ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 257 ข่าวร้าย
ผู้ที่ไปหังโจวกับเผยเยี่ยนด้วย ยังมีโจวจื่อจินอีกคน
โจวจื่อจินกับสกุลจางมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันไม่เบา
บิดาของเขาเคยเป็นสหายร่วมชั้นกับสหายขุนนางกับจางอิงมาก่อน ภายหลังเพราะเรื่องที่จางอิงล้มฮองเฮาจนไปล่วงเกินฮ่องเต้เข้า บิดาของโจวจื่อจินยังช่วยพาเขาหลบหนี ถึงได้รอดจากการเนรเทศไปนั่งตกปลาที่เมืองฉงโจว ตอนที่จางอิงถูกคนใส่ร้ายไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ ก็เป็นบิดาของโจวจื่อฉินอีกที่ช่วยเขาแบกหม้อใบใหญ่ ทั้งถูกยึดบรรดาศักดิ์กลายเป็นสามัญชนทั่วไป ไม่อาจรับราชการได้อีก หรือพูดได้เลยว่า ที่จางอิงมีทุกวันนี้ได้ ความชอบครึ่งหนึ่งเป็นของบิดาของโจวจื่อจิน
โชคดีที่บิดาของโจวจื่อจินเป็นคนใจกว้าง ทั้งสกุลโจวก็ร่ำรวยอู้ฟู้มาหลายรุ่น เขาหมดใจกับเส้นทางขุนนาง แต่หลังจากถูกยึดบรรดาศักดิ์ก็หาได้ย่อท้อ กลับคิดว่านับจากนี้ แผ่นดินไพศาลท้องทะเลกว้างไกล เขาสามารถเที่ยวตระเวนได้ตามใจฝัน มีอิสระไร้กฏเกณฑ์ เขาใช้เวลายี่สิบปีท่องไปทั่วแถบเหนือเมืองใต้ แม้จะอายุมากกว่าจางอิงสามปี แต่ร่างกายยังหนุ่มแน่น บัดนี้กำลังสั่งให้ลูกหลานหลายคนเขียนตำนานท่องยุทธภพ เตรียมจะทำเป็นตำราออกมา เพื่อทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมโจวจื่อจินกับเผยเยี่ยนจึงสนิทสนมกัน
เพราะเดิมพวกเขาก็นับเป็นผู้มีอำนาจที่ยืนฝั่งเดียวกันอยู่แล้ว
หากเผยเยี่ยนมีปัญหาอะไรก็ไม่คิดจะเก็บเป็นความลับต่อโจวจื่อจิน
ยิ่งกว่านั้น โจวจื่นจินยังรู้จักคนทุกสำนักไปทั่ว กับหวังชีเป่าก็เป็นสหายสนิท การเดินทางไปหังโจวครั้งนี้เขาอยากเกาะติดมาด้วย เผยเยี่ยนย่อมไม่คัดค้าน
โจวจื่อจินอ่านข้อความบนกระดาษแผ่นน้อยและถอนหายใจออกมา “เขาคิดจะทำอะไร? ใต้เท้าเสิ่นวันๆ ระวังตัวแจกลัวจะไปล่วงเกินใครเข้า อยากเกษียณราชการออกไปอย่างสงบ ข้าว่าเขาคงชอบรังแกคนอ่อนแอแต่ใจเสาะกับคนแกร่งกว่า เดี๋ยวถึงเวลานั้นเรื่องที่มั่นอกมั่นใจหนักหนาจะกลายมาเป็นปัญหาเอาได้”
เผยเยี่ยนเลิกคิ้วมอง
ตอนนั้นที่ใต้เท้าเสิ่นได้รับตำแหน่ง เป็นเพราะหลีซวิ่นกับเจียงฮวาแก่งแย่งกันอย่างดุเดือด ฮ่องเต้ทรงพิโรธ จึงแต่งตั้งใต้เท้าเสิ่นที่มีภูมิความรู้มากแต่ไร้อำนาจอย่างที่สุดขึ้นมาเป็นโซ่วฟู่แทน
นับเป็นการคานอำนาจอย่างหนึ่ง
โจวจื่อจินเอ่ยว่า “คนที่ขึ้นเป็นโซ่วฟู่ได้ จะไม่มีน้ำยาเลยรึ? ต่อให้บีบผู้อื่นจนตายแล้วได้เลื่อนขั้น นั่นก็นับเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง! อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่ต้องมีนิสัยถ่อมตัวมากแน่ ไม่อย่างนั้นจะแบกรับอารมณ์มากมายได้อย่างไรไหว? ต้องรู้ไว้ด้วยว่า การเป็นที่รองรับอารมณ์แต่ไร้ซึ่งอารมณ์โกรธนั้น ใช่ว่าใครหน้าไหนก็จะทำได้”
จุดนี้เผยเยี่ยนเห็นด้วยกับเขา
เขาไตร่ตรองเล็กน้อย เอ่ยว่า “เช่นนั้นปัญหานี้ พวกเราควรจัดการอย่างไรดี?”
เผยเยี่ยนมิใช่คนไร้ความคิด เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงสกุลจาง จางอิงมีท่าทีอย่างไรพวกเขายังไม่รู้ แล้วเขาจะช่วยสกุลจางตัดสินใจได้หรือ?
โจวจื่อจินถอนหายใจ “อย่างไรก็ต้องส่งจดหมายไปแจ้งใต้เท้าเสิ่นก่อน จะว่าไปแล้วใต้เท้าเสิ่นก็เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ก่อนข้าอยู่ที่สำนักฮั่นหลิน เคยได้รับความคุ้มครองจากเขา แล้วเรื่องที่เกาโหยวอีก เดิมก็เพราะต้องการซุกซ่อนคดีขององค์ชายสาม หากว่าตอนนี้ซุนเกาโพล่งเรื่องนี้ออกไป เขาคิดจะเก็บกวาดอย่างไรเล่า? เขาไม่กลัวจะไปยั่วโทสะฮ่องเต้เข้ารึ? หรือว่า เขาอาจมีแผนสำรองไว้แล้วก็ได้?”
เผยเยี่ยนก็ไม่กระจ่างเช่นกัน แต่เขามีความคิดบางอย่างที่ผู้อื่นคาดไม่ถึง เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “หรือพวกเราจะเชิญกู้เจาหยางไปด้วยดี? เรื่องอาจารย์สำนักเขา ต้องให้อาจารย์ของเขาคลี่คลายเองถึงจะถูก”
กู้เจาหยางดวงไม่ดี ถึงได้ไปพัวพันกับอาจารย์อย่างซุนเกา เขาอยากจะรักษาระยะห่างกับซุนเกาอยู่ตลอด น่าเสียดายที่ไม่เคยสำเร็จ
ไม่แน่ครั้งนี้กู้เจาหยางอาจจะใช้คดีที่เกาโหยวมาทำให้ตัวเองรอดพ้นจากเรื่องนี้จริงๆ ก็ได้
โจวจื่อจินรู้ว่าเผยเยี่ยนพยายามบอกใบ้ เขาอ้าปากหัวเราะ แล้วหันไปกะพริบตาปริบๆ ใส่เผยเยี่ยน เอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายกลัวว่าใต้หล้าจะสงบเกินไป “ข้าว่าความคิดนี้ไม่เลว! พวกเราสามารถใช้โอกาสนี้โยนบาปให้กู้เจาหยาง ให้คนอื่นคิดว่าพวกซุนเกาหันดาบใส่กันเอง” พูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงวิธีการ ‘เหนือเทพ’ ของเผยเยี่ยนขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยว่า “เจ้าบอกความจริงข้ามา เจ้าคิดออกได้อย่างไรว่าเผิงอวี่กำลังจ้องตำแหน่งของศิษย์พี่อยู่ ข้าคิดหลายตลบแต่ก็ยังคิดไม่ออก หากพูดว่าเผิงอวี่คิดตะครุบตำแหน่งของผู้อื่น ข้าก็เชื่ออยู่ แต่ว่าศิษย์พี่เป็นหลานชายคนโตของบ้านหลักสกุลจาง ท่านลุงจางบัดนี้ยังจิตใจฮึกเหิม เขาไม่กลัวว่าคนสกุลจางจะโจมตีกลับรึ? อีกอย่างหลายวันก่อนเผิงอวี่ก็เพิ่งไปเยี่ยมคารวะท่านลุงจาง คิดอยากจะสู่ขอคุณหนูจากสกุลจางให้บุตรชายคนโตของตัวเอง…”
หากไม่ได้ ‘ความฝัน’ ของอวี้ถัง เผยเยี่ยนย่อมไม่มีทางนึกออกอยู่แล้ว
แต่เรื่องแบบนี้จะอธิบายแก่โจวจื่อจินให้ชัดเจนได้อย่างไร
เขาไม่กลัวผู้อื่นนินทาว่าร้าย แต่ไม่ต้องการให้อวี้ถังถูกมองด้วยสายตาประหลาด
เผยเยี่ยนตอบอย่างคลุมเครือว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าสกุลเผิงเคลื่อนไหวแปลกๆ เลยอยากป้องกันไว้ก่อน จะบอกว่าจับพลัดจับผลูไปเจอความเคลื่อนไหวของเกาซุนก็ยังได้”
โจวจื่อจินไม่ได้เอะใจ
บางเวลา สัญชาตญาตของบางคนยังแม่นยำยิ่งกว่าการคาดเดาและคาดการณ์เสียอีก
เผยเยี่ยนยิ่งเป็นคนมากแผนการ สัญชาตญาณของเขาย่อมจะฉับไวกว่าผู้อื่น
โจวจื่อจินเป็นพวก ‘คึกเกินเหตุ’ แม้ไม่มีเรื่องก็ต้องก่อเรื่องขึ้นมาให้ได้ ยากนักกว่าจะเห็นเผยเยี่ยนออกอุบายสักครั้ง เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ตบอกตนเองด้วยความฮึกเหิมว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงกู้เจาหยางเอง บอกให้เขามาที่หังโจว”
มีโจวจื่อจินคอยช่วยเหลือ เรื่องราวจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น
เผยเยี่ยนพยักหน้า แล้วพูดถึงเรื่องหวังชีเป่าขึ้นมาว่า “ข้าว่าเขามาเพราะเรื่ององค์ชายรอง เรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก ประเด็นหลักคงอยากมาดูท่าทีของสกุลใหญ่ในแถบเจียงหนานมากกว่า ข้าคิดว่าเราควรทำตามที่อาจารย์บอก รักษาจุดยืนเป็นกลางเอาไว้ จะสนใจทำไมว่าใครได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบถึงผลประโยชน์ของเราก็พอแล้ว” จากนั้นเขาก็หันไปยิ้มกับโจวจื่อจินอย่างแฝงความนัย “หากซุนเกาจุดประเด็นขึ้นมาตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน กู้เจาหยางมิได้บอกว่าเขามีหลักฐานในมือรึ? ไม่ว่าจะจริงหรือหลอก ข้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องผลักเรื่องนี้ไปให้ซุนเกาให้ได้ หลายปีนี้เขากระโดดไปทางโน้นทีทางนี้ที ทำให้คนรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก”
โจวจื่อฉินยิ้มพรายพลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดเหมือนกับข้า รอตอนที่เจ้าไปพบหวังชีเป่า ข้าคงไม่ตามไปแล้ว เจ้าก็ถือโอกาสนี้เปิดใจกับเขา ดูสิว่าเขามีแผนอะไรกันแน่ พวกเราก็รับปากไปตรงๆ เสียว่ายินดีช่วยเขา ดีกว่าไล่ให้เขาไปกว่างโจวต่ออีก เถาชิงมิได้อยู่ที่หลินอันรึ? ข้าเขียนจดหมายให้กู้เจาหยาง เจ้าก็เขียนถึงเถาชิงด้วย ข้ารับผิดชอบซุนเกา ส่วนเจ้ารับผิดชอบหวังชีเป่า รีบจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ปีนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดครบหกสิบห้าปีของท่านลุงจาง ท่านพ่อวางแผนว่าจะไปเมืองหลวงด้วยกันกับข้า ข้าต้องคอยรับใช้ตาเฒ่าเข้าเมืองหลวงอีก! อย่าหาเรื่องให้ตัวเองต้องติดแหง็กอยู่กับเรื่องนี้เด็ดขาด”
งานวันเกิดของจางอิงจะจัดขึ้นช่วงเดือนสิบสอง
เผยเยี่ยนกับโจวจื่อจินหารือกันเรื่องรายละเอียดต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นก็กลับห้องไปจัดการธุระตัวเอง
ใครจะคิดว่าพอตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เจียงซีทางนั้นให้ม้าเร็ววิ่งมาส่งข่าว บอกว่าตอนที่จางเซ่าไปลาดตระเวนแถวจิ่วเจียงช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิ คนโชคร้ายพลัดตกน้ำและจมน้ำตายไปแล้ว
เผยเยี่ยนคลุมผ้าคลุมไหล่เอนหลังพิงหัวเตียง ครึ่งค่อนวันยังเรียกสติกลับมาไม่ได้
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
จางเซ่าเป็นบุตรชายคนโตของจางอิง เป็นผู้สืบทอดของสกุลจาง
คน อย่างไรก็ต้องตายไปสักวันอยู่แล้ว
แต่เผยเยี่ยนคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจางเซ่าจะตายจากไปเช่นนี้
“ใต้เท้าจางจมน้ำตายจริงรึ?” เผยเยี่ยนเบิกตาโต อ่านทวนจดหมายตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดอีกรอบ พลางเอ่ยถามเผยชีที่ถือจดหมายเข้ามา
เผยชีรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ สีหน้าเขาเคร่งเครียดมาก “ข้าถามถี่ถ้วนแล้ว เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เดิมไม่ได้วางแผนจะใช้เส้นทางจิ่วเจียงทางนั้น เป็นใต้เท้าจางที่เปลี่ยนใจกะทันหัน คนที่ตกน้ำด้วยกันยังมีอาจารย์ของใต้เท้าจางอีกคน ท่านข้าหลวงจิ่วเจียงตกใจแทบเป็นลม เขาหารือกับที่ปรึกษาทั้งคืน ไม่รู้ว่าจะรายงานต่อท่านผู้เฒ่าจางอย่างไรดี จึงได้เขียนจดหมายมาหาท่านกับใต้เท้าเจียงก่อน…”
เผยเยี่ยนเป็นศิษย์สายตรงในสำนัก เป็นเหมือนบุตรชายคนสุดท้องที่ได้รับความโปรดปรานมากสุด ปัจจุบันเจียงฮวาเป็นลูกศิษย์ของจางอิงที่มีเส้นทางขุนนางสว่างไสวเหนือใคร เขาเป็นเฉกบุตรชายคนโต เมื่อท่านข้าหลวงจิ่วเจียงรู้สึกอับจนหนทาง แน่นอนว่าต้องคาดหวังให้คนทั้งสองช่วยเขาออกหน้าแบกรับไว้
เผยเยี่ยนอ่านจดหมายแผ่นนั้นอีกรอบ ในสมองพลันเกิดเสียง ‘ปัง’ ระเบิดไปทั่ว
ก่อนหน้านี้คุณหนูอวี้มีพูดถึงผู้ตรวจการเจียงซี บัดนี้เรื่องราวทุกอย่างอาจตรงกันแล้วก็ได้
หากเป็นเวลาปกติ เผิงอวี่คงไม่กล้าแตะต้องสกุลจาง แต่ตอนนี้ จางเซ่าจากไปอย่างกะทันหัน ตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซีว่างลงแล้ว ทุกคนคงพร้อมใจกันโจมตี คิดหาทุกวิถีทางคว้าตำแหน่งนั้นมาให้ได้
หากว่าคุณหนูอวี้ไม่ได้เอ่ยเตือนไว้ก่อน อาจารย์เฒ่าย่อมเอาแต่โศกเศร้าเสียใจ พวกเขาที่เป็นทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้อง คงไปรุมปลอบใจคนที่มีชีวิตอยู่ต่อ สาละวนกับพิธีส่งศพของจางเซ่า วุ่นวายจัดการธุระของคนตาย ไหนเลยจะมีเวลาสนใจว่าใครจะมารับตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซีต่อ
อีกอย่างในสายตาของคนสกุลจางก็ดี ในสายตาของเขาก็ดี แม้ตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซีจะสำคัญ แต่ก็ไม่ได้มากพอถึงขั้นว่าต้องจัดการให้เป็นคนของตัวเองให้ได้
เส้นทางขุนนางเต็มไปด้วยอุบายลวงหลอก ข้าราชการถูกโยกย้ายสับเปลี่ยนเป็นประจำ ใครได้นั่งตำแหน่งไหน ก็ต้องพึ่งโชคชะตาด้วยส่วนหนึ่ง
แต่จากที่คุณหนูอวี้พูดไว้ เพราะว่าเผิงอวี่ได้เป็นผู้ตรวจการเจียงซี สกุลหลี่กับสกุลหลินที่ดองกับสกุลหลี่นั้นถึงได้ซื้อที่นาแถบเจียงซี แล้วเริ่มทำกิจการค้าขายธัญพืชตามสกุลเผย
นี่เท่ากับว่าสกุลเผยเป็นคนถางทาง ส่วนพวกเขาก็ตามมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้วย
หากว่าสองสกุลมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็แล้วไปเถอะ แต่ภายให้สถานการณ์ที่สกุลหลี่พยายามทำทุกทางเพื่อขึ้นมาแทนที่สกุลเผย สกุลเผยยังกรุยทางพาพวกเขาร่ำรวยไปด้วย เผยเยี่ยนยอมรับว่าเขามิได้เป็นคนดีและมีน้ำใจถึงเพียงนั้น
เขาเพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกของอวี้ถังว่าทำไมถึงคอยเอาแต่จับตาดูสกุลหลี่อยู่ตลอด
เผยเยี่ยมสวมรองเท้าลวกๆ เดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง
ไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปยังทิศทางนั้นได้
มิแปลกที่ในฝันของอวี้ถัง หลี่ตวนถึงกลับพลิกฟื้นสกุลหลี่คืนมาได้ ส่วนสกุลเผิงก็กลายเป็นสกุลอันดับหนึ่งของฝูเจี้ยน
เผิงอวี่ได้เป็นผู้ตรวจการเจียงซี มีสิทธิ์แข่งขันกับผู้ช่วยของหกกรม และอาจจะได้เข้าหอเน่ยเก๋อร์
ทรัพยากรของเจียงหนานก็มีเพียงเท่านี้ สกุลเผิงครอบครองส่วนมากไปแล้ว ส่วนน้อยที่เหลือเป็นของพวกเขา
ยังมีสำนักตรวจสอบทางทะเลอีก
สกุลเผิงอาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจครั้งสุดท้าย ว่าจะรื้อถอนสำนักตรวจสอบทางทะเลสาขาใดแน่
หากว่ารักษาสำนักตรวจสอบทางทะเลสาขาเฉวียนโจวเอาไว้ได้ สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ตอนนี้ก็นับว่าไร้ค่าโดยสิ้นเชิง
เผยเยี่ยนเรียกเด็กรับใช้เข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนยื่นจดหมายในมือให้กับเผยชี “เอาไปให้โจวจ้วงหยวน บอกเขามากินข้าวเช้ากับข้าด้วย”
เผยชีหายตัววับไปทันที
เผยเยี่ยนเงยหน้าขึ้น มองคานไม้สีเขียวที่ใช้ผงทองวาดลายดอกพลับพลึงและดอกกล้วยบัวทองเอาไว้
เขาเดินไปหยุดใต้คานไม้นั่น
เป็นเพราะพระพุทธองค์ปกปักษ์รักษาจริงๆ น่ะรึ?!
สกุลเขาเชิญพระอาจารย์ชั้นสูงไปบรรยายธรรมที่วัดเจาหมิง จากนั้นคุณหนูอวี้ก็เริ่มฝัน
พระพุทธองค์กำลังยืมปากของคุณหนูอวี้มาบอกใบ้เรื่องในอนาคตแก่เขารึ?
หรือจะบอกว่า องค์ชายรองจะได้ครองบัลลังก์จริงๆ
เขาหวนนึกถึงเรื่องเหล่านั้นที่อวี้ถังเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด
จู่ๆ เผยเยี่ยนก็ใจหายวาบ
ตามที่อวี้ถังบอก เผิงสืออีต้องการจะฆ่านาง!
พอความคิดนี้วาบผ่าน กลางอกของเขาเหมือนถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่
“อาชีๆ!” เผยเยี่ยนตะโกนเรียกชื่อเผยชีเสียงลั่น
จ้าวเจิ้นวิ่งผลุบเข้ามาหา “อาชีไปหาโจวจ้วงหยวน ท่านมีสิ่งใดจะสั่งให้ข้าไปทำไหมขอรับ?”
———————————————————–