ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 258 ล่วงหน้า
จ้าวเจิ้นกับเผยชีต่างร่ำเรียนวรยุทธ์กับบิดาของจ้าวเจิ้น หากเทียบเพียงวรยุทธ์ แน่นอนว่าจ้าวเจิ้นเหนือกว่าเผยชี แต่เรื่องนี้มิใช่อาศัยพละกำลังเพียงอย่างเดียวแล้วจะแก้ไขได้!
เผิงสืออีกับคุณหนูอวี้ หากมิใช่เพราะพิธีบรรยายธรรม ย่อมไม่มีโอกาสได้รู้จักกันอยู่แล้ว อีกอย่าง เผิงสืออีก็มีเพียงโอกาสช่วงพิธีบรรยายธรรมเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าใกล้คุณหนูอวี้ได้
เช่นนั้น เวลานี้คุณหนูอวี้มิได้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงรึ
แม้ปากเขาจะบอกว่าเชื่อคุณหนูอวี้ แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงจดจำมันไว้ในใจบ้างแล้ว
ดังนั้น ตอนนี้คุณหนูกู้ต้องตกอยู่ในอันตราย ก็เพราะเขา!
พอเผยเยี่ยนคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ของอวี้ถัง หัวใจพลันว้าวุ่นไปหมด ฝ่ามือชุ่มด้วยเหงื่อที่ซึมออกมา
ไม่ได้!
เขาต้องคิดหาทางพาตัวเผิงสืออีออกไปให้ห่างคุณหนูอวี้ไว้
อีกอย่างสกุลเผิงมีทั้งกำลังและอำนาจ วางแผนทำสิ่งใดก็ไม่เคยไตร่ตรองถี่ถ้วน หากเขามีแผนจะทำร้ายคุณหนูอวี้จริงๆ คุณหนูอวี้จะเอากำลังจากไหนมาป้องกันตัวเอง…วิธีการที่ดีที่สุด คือต้องพาคนมาอยู่ภายใต้สายตาเขา
เผยเยี่ยนเริ่มเดินวนรอบห้องอีกครั้ง พลางพูดกับจ้าวเจิ้นว่า “เจ้าไปเรียกเผยชีมา บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญมากให้เขาทำ”
จ้าวเจิ้นเกาศีรษะแกรกๆ
เผยเยี่ยนเป็นคนเด็ดขาด วาจาที่พูดออกไปถือว่าคำไหนคำนั้น แต่ไรก็ไม่เคยย้อนแย้งกันเองเช่นตอนนี้
นายท่านสามเป็นอะไรไปรึ?
เขาไม่เข้าใจ แต่ก็ออกไปตามหาเผยชีอย่างเชื่อฟัง
โจวจื่อจินเห็นจดหมายที่เผยชีส่งมาให้ก็ตกใจจนเหงื่อเย็นซึมทั้งร่าง ไม่ทันสนใจจะเปลี่ยนเสื้อผ้า มือกำจดหมายแน่นแล้วลากรองเท้าวิ่งไปหาเผยเยี่ยนทันที
สองคนเจอกันตรงกลางทาง โจวจื่อจินไม่รอให้จ้าวเจิ้นเปิดปากก็สั่งทันทีว่า “เจ้าไปเตรียมรถม้าให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเมืองหลวง!”
สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ย่อมวุ่นวายเละเป็นโจ๊กแน่ เขาต้องกลับไปช่วยเหลืออีกแรง และหากว่าจำเป็น เขาก็จะไปเจียงซีเพื่อรับโลงศพของจางเซ่ากลับเมืองหลวงด้วย
บุตรชายคนโตของจางเซ่าปีนี้อายุได้แค่เจ็ดขวบ ยังเป็นแค่เด็กที่ไม่รู้ประสาคนหนึ่ง!
ความคิดวิ่งผ่านเข้ามาในสมองของโจวจื่อจิน หางตาของเขารื้นชื้น
รอจนเขาได้เจอเผยเยี่ยน ก็เอ่ยถามตรงๆ ไม่หลบเลี่ยงว่า “สยากวง เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? ที่เจ้าตามสืบเผยอวี่ เพราะคาดการณ์ได้แต่ต้นแล้ว ทว่าไม่มีหลักฐานถึงได้ปิดปากเงียบรึ? ยังมีตาเฒ่าจางอีกคน เจ้าจะไปเมืองหลวงกับข้าด้วยหรือไม่? ”
ตอนที่เผยเยี่ยนออกจากเมืองหลวงเขาได้เอ่ยคำสาบานเอาไว้ ว่าชีวิตนี้จะไม่ย่างเท้าไปเหยียบเมืองหลวงอีก
เขาหลุบตาลงแน่น
โจวจื่อจินพลันเข้าใจทันที
เขายิ้มขื่นพลางเอ่ยว่า “ให้เจ้ากลับไปนับว่าสร้างความลำบากให้เจ้า แต่ว่าตาเฒ่าจางรักเจ้ามากที่สุด เจ้าเขียนจดหมายไปหาตาเฒ่าจางสักฉบับเถอะ ตอนเข้าเมืองหลวงข้าจะนำติดตัวไปด้วย”
เผยเยี่ยนพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า แล้วสั่งจ้าวเจิ้นไปบอกชูชิง ให้เขาติดตามโจวจื่อจินไปเมืองหลวงเพื่อแสดงความห่วงใยตาเฒ่าจางแทนเขา และรั้งตัวอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยงานอีกแรง รอให้งานศพจางเซ่าครบสามสิบห้าวันแล้วค่อยกลับมา
จ้าวเจิ้นรับคำแล้วจากไป ยังไม่ทันได้ออกจากประตูห้อง ก็ถูกเผยเยี่ยนเรียกกลับมาอีกรอบ เขาลังเลอยู่พักใหญ่ถึงเอ่ยว่า “เจ้าก็ตามชูชิงไปเมืองหลวงด้วยกันเลย ช่วยข้าสืบข่าวเรื่องหลี่ตวน”
คดีฟ้องร้องของสกุลหลี่ยังไม่สิ้นสุด เขากับน้องชายหลี่จวิ้นยังคอยช่วยหลี่อี้สะสางธุระอยู่ที่เมืองหลวง
เผยเยี่ยนรู้สึกพะว้าพะวังใจนัก
อวี้ถังฝันว่าเพราะเผิงสืออีกับหลี่ตวนทะเลาะกัน ถึงได้มีเจตนาคิดฆ่าคน เช่นนั้นหลี่ตวนก็ต้องอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เขาต้องการแน่ใจว่าตอนนี้หลี่ตวนคนอยู่ที่ไหนกันแน่!
เผยเยี่ยนสั่งการเผยชีว่า “เจ้ากลับไปที่วัดเจาหมิง สืบดูว่าเผิงสืออีกำลังทำอะไร จากนั้นคิดหาวิธีพาตัวคุณหนูอวี้มาที่เมืองหังโจว”
หากทำเช่นนี้ ข้างการเผยเยี่ยนก็จะไม่มีคนเหลือ
พวกชูชิงต่างพากันประหลาดใจ
โจวจื่อจินเอ่ยเสียงเข้มด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมีอารมณ์เชิญคุณหนูอวี้มาอีก?”
วาจานี้ออกจะกล่าวหนักเกินไปหน่อย
อย่างเบากระทบต่อชื่อเสียงคุณหนูอวี้ อย่างหนักทำให้คนเข้าใจผิดว่าเขากับคุณหนูอวี้มีสัมพันธ์ส่วนตัวต่อกัน
สีหน้าของเผยเยี่ยนย่ำแย่มาก “พี่โจวท่านนี้ รบกวนท่านพูดจาระวังปากด้วย ข้าเป็นคนที่ไม่รู้จักขอบเขตเพียงนั้นรึ? ข้าไม่เพียงรู้สึกว่าเผิงอวี่มีท่าทีผิดสังเกต แต่คุณหนูอวี้ทางนั้นก็ไม่ปลอดภัย ข้าไม่อาจอธิบายเหตุผลให้เจ้าฟังได้ แต่เรื่องเผิงอวี่อีกไม่นานก็จะพิสูจน์ได้แล้ว ตอนนี้ข้าเป็นห่วงเรื่องคุณหนูอวี้มากกว่า”
โจวจื่อจินไม่ได้สงสัยในตัวเผยเยี่ยน
หากเผยเยี่ยนรู้แต่แรกว่าจะเกิดเรื่องกับเผยเซ่า เขาย่อมจะทำทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเผยเซ่าเอาไว้
ปกติเขาเป็นพวกเฮฮาบ้าบอ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องยอมรับผิดก็ไม่เคยเลอะเลือนเลยสักครั้ง
เผยเยี่ยนรู้สึกว่าตอนนี้ข้างกายเขาฝั่งหนึ่งคืออวี้ถัง อีกฝั่งคือสกุลจาง สองฝั่งล้วนทำให้เขากังวลใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่าตนมีกำลังไม่พอดั่งใจหวังเลย
“พี่โจวต้องการนำสิ่งใดไปเมืองหลวงอีกบ้าง? ข้าจะให้คนไปเตรียมเดี๋ยวนี้” เขาคิดแค่อยากคลี่คลายเรื่องสกุลจางให้จบ แล้วค่อยไปจดจ่อแก้สถานการณ์อันตรายที่คุณหนูอวี้กำลังเผชิญต่อ
โจวจื่นจินส่ายหน้า “ขาดเหลืออะไรไปถึงเมืองหลวงค่อยหาเพิ่มก็ได้ ข้าเตรียมรถม้าเอาไว้แล้ว อีกเดี๋ยวจะออกเดินทาง”
เผยเยี่ยนพยักหน้า ตอนที่จ้าวเจิ้นจะจากไปก็สั่งให้ไปรับตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงจากเถ้าแก่รองถงเพื่อมอบให้โจวจื่อจิน “ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เมืองหลวงเป็นอย่างไร พกเงินไปมากหน่อยไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
โจวจื่อจินเชื่อเผยเยี่ยน เขาเกลียดชังสกุลเผิงนัก คิดว่าสกุลเผิงรังแกและเหยียบย่ำซ้ำเติมสกุลจางตอนที่ไม่มีใคร เขาร้องเหอะแล้วเอ่ยว่า “สยากวง เรื่องนี้ข้าจัดการเองคนเดียวได้ ข้าหยิบเงินจากเจ้าทางนี้ไปห้าหมื่นตำลึงก่อน ตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซี อย่าให้สกุลเผิงแตะต้องได้เด็ดขาด”
นี่ตรงกับความต้องการของเผยเยี่ยนพอดี
เขาให้จ้าวเจิ้นไปรับตั๋วเงิน แล้วเอ่ยเสียงเบากับโจวจื่อจินว่า “เพื่อศิษย์พี่จาง ข้าซื้อที่นาแถบเจียงซีไว้ผืนหนึ่ง สิ่งที่ศิษย์พี่จางต้องการ คือถึงเวลานั้นให้เอาธัญพืชไปแลกกับใบอนุญาตค้าเกลือ ข้าทางนี้หมดเงินไปสองแสนตำลึง และไม่ต้องการให้ใครคว้ากำไรไปเด็ดขาด”
ตอนที่โจวจื่อจินทำตัวเป็นผู้เป็นคน เขาจะปราดเปรื่องยิ่งกว่าใครๆ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่มีสิทธิ์คุยโม้โอ้อวดไปทั่ว
เขาหรี่ตาลง ไม่เชื่อสักนิดว่าจางเซ่าตกน้ำเพราะอุบัติเหตุ เอ่ยเสียงเย็นเยียบขึ้นมาว่า “เจ้าวางใจได้ ไม่ว่าใครจะได้นั่งตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซี แต่คนผู้นั้นไม่มีทางเป็นคนของสกุลเผิงหรือซุนเกาแน่”
เรื่องที่ให้โจวจื่อจินจัดการนั้น เผยเยี่ยนสามารถสบายใจได้
เขาพูดต่อว่า “กู้เจาหยางทางนั้น ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าแล้วกัน”
โจวจื่อจินตอบ “อืม” มาหนึ่งเสียง ก่อนจะหยิบตั๋วเงินแล้วจากไปพร้อมกับจ้าวเจิ้น
เผยชีทางนั้นพอได้รับคำสั่งของเผยเยี่ยน ก็เร่งเดินทางไปวัดเจาหมิง
พวกกู้เจาหยางกำลังต้อนรับเว่ยซานฝูอยู่ เผยชีจึงตรงไปหาอวี้ถังก่อน
อวี้ถังอ่านจดหมายจบก็ประหลาดใจมาก เป็นนานที่เงียบเสียงไม่พูดจา เผยชียังต้องไปส่งจดหมายให้กู้เจาหยางอีก จึงหันไปส่งสายตาให้ชิงหยวน ชิงหยวนเองก็จนปัญญา ได้แต่รวบรวมความกล้าก้าวออกไป เอ่ยกับอวี้ถังด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านสามว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ? มีเรื่องใดให้ข้าช่วยหรือไม่?” อวี้ถังถึงได้ร้อง “ฮะ” แล้วพับจดหมายเก็บ ก่อนจะเอ่ยอย่างใจลอยว่า “ไม่มีอะไร นายท่านสามบอกให้ข้าไปหังโจว พิธีบรรยายธรรมทางนี้ยังไม่จบ ข้าต้องไปบอกท่านแม่สักคำก่อน…” คิ้วนางขมวดมุ่น คล้ายกลุ้มใจเล็กน้อย
เผยเยี่ยนบอกว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง ให้นางเดินทางไปเมืองหังโจว
นางเชื่อว่าเผยเยี่ยนไม่มีทางทำไปโดยไร้จุดหมายแน่ แต่นางจะพูดกับบิดามารดาว่าอย่างไรดี?
ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม นางพลันนึกถึงคุณหนูสวีขึ้นมาได้
บางที อาจไปพร้อมกับคุณหนูสวี?
นางถามเผยชีว่า “นายท่านสามบอกหรือไม่ว่าให้ข้าไปเมื่อไร?”
เผยชีรีบตอบ “ให้ท่านไปโดยเร็วที่สุดขอรับ”
อวี้ถังถามต่อว่า “นายท่านสามยังสั่งเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
เผยชีเอ่ยว่า “สั่งให้ข้าไปตามดูนายท่านเผิงสืออีว่าหลายวันนี้ทำอะไรบ้าง? และถ้านายท่านเผิงสืออียังอยู่ที่หลินอัน ก็ให้ไล่เขาออกไปขอรับ”
เผยเยี่ยนกำลังพิสูจน์ความจริงเรื่อง ‘ความฝัน’ ของนาง?
ดังนั้นเขาถึงได้เป็นห่วงว่านางจะตกอยู่ในอันตราย และต้องการให้นางไปอยู่ข้างกายเขา?
อวี้ถังเม้มปากแน่น
มีเพียงนางที่รู้ว่าชาติก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของตน วิธีที่่จะหลบเลี่ยงหลี่ตวนมีมากมาย นางอยากรู้มากกว่าว่าสกุลเผิงเล่นลูกไม้อะไร ถึงทำให้เผยเยี่ยนรู้สึกว่านางกำลังตกอยู่ในอันตราย
นางได้โอกาสใช้ชีวิตทั้งสองชาติมาอย่างยากลำบาก นางจึงต้องรักษาโอกาสของตนไว้อย่างดีที่สุด
อวี้ถังนิ่งตรองดู ตัดสินใจว่าจะไปหาคุณหนูสวีเพื่อถามว่านางจะเดินทางไปหังโจวเมื่อไร “ข้าไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว อยากจะเดินทางไปพร้อมกับเจ้าด้วย”
คุณหนูสวีประหลาดใจและยินดีมาก นางเอ่ยว่า “เจ้าไปเมืองหังโจวได้จริงรึ? เช่นนั้นอยากจะเดินทางให้เร็วหน่อยหรือไม่? พิธีบรรยายธรรมทางนี้ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ คุณหนูหกสกุลซ่งก็ลอยไปลอยมาอยู่หน้าข้าไม่เว้นวัน แค่เห็นก็รำคาญใจจะแย่ ข้าจะไปพูดกับนายหญิงสามเดี๋ยวนี้เลย พวกเราจะได้ออกเดินทางไปหัวโจวเร็วๆ”
อวี้ถังตอบตกลง จากนั้นก็ขอร้องคุณหนูสวีว่า “หากว่ามารดาข้าถาม เจ้าก็บอกว่าเจ้าเชิญข้าไปนะ”
คุณหนูสวีทำเรื่องพรรค์นี้มานักต่อนัก นางยิ้มร่าแล้วพยักหน้าส่งให้อวี้ถัง พร้อมเอ่ยว่า “รอดูข้าได้เลย”
เสร็จจากทางนี้อวี้ถังจึงไปแจ้งต่อบิดามารดา
อวี้เหวินคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนสกุลเฉินมองว่าจังหวะไม่ค่อยดีนัก
ครั้งนี้สกุลอู๋กับสกุลเว่ยติดหนี้บุญคุณสกุลอวี้ จึงวางตัวสนิทสนมกับสกุลอวี้ยิ่งกว่าเก่า คนสกุลเฉินต้องการใช้โอกาสนี้มองหาคู่หมายที่เหมาะสมให้อวี้ถัง นางยังวางแผนไว้อีกว่ารออวี้ถังหายดีแล้วจะพานางไปเดินเล่นให้ทั่ว แต่ถ้าต้องไปหังโจว ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสเช่นนี้อีก สุดท้ายคนสกุลเฉินก็ไม่อาจเอาชนะอวี้เหวินได้ อวี้เหวินสะบัดมือทีเดียว ก็ควักเงินให้อวี้ถังถึงห้าสิบตำลึง
คนสกุลเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
คุณหนูสวีทางนั้นกำลังเถียงกับนายหญิงสามเรื่องที่จะไปเที่ยวเล่นที่เมืองหัวโจวกับอวี้ถัง “ข้าวของทางนี้ไม่เห็นมีอะไรน่าซื้อ นายหญิงใหญ่สกุลเผยวันๆ ก็เอาแต่มาเปิดใจกับท่าน ข้าเห็นแล้วยังเหนื่อยแทน เผยสยากวงอยู่ที่หังโจวพอดี พี่รองอินไปถึงหังโจวแล้วย่อมต้องไปพบเผยสยากวงแน่ คนอย่างเผยสยากวงไปที่ไหนก็ไม่ยอมให้ตัวเองต้องขาดทุนหรอก พวกเราสามารถไปแย่งข้าวบ้านเขากินพร้อมกับพี่รองอินได้”
นายหญิงสามสกุลหยางคิดว่านางพูดมีเหตุผล จึงตัดสินใจลงเขาไปพร้อมกับอวี้ถังด้วย
อวี้ถังไปคารวะและบอกลาท่านแม่เฒ่าสกุลเผย
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยถามอย่างใคร่รู้ว่า “ไม่ได้บอกหรือว่าให้เจ้าไปเพราะเรื่องอะไร?”
อวี้ถังเดาเอาเองว่า เผยเยี่ยนคงคิดว่าวัดเจาหมิงมีคนมากหน้าหลายตา กลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับนางขึ้น จึงอยากจะพาคนไปอยู่ในสายตาถึงจะวางใจลงได้
ใบหูของนางร้อนฉ่า ละอายเกินกว่าที่จะอธิบายให้ท่านแม่เฒ่าฟัง เพียงตอบไปว่า “บอกแค่มีเรื่องด่วน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถอะ!” ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเดาว่าตอนนี้เผยเยี่ยนคงไปพบหวังชีเป่ามาแล้ว ที่เรียกตัวอวี้ถังไปอาจมีเรื่องอะไรจริงๆ ก็เป็นได้
นายหญิงสามสกุลหยางหน่ายใจกับนายหญิงใหญ่สกุลเผย พอได้ยินวาจาของคุณหนูสวี ก็ตัดสินใจออกจากเมืองหลินอันล่วงหน้าทันที
คุณหนูสวีกับนายหญิงสามสกุลหยางต่างก็ตามมาบอกลาท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเช่นกัน
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยอยากจะรั้งตัวนายหญิงสามสกุลหยางให้อยู่เที่ยวเล่นที่หลินอันสักหลายวัน นายหญิงสามสกุลหยางกลับอ้างว่าที่หังโจวยังมีธุระที่ต้องไปจัดการ มาครานี้ไม่อาจอยู่หลินอันนานเกินไป
นางเร่งอวี้ถังให้รีบออกเดินทาง สั่งให้นายหญิงรองไปส่งนางกับคุณหนูสวีและนายหญิงสามสกุลหยางที่รถม้าด้วยตนเอง
เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม เหล่าสตรีในศาลาเทศนาธรรมต่างก็รู้กันทั่วว่าอวี้ถังเดินทางเป็นเพื่อนคุณหนูสวีไปที่เมืองหังโจวด้วย
———————————————————–