัน นางเห็นมารดาและบิดาออกไปจากศาลาด้วยกัน งานบรรยายธรรมจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจนางขนาดนั้นแล้ว
คำพูดของอวี้ถังตรงกับใจของคุณหนูสวีพอดี
ทั้งสองคนฟังอีกครึ่งชั่วยามก็กลับไปห้องเซียงฝางของอวี้ถังอย่างเงียบเชียบ
อวี้ถังรู้สึกผ่อนคลายลงมาไม่น้อย เตรียมจะคัดลอกคัมภีร์ตามแผนที่วางไว้ ยังถามคุณหนูสวีว่า “เจ้าจะคัดลอกด้วยกันหรือไม่?”
“แน่อยู่แล้ว!” คุณหนูสวีเอ่ย ก่อนจะฝนหมึกกับอวี้ถังต่อ
อวี้ถังยิ้มหวาน
ทั้งสองคนจึงยุ่งกันพัลวันในห้องเซียงฝาง
ชิงหยวนทิ้งชิงผิงและชิงเหลียนให้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ที่นี่ ตัวเองนั้นเตรียมจะไปหาหูซิ่ง ให้เขาส่งพวกผลไม้สดใหม่ของไม่กี่วันมานี้เข้ามาให้มากเสียหน่อย
อิงเถาที่นางเอาเข้ามาเมื่อวาน คุณหนูอวี้ก็ชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีนางยังคิดว่าเป็นเพราะคุณหนูอวี้ชอบกินอิงเถา ผลปรากฏว่าเมื่อเย็นวานคุณหนูสวีส่งผลไห่ถัง[1]เข้ามา คุณหนูอวี้ก็โปรดปรานอย่างยิ่งเช่นกัน
นางสังเกตอย่างละเอียดจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นผลไม้อะไรคุณหนูอวี้ก็ชื่นชอบทั้งนั้น แต่ต้องเป็นของสดใหม่ ไม่อย่างนั้นชิมเพียงคำสองคำก็จะไม่กินแล้ว
เรื่องนี้นางควรบอกให้หูซิ่งรับทราบเสียหน่อย
หูซิ่งเป็นคนมีไหวพริบคนหนึ่ง ย่อมรู้ว่าควรจะทำอย่างไร
เพียงแต่ชิงหยวนเพิ่งจะเดินออกจากเรือนมา ก็เห็นคนที่เหมือนกับสาวใช้คนหนึ่งร้องไห้กระซิกอยู่ข้างป่าไผ่ใกล้เรือน
ชิงหยวนอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
ต่อหน้าเจ้าบ้าน สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดก็คือการร้องไห้ แม้ว่ามารดาของตัวเองตาย ก็ทำได้เพียงร้องไห้ยามที่หลบอยู่ในห้องตัวเองคนเดียวเท่านั้น
วัดเจาหมิงผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนเกิดได้ทั้งนั้น กระนั้นก็ไม่อาจเป็นสาวใช้ของสกุลเผยของพวกนางที่ทำให้ขายหน้าได้
นางเผยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยกับเด็กรับใช้ที่ติดตามนาง “ไปดูสิว่าใครร้องไห้อยู่ตรงนั้น”
เด็กรับใช้รีบสาวเท้าเข้าไป ไม่นานก็นำสาวใช้คนนั้นเข้ามา เอ่ยว่า “กล่าวว่าชื่อไป๋จื่อ เป็นสาวใช้ในห้องของนายหญิงใหญ่ ได้รับคำสั่งให้ไปนำเกี๊ยวเจที่โรงครัว ปรากฏว่าเกี๊ยวถูกคนแยกหมดไปนานแล้ว นางกลัวว่าทำเรื่องไม่สำเร็จ จะถูกนายหญิงใหญ่ลงโทษ จึงมาหลบอยู่ที่นี่ขอรับ!”
แววตาของชิงหยวนปรากฏความเยือกเย็นขึ้นมา ถามสาวใช้คนนั้นว่า “เพิ่งเข้ามาในจวนอย่างนั้นรึ?”
ไป๋จื่อพยักหน้าอย่างลังเล
ชิงหยวนออกคำสั่งกับเด็กรับใช้ “ไปเชิญผู้ดูแลหรือแม่นมในห้องของนายหญิงใหญ่เข้ามา ให้นางพาคนกลับไปเรียนรู้กฎระเบียบให้ดี ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร คาดไม่ถึงว่าจะกล้าปล่อยออกมาเดินเพ่นพ่านสุ่มสี่สุ่มห้า ก็ไม่รู้ว่าใจกล้า หรือคิดว่าหน้าตาของสกุลเผยไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหยียบย่ำส่งเดชคงไม่เป็นอะไร”
เด็กรับใช้ตกใจจนตัวสั่นเทาไปหมด เร่งรับคำสั่งว่า ‘ขอรับ’ ก่อนจะวิ่งไปทางห้องสงบใจของนายหญิงใหญ่แทบไม่เห็นฝุ่น
ไป๋จื่อผู้นั้นกลับตกใจจนนิ่งงัน ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้
ชิงหยวนมองนางไปทีด้วยสีหน้าเรียบเย็น ทิ้งเด็กรับใช้คนหนึ่งดูนางอยู่ตรงนั้น ก่อนตัวเองจะเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
ยามนี้ไป๋จื่อจึงค่อยดึงสติคืนมาอย่างตกใจ ดึงชายเสื้อของเด็กรับใช้คนนั้นด้วยใบหน้าที่เคล้าคลอน้ำตา “พี่ชาย ขอร้องท่านช่วยสอนข้าที ข้าทำอะไรให้แม่นางไม่พอใจกัน”
เด็กรับใช้คนนั้นอย่างไรก็อายุน้อย เห็นดวงตากลมโตของไป๋จื่อน่าสงสารยิ่ง จึงอดเอ่ยเสียงเบาไม่ได้ “นายหญิงใหญ่พักอยู่ที่ห้องสงบใจ อยู่ห่างจากที่นี่คนละฟาก ไฉนเจ้าจึงวิ่งมาร้องไห้ที่นี่กัน? เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็นเรือนพำนักของใคร? ใครอยู่ที่นี่บ้าง? แค่เกี๊ยวไม่กี่อัน ก็คุ้มค่าพอให้เจ้าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หากนายหญิงใหญ่ต้องการจริงๆ ให้โรงครัวทำใหม่อีกตะกร้าก็เพียงพอแล้ว เรื่องเล็กเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่มีวิธีแก้ไขปัญหา ไม่แปลกใจที่แม่นางชิงหยวนจะไม่ชอบ แม่นางชิงหยวนเป็นสาวใช้ที่มีความสามารถที่สุดของนายท่านสาม เรื่องที่นายท่านสามออกคำสั่ง เขาสนใจเพียงผลลัพธ์ไม่ดูขั้นตอน ยามที่แม่นางชิงหยวนเพิ่งจะรับใช้ข้างกายนายท่านสามก็ไม่รู้ว่าประสบพบเจอเรื่องราวมากมากน้อยเท่าใดแล้ว กระทั่งพวกเรา ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนตามไปด้วยไม่รู้ตั้งเท่าใดเช่นกัน”
แต่เมื่อย้อนกลับมาคิด ก็เรียนรู้เรื่องราวได้ไม่น้อยจริงๆ
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าคนรับใช้ข้างกายของนายท่านสาม ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไรล้วนไม่ร้องไห้อย่างส่งเดช
ไป๋จื่อตกตะลึง
นี่แตกต่างจากที่นางคาดการณ์ไว้ ทั้งไม่เหมือนกับที่ป้าหยาง แม่นมของนายหญิงใหญ่พูด
เช่นนั้นนางจะถูกสกุลเผยขายออกไปหรือไม่?
นึกมาถึงตรงนี้ นางก็ขบริมฝีปาก รู้สึกว่าตัวเองคงจะไม่ถูกขาย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางก็เป็นคนของนายหญิงใหญ่ ไม่เห็นแก่หน้าพระภิกษุก็ควรเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป[2]สกุลเผยย่อมไม่ปฏิบัติกับนายหญิงใหญ่เช่นนั้น
แต่คนพวกนี้ก็รังแกคนเกินไป เมื่อวานนายหญิงใหญ่ก็ส่งนางไปบอกกล่าวกับทางครัวครั้งหนึ่ง ให้วันนี้นางนำเกี๊ยวเจจากโรงครัวไปมากหน่อย คนในโรงครัวกลับดูถูกดูแคลนคนอื่น พูดอะไรนะว่าถูกคุณหนูอวี้นำไปหมดแล้ว
นางนึกถึงคนในครอบครัวที่ยังรอเกี๊ยวจากนาง จึงอดร้องไห้ต่อหน้าป้าหยางขึ้นมาไม่ได้
ป้าหยางโมโหอย่างยิ่ง เสนอความคิดให้นางร้องไห้ที่นี่รอชิงหยวนออกมา ยังกล่าวว่า
หากชิงหยวนออกหน้าให้นาง ย่อมพานางไปโรงครัวให้คนจุดเตาทำเกี๊ยวใหม่ให้นางอีกตะกร้า หากชิงหยวนไม่ยินดีออกหน้าให้นาง ก็ให้ตัวเองกลับมาแต่โดยดีเสีย
แต่ยามนี้ชิงหยวนต้องการให้ป้าหยางมาพานางไป เรื่องครั้งนี้นางทำถูก? หรือทำผิดกันแน่?
ไป๋จื่อใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ทำอะไรไม่ถูกไปหมด
————————–
[1]ไห่ถัง เป็นผลไม้ตระกูลแอปเปิ้ล มีผลสีแดง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน
[2]ไม่เห็นแก่หน้าพระภิกษุก็ควรเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป อุปมาว่าอย่างไรก็ควรไว้หน้าบ้าง