ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 260 ฟังเข้าใจ
อวี้ถังกับคุณหนูสวีแยกกันที่หน้าประตูเรือน ตอนที่นางเดินเข้าลานไปก็เห็นชิงหยวนยืนหน้านิ่งอยู่ใต้ชายคาเรือนหลัก กำลังคุยอะไรบางอย่างกับเด็กรับใช้ตัวจ้อย
นางนิ่งคิดแล้วเดินเข้าไปหา ได้ยินชิงหยวนกำลังถามเด็กชายว่า “สรุปก็คือ โจวจ้วงหยวนเร่งเดินทางไปเมืองหลวงตั้งแต่เช้าเมื่อวาน?”
เด็กชายคนนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาหมิง รูปร่างค่อนข้างผอม เขาฟังแล้วก็รับคำว่า “ขอรับ” อย่างนอบน้อม พลางเอ่ยว่า “ไม่เพียงโจวจ้วงหยวนที่ไปเมืองหลวง ยังมีท่านชูและพี่จ้าวก็ไปเมืองหลวงด้วยพร้อมกัน ส่วนพี่ชี ได้ยินว่าอีกสองวันก็จะตามไปขอรับ ข้างกายนายท่านสามไม่มีคนให้เรียกใช้ ดังนั้นถึงเรียกเถ้าแก่รองถงมา หากใต้เท้ากู้เข้ามาพักอีกคน แล้วจะส่งใครไปคอยดูแล? เถ้าแก่รองถงบอกว่า ให้มาถามพี่ชิงหยวนดูขอรับ”
ชิงหยวนขมวดคิ้ว นางหันมาเห็นอวี้ถังพอดี จึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแล้วคารวะอวี้ถังอย่างนบนอบ “คุณหนูกลับมาแล้ว! ทิวทัศน์ในคฤหาสน์ถูกใจหรือไม่เจ้าคะ? วันนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง รอให้ว่างแล้วข้าค่อยพาคุณหนูไปเดินให้ทั่ว มีหลายสถานที่น่าสนใจมากเชียวเจ้าค่ะ”
อวี้ถังหัวเราะแลัวพยักหน้ารับ
เด็กชายเข้ามาคารวะนาง เรียกตนเองว่า ‘อาฉา’ เป็นหนึ่งในเด็กรับใช้ของเผยเยี่ยน
อวี้ถังได้ยินชื่อของอาฉาก็เดาออกทันที
นางถามชิงหยวนว่า “มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
ชิงหยวนหัวเราะ “คุณหนูไม่ต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้หรอกเจ้าค่ะ หากข้าไม่ไหว ก็ยังมีเถ้าแก่รองถงอีกคน หากว่าเถ้าแก่รองถงไม่ไหว ก็ยังมีนายท่านสามอีก ท่านแค่เที่ยวเล่นที่นี่สักหลายวัน จากนั้นค่อยตามพวกเรากลับเมืองหลินอันก็พอ”
อวี้ถังไม่อยากคิดเข้าข้างตนเอง แต่คิดว่า ‘พวกเรา’ ที่ว่านั่น มีเผยเยี่ยนรวมอยู่ด้วย
นางเอ่ยว่า “โจวจ้วงหยวนกลับเมืองหลวงไปเพราะเรื่องใดรึ? เหตุใดท่านชูถึงติดตามไปด้วยล่ะ”
ชิงหยวนตอบว่า “เรื่องนี้ต้องถามนายท่านสาม ข้าไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ”
อวี้ถังส่งยิ้มให้ แล้วหมุนกายเข้าห้องไป
พอถึงช่วงบ่าย นางก็ได้ยินว่ากู้เจาหยางเข้ามาพักที่นี่ด้วย
หมายความว่า หลังจากนางออกมา กู้เจาหยางก็เดินทางตามมาติดๆ กันเพื่อมายังเมืองหังโจว
ความรู้สึกที่นางมีต่อกู้เจาหยางค่อนข้างซับซ้อน นางไม่ชอบที่เขาเป็นพี่ชายของกู้ซี แต่ค่อนข้างอิจฉากับความรักที่เขามีให้กับกู้ซีผู้เป็นน้องสาว
อวี้ถังถามผิงชิงว่า “รู้ไหมว่าใต้เท้ากู้มาทำอะไรที่หังโจว?”
ชิงผิงหัวเราะ “จะให้ข้าไปสืบไหมเจ้าคะ?”
อวี้ถังอยากจะรู้เรื่องนี้อยู่จริงๆ
นางมีลางสังหรณ์ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น และคนจำนวนมากยังไม่รับรู้
อวี้ถังหยิบเงินก้อนน้อยจำนวนหนึ่งให้เป็นรางวัล บอกกับนางว่า “ให้เจ้าไว้ใช้ระหว่างสืบความ”
หรือจะบอกว่าอย่างไรก็ต้องสืบเรื่องให้กระจ่างให้จงได้
ชิงผิงไม่อาจปฏิเสธ นางไปหาชิงหยวนก่อนเป็นอันดับแรก “พี่สาว ท่านว่าเรื่องนี้ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
ชิงหยวนถอนหายใจ “ถ้าท่านชูอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี”
หากว่าท่านชูอยู่ เรื่องที่พวกนางตัดสินใจไม่ได้ก็มักจะเอาไปถามท่านชู เช่นนี้นายท่านสามจึงจะยอมรับ
บัดนี้กลับไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี
ชิงหยวนเอ่ยว่า “เจ้าเก็บไว้ก่อน ตอนเย็นนายท่านสามกลับมา อาจไม่ต้องรอให้เจ้าไปสืบถาม นายท่านสามอาจบอกกับคุณหนูอวี้เอง เจ้าใช้เงินนี้ไปซื้อขนมกับผลไม้ที่คุณหนูอวี้ชอบมาให้นางก็พอ”
ก็คงต้องทำเช่นนั้นแล้ว
ชิงผิงยื้อเวลาไปถึงช่วงเย็นอย่างยากลำบาก ในที่สุดเผยเยี่ยนก็กลับมา
หลังจากเขามาถึง ก็ไปที่ห้องหนังสือก่อน คุยกับเผยชีพักหนึ่ง จากนั้นเผยชีก็เดินทางออกจากเมืองหังโจว ภายหลังเถ้าแก่รองถงก็ย้ายเด็กในร้านที่รูปร่างกำยำเข้ามา เผยเยี่ยนโยนคนให้ผู้ดูแลสี่ซึ่งเร่งรัดเดินทางจากหลินอันไปจัดการ เขาไม่ทันกินมื้อเย็น ก็ตรงมาที่เรือนพักของอวี้ถังทันที
ไม่รู้ว่าคุณหนูสวีกับนายหญิงสามสกุลหยางกำลังทำอะไร หลังจากที่คุณหนูสวีกลับไปก็ไม่ได้ออกมาอีก นางจึงไม่กล้าไปรบกวน เดิมคิดจะอ่านหนังสือเล่นสักพัก แล้วค่อยไปแวะหาคุณหนูสวี หารือเรื่องแผนกิจกรรมต่อจากนี้ ใครจะคิดว่าพอนางเอนพิงหมอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนหลับไปตอนไหน พอนางตื่นขึ้นมา ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบเขาไปแล้ว
น้อยครั้งที่นางจะหลับลึกเพียงนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่กลับมาเกิดใหม่ เพราะในใจเก็บเรื่องเอาไว้มากมาย บางครั้งพอตื่นขึ้นมากลางดึก ก็มักนอนไม่หลับอีก หลังจากรู้ว่าคนที่ฆ่านางเมื่อชาติก่อนคือเผิงสืออี นางก็ยิ่งหลับไม่สนิท พอปิดตาลง ก็มักจะคิดถึงเรื่องราวต่างๆ เมื่อชาติก่อนอย่างไม่รู้ตัว นางหมกมุ่นอยู่กับทุกรายละเอียดและทุกภาพฉากที่เกิดขึ้น ด้วยหวังว่าความหมกมุ่นนี้อาจทำให้เจอบางอย่างที่เป็นประโยชน์แก่เผยเยี่ยนและสกุลเผยในชาตินี้บ้าง
เพราะนางเห็นแสงตะวันที่ลอดผ่านหน้าต่าง นางก็ตกใจขวัญหนี ร้องเรียกซวงเถาไม่หยุด
คนที่เข้ามาคือชิงผิง นางถามอวี้ถังด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ซวงเถาเฝ้าเวรช่วงกลางคืน จะให้ข้าไปเรียกนางมาตอนนี้ไหมเจ้าคะ?”
“ไม่ต้องหรอก!” อวี้ถังเห็นว่าฟ้ายังสว่างอยู่ คนที่รับใช้ข้างกายก็ยังเป็นคนของสกุลเผย ตนเองยังอยู่ในชาติที่เกิดใหม่ ทั่วทั้งร่างพลันผ่อนคลายลง พลางหัวเราะแล้วบอกว่า “คุณหนูสวีได้มาหาข้าหรือไม่?”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” ชิงผิงตอบความ นางกำลังจะเข้ามาช่วยอวี้ถังผลัดชุด เผยเยี่ยนก็มาถึงพอดี
ทุกคนต่างแตกตื่นตกใจ อวี้ถังถึงกับหลุดเสียงออกไปว่า “นายท่านสามมาทำอะไร? เขากลับมาถึงตั้งแต่ตอนไหน?”
ผิงชิงตอบคำถามไม่ได้
เผยเยี่ยนเข้ามานั่งรอที่ห้องรับแขกแล้ว
อวี้ถังไม่อาจถ่วงเวลาอยู่ในห้องได้ นางรีบหวีผมแต่งตัว จากนั้นก็ออกไปห้องรับแขก
สีหน้าของเผยเยี่ยนดูไม่ค่อยได้ พอเห็นอวี้ถังก็ไม่รอให้นางคารวะ ชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ไท่ซือข้างๆ ทันที “นั่งลงคุยกันหน่อย!”
อวี้ถังยอบเข่าเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ” ก่อนทรุดตัวลงนั่ง ชิงผิงกับชิงเหลียนยกน้ำชาและขนมเข้ามาให้
เผยเยี่ยนพูดขึ้นมา “ช่วงนี้เจ้าต้องคอยอยู่ข้างกายข้าไปก่อน หลังจากข้ามาหังโจวเผิงสืออีก็ลงจากเขา ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน รอให้ข้าหาตัวเผิงสืออีพบ ค่อยส่งเจ้ากลับสกุลอวี้ก็แล้วกัน”
อวี้ถังงุนงงไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยเข้าใจว่าเผยเผยเยี่ยนกำลังบอกว่านางตกอยู่ในอันตราย ก่อนที่ความอันตรายนี้จะคลี่คลายลงได้ เผยเยี่ยนให้นางคอยตัวติดกับเขาเอาไว้
หรือพูดก็คือ เผยเยี่ยนเชื่อแล้วว่า ‘ความฝัน’ ของนางคือเรื่องจริง!
ต้องเป็นเพราะเรื่องที่นางบอกเขาค่อยๆ กลายเป็นความจริงแล้วแน่ๆ
แต่ว่าเรื่องไหนที่เกิดขึ้นจริงแล้วเล่า?
อวี้ถังคิดไม่ออก แต่นางสัมผัสได้ว่า เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการที่โจวจ้วงหยวนและพวกท่านชูเดินทางไปเมืองหลวงแน่
แต่ถ้าช่วงนี้นางต้องคอยติดตามเขา แล้วนางจะอธิบายให้คนที่บ้านฟังอย่างไร?
นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปได้เมื่อไร?”
เผยเยี่ยนเห็นว่านางเข้าใจเจตนาของเขาอย่างรวดเร็วก็พอใจยิ่งนัก “ข้าจะรีบตามหาตัวเผิงสืออีให้เจอ” พูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกเรื่องเผิงอวี่ขึ้นมาได้ จำได้ว่าเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเด็กสาวเช่นกัน บางอย่างสมควรปิดบังนาง แต่บางเรื่องที่ปิดบังแล้วอาจทำให้นางผ่อนความระแวดระวังลง อาจทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันได้ง่ายๆ
เขาพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้ บุตรชายคนโตของอาจารย์ข้าจางเซ่า หรือก็คือใต้เท้าจางผู้ตรวจการของเจียงซี เขาพลัดจมน้ำตายกะทันหัน ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของสกุลเผิงหรือเปล่า แต่โจวจ้วงหยวนเร่งเท้าไปที่เมืองหลวงแล้ว หลี่ตวนทางนั้นไม่รู้ว่ามีความเคลื่อนไหวหรือไม่ ข้ากลัวว่าเพื่อผลประโยชน์ สกุลเผิงจะใช้แผนต่ำช้า ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน”
คุณหนูอวี้เป็นสตรี ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำลายทั้งชีวิตของนางได้เลย
ภาพบางอย่างวิ่งผ่านสมองของเผยเยี่ยนแต่เขาไม่กล้าแม้จะจินตนาการต่อ
นางมารน้อยในใจของอวี้ถังอดจะกระโดดโลดเต้นไม่ได้
เผยเยี่ยนเชื่อคำที่นางพูด
สกุลเผยสามารถก้าวเดินอย่างผ่อนคลายได้แล้วกระมัง?
ส่วนสกุลเผิงก็อย่าได้ฝันจะได้กลายเป็นสกุลใหญ่อันดับหนึ่งของฝูเจี้ยนอีกเลย
นัยน์ตาอวี้ถังทอประกายรอยยิ้ม นางลุกขึ้นแล้วกล่าวขอบคุณเผยเยี่ยน ก่อนสอบถามสถานการณ์ของสกุลจางออกไปว่า “ท่านไม่รีบไปเมืองหลวงรึ? สกุลจางจะไม่เอาใจออกหากจากท่านหรือ? ตอนรุ่งโรจน์ผู้คนห้อมล้อมเข้าใกล้ พอตกต่ำต่างหนีหายไม่เห็นหน้า”
มุมปากของเผยเยี่ยนกระตุกขึ้น
เด็กสาวผู้นี้ เอ่ยเตือนสติเขาเป็นแล้ว
เกลือที่เขากลืนเข้าไปยังมากกว่าข้าวที่นางเคยกินเสียอีก นางคิดมาเป็นห่วงเขารึ?
เผยเยี่ยนไม่คิดเช่นนั้น แต่ปากก็ไวตามใจสั่ง รีบชิงตอบตอนที่นางยังไม่ทันรู้ตัวว่า “อาจารย์รู้สถานการณ์ของข้าดี อีกอย่างข้าก็ให้โจวจ้วงหยวนถือเงินห้าหมื่นตำลึงไปเมืองหลวงด้วยแล้ว”
เช่นนี้ดียิ่ง!
อวี้ถังพยักหน้าติดกันหลายครั้ง
เผยเยี่ยนรู้สึกไม่ชอบใจ
เขาจำเป็นต้องบอกเรื่องพวกนี้กับนางด้วยรึ?
น่าจะจำเป็นกระมัง?
คุณหนูอวี้เป็นคนร่าเริงอยู่ไม่สุข หากว่านางแคลงใจเรื่องใด ย่อมหาทางสืบความจนกว่าจะกระจ่างแน่ หากต้องให้นางวิ่งวุ่นไปทั่วอย่างไม่รู้ภัยอันตราย มิสู้เล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟังเสีย ให้นางรู้ว่าสิ่งใดกระทำได้ สิ่งใดไม่อาจกระทำ เก็บตัวเรียบร้อยอยู่แต่ในเรือน อย่าได้คิดหาเรื่องปวดหัวให้เขาเด็ดขาด
เขาสมควรจะบอกเด็กสาว
เผยเยี่ยนรำพึงในใจ มั่นใจกว่าเดิมว่าตนสมควรเล่าความจริงให้นางฟัง
เขาจึงเอ่ยว่า “ข้าเรียกตัวกู้เจาหยางให้มาหังโจวด้วย เดิมคิดให้เขาจัดการธุระเขาไป ข้าก็จัดการของข้าไป แต่เขาก็ยืนยันว่าจะเข้ามาพักด้วยให้ได้ ข้ารู้สึกว่าให้เขาพักที่นี่ก็ดีเหมือนกัน จะได้รีบแก้ไขปัญหาของเจียงหนานให้จบๆ แล้วมีมือว่างไปจัดการเรื่องที่เมืองหลวงเสียที ศิษย์พี่จางเป็นบุตรคนโต จู่ๆ เขามาจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม ทุกคนต่างรับมือไม่ทัน ยังมีอีกหลายเรื่องต้องวางแผนกันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสกุลจางหรือว่าขุนนางเหล่านั้น ต่างก็ระส่ำระสายกันไปหมด ทว่าเรื่องทางนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเลย”
เผยเยี่ยนพูดถึงตรงนี้ ก็หันไปมองอวี้ถังทีหนึ่ง
ดวงตากลมโตที่จับจ้องอย่างตั้งใจของอวี้ถังสะท้อนภาพเงาเขาอยู่ สีหน้าคล้ายจะโง่งมอยู่นิดหน่อย ทำให้เขาไม่ค่อยแน่ใจว่านางฟังเข้าใจสิ่งที่ตนพูดหรือเปล่า
เขาจึงต้องถามออกไปว่า “เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่ว่าข้าพูดอะไรอยู่?”
“ข้าฟังเข้าใจเจ้าค่ะ” อวี้ถังรีบตอบ “ท่านบอกว่าเมืองหลวงวุ่นวายหนัก สกุลเผิงอาจฉวยโอกาสลงมือ ส่งนายท่านเจ็ดสกุลเผิงคนนั้นไปเป็นผู้ตรวจการที่เจียงซี เช่นนั้นที่นาที่สกุลท่านซื้อไว้ที่เจียงซีก็ต้องมีสกุลเผิงเป็นคนควบคุมดูแล ท่านถึงได้ควักเงินห้าหมื่นตำลึงแก่โจวจ้วงหยวน ให้เขาไปเตรียมการ ก่อกวนแผนของสกุลเผิงเสีย เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?”
ประโยคสุดท้าย นางถามอย่างไม่แน่ใจ คล้ายว่ากลัวตนเองจะพูดผิด
เผยเยี่ยนรู้สึกประหลาดใจยิ่ง
เขาไม่เคยคิดว่าอวี้ถังจะเข้าใจจริงๆ ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
เด็กสาวคนนี้ นับว่าฉลาดเฉลียวไม่เบา
เขาสมควรจะให้กำลังใจเด็กสาวสักหน่อย
“ไม่เลว!” เผยเยี่ยนตอบ “หัวไวใช้ได้”
อวี้ถังลอบถอนหายใจพรวด
เหมือนกับตอนเรียนตำราแล้วถูกอาจารย์เรียกถามไม่มีผิด
ดีชั่วก็นับว่าสอบผ่านแล้ว
ความตึงเครียดในใจผ่อนเบาลง คนจึงรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา
นางถามเผยเยี่ยนว่า “ท่านรับมื้อเย็นหรือยัง? เวลาไม่เช้าแล้ว จะอยู่รับมื้อเย็นที่นี่เลยหรือไม่?”
ในความคิดนาง กู้ฉ่างมาถึงแล้ว เผยเยี่ยนย่อมต้องไปต้อนรับ ไม่มีทางกินมื้อเย็นกับนางแน่ อีกอย่างหญิงชายแตกต่าง สองคนสิ่งที่ควรคุยก็คุยจบแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาชัดๆ เผยเยี่ยนก็คงเข้าใจ เขาควรกลับไปอย่างรู้ธรรมเนียม
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ เผยเยี่ยนนิ่งคิดไปพักใหญ่ แล้วส่งเสียงตอบว่า “อืม” เขายังสั่งชิงหยวนอย่างไม่รู้ขอบเขตว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว ตั้งโต๊ะเถอะ! อีกเดี๋ยวข้าต้องไปเจอกู้เจาหยาง เว่ยซานฝูไปหลินอันแล้ว คิดว่าคงช้าไปอีกสองวันถึงจะกลับมา ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหนไล่เว่ยซานฝูไปกันแน่”
หวังแต่ว่าพี่รองของเขาจะรับมืออุบายของเว่ยซานฝูไหว
———————————————————–