ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 262 เสียเปล่า
วี้ถังเบิกตากว้าง
ไม่ใช่กระมัง?
ชาติก่อน สกุลเผยซื้อพื้นที่ภูเขาของสกุลนาง จากนั้นก็เปลี่ยนมาปลูกต้นซาจี๋ แปรรูปเป็นผลไม้เชื่อม หาเงินได้มากมาย ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่าปลูกต้นซาจี๋ทำเป็นผลไม้เชื่อมสามารถหาเงินได้หรอกรึ?
ไฉนชาตินี้เขากลับไม่กล้ามั่นใจล่ะ?
ชาติก่อนและชาตินี้มีอะไรแตกต่างกัน?
อวี้ถังกะพริบตาปริบ อดเอ่ยหยั่งเชิงไม่ได้ “แต่ข้าคำนวณดู ใช้ผลซาจี๋ทำเป็นผลไม้เชื่อม ยากที่จะเก็บต้นทุนคืนมา หากพื้นที่ภูเขานี้เป็นของท่าน ท่านจะทำอย่างไรกัน?”
ก่อนหน้านี้อวี้ถังเคยไปหาเผยเยี่ยนเพราะเรื่องพื้นที่ภูเขาของนางอยู่หลายครั้ง เผยเยี่ยนก็ส่งหูซิ่งไปช่วยนางดูเช่นกัน แต่หูซิ่งบอกแล้ว พื้นที่นั่นจะปลูกอะไรก็ไม่งอกงามทั้งนั้น สกุลอวี้จึงตัดสินใจด้วยตัวเอง นำต้นซาจี๋เข้ามาจากทางซีเป่ย หลังจากเขาทราบก็ไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง คิดว่าให้อวี้ถังและญาติผู้พี่ของนางดิ้นรนกันเองเสียหน่อยจะได้รู้ความลำบากของเรื่องนี้ จึงไม่ได้ไถ่ถามมาโดยตลอด ยามนี้นางถามขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งให้เขาสมมุติว่าเป็นที่ของตัวเอง เขาจึงคาดเดาว่าเป็นเพราะยามนี้พื้นที่ภูเขานั้นขาดทุนย่อยยับ นางมอบให้ญาติผู้พี่ของตนจัดการอีกครั้ง ยามนี้อวี้หย่วนไร้ทางจะส่งมอบเรื่องให้กับผู้ใหญ่ นางจึงต้องคิดหาทางช่วยเหลือญาติผู้พี่ของตน “หากพื้นที่ภูเขานี้เป็นของข้า ข้าก็จะปลูกอะไรไปตามเรื่องตามราว ให้คนอื่นเห็นอิจฉาตาร้อนก็เพียงพอแล้ว อย่างไรร้านค้าของสกุลก็นับเป็นรายได้หลัก ทั้งยังมีการร่วมหุ้นกับทางเจียงเฉา ไม่จำเป็นต้องมาเสียแรงกายแรงใจไปกับป่ารกชัฏแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น สกุลพวกเจ้ายังซื้อที่นาสามสิบหมู่ของสกุลหลี่เอาไว้ ในความคิดของคนอื่นก็นับว่ามีผลเจริญงอกงามแล้ว”
หรือชาติก่อนซ่าจี๋ที่ทำเป็นผลไม้เชื่อมดูเหมือนจะค้าขายดี คึกคักแค่เพียงภายนอกเท่านั้น?
เช่นนั้นสกุลเผยเป็นฝ่ายซื้อที่ของสกุลพวกนาง…
ใจของอวี้ถังเต้มตุ๊มๆ ต่อมๆ การคาดเดาที่ซ่อนลึกไว้ในใจพวกนั้นอดพรั่งพรูออกมาไม่ได้
นางชะงักลมหายใจ เอ่ยเสียงแผ่ว “หากสกุลพวกเราอยากขายพื้นที่นั้น ท่านจะซื้อหรือไม่?”
“ไม่!” เผยเยี่ยนตอบแทบไม่ต้องคิด “ข้ารู้ทั้งรู้ว่าปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น จะซื้อมาทำไม?”
อวี้ถังโมโหจนปวดทรวงอกไปหมด เอ่ยเสียงดัง “หากสกุลพวกเราพบเรื่องอะไรเข้า ต้องการขายพื้นที่นั่นอย่างเร่งด่วนล่ะ?”
“นั่นย่อมต้องซื้อ” เผยเยี่ยนเห็นนางถลึงมองตัวเอง ตาขาวและดำที่แบ่งแยกอย่างชัดเจนคล้ายมีหมอกปกคลุมชั้นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าโมโหถึงขีดสุด ในใจรู้สึกไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง เอ่ยออกไปทันที “เจ้าสมมติอะไรกัน? ไม่ใช่ว่าเจียงเฉายังไม่กลับมาหรอกรึ? สกุลพวกเจ้าก็ยังมีเงินกว่าหมื่นตำลึงติดตัว คงไม่ถึงกับตกต่ำเร็วเช่นนั้นหรอก! ไม่ใช่ว่านายท่านอวี้ชอบเอาเงินไปโอ้อวดคนอื่น ถูกหลอกไปบ่อนพนันหรอกกระมัง? นี่ก็เป็นปัญหาแล้ว…”
คนผู้นี้!
ทุกครั้งล้วนสามารถหาเหตุผลแต่ละอย่างมาให้นางโมโหได้
อวี้ถังหลับตาลง เอ่ยอย่างจริงจัง “พ่อของข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น! แม้ท่านจะไปบ่อนพนัน พ่อของข้าก็ไม่ไปที่เช่นนั้นหรอก ข้าแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น ไฉนท่านจึงเห็นเป็นเรื่องตลกไปได้ คำพูดจริงจังอะไรล้วนแยกแยะไม่ออก!”
เผยเยี่ยนได้ฟังก็ไม่พอใจอยู่บ้าง เอ่ยว่า “แม้ว่าข้าจะไปบ่อนพนัน นั่นก็เป็นข้าที่โกงชนะคนอื่น ใครจะสามารถชนะเอาเงินข้าไปได้! อีกอย่าง หากสกุลพวกเจ้าไม่มีเรื่องอะไร เจ้าจะสมมติเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาทำไม ข้าก็ช่วยสกุลพวกเจ้าไปไม่น้อยแล้วกระมัง? หากสกุลพวกเจ้าเกิดเรื่องจริงๆ ข้ายังจะสามารถทนดูพวกเจ้าขายพื้นที่มรดกตกทอดของบรรพบุรุษอยู่เฉยๆ ได้อย่างนั้นรึ! เดิมทีคำพูดนี้ของเจ้าก็ไม่ควรกล่าวออกมา คาดไม่ถึงว่าเจ้ายังจะโมโห นี่เจ้าไปเรียนจากใครมา? ย่อมต้องเป็นคุณหนูสวี! นางได้ชื่อว่าเป็นนางพยัคฆ์ของเมืองหลวง ตามความเห็นข้า ภายหลังเจ้าก็อยู่ให้ห่างจากนางหน่อยเถิด”
อวี้ถังโมโหจนสีหน้าดำคล้ำ ไม่อยากสนใจเผยเยี่ยนอีก
ทั้งสองคนเจ้าไม่คุยกับข้า ข้าก็ไม่คุยกับเจ้า ชั่วขณะนั้นบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อขึ้นมา อาฉาอยู่หน้าผ้าม่านด้านนอก เอ่ยว่า “นายท่านสาม เด็กรับใช้ของใต้เท้ากู้เข้ามารายงานว่า ใต้เท้ากู้มาถามว่าท่านกลับจวนแล้วหรือยังขอรับ? เขามีเรื่องสำคัญอยากพบท่าน ยังกล่าวว่า ไม่ว่าเย็นวันนี้ท่านจะกลับมายามใด ก็จำต้องให้พวกเราช่วยรายงานเขาเสียหน่อย เย็นนี้เขาต้องพบท่านให้ได้ขอรับ”
ใบหน้าของเผยเยี่ยนเคร่งขรึมขึ้นมา ไม่ปรายตามองอวี้ถังสักนิด ยืนขึ้นเอ่ยว่า “ข้าไปล่ะ” ก่อนจะสาวเท้าแหวกม่านออกจากห้องโถงไป
อวี้ถังมองม่านที่สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งพลันเกิดความรู้สึกเสียใจในภายหลัง
นางรู้ว่าชาติก่อนเผยเยี่ยนก็ช่วยนางไม่น้อย เหตุใดยังต้องการคำตอบให้ได้กัน?
ชาติก่อนและชาตินี้เดิมทีก็มีจุดที่แตกต่างกันมากมาย ไฉนจะมีผลลัพธ์แบบเดียวกันได้?
ตกลงนางอยากทำอะไรกันแน่?
อวี้ถังนั่งไหล่ตกอยู่ตรงนั้น รู้สึกเศร้าซึมจนไม่อยากขยับไปไหนอยู่พักใหญ่
ชิงหยวนเข้ามาเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู ท่านอยากพักผ่อนหรือไม่? หรือจะให้ข้าเรียกชิงผิงเข้ามาเล่นหมากเรียงห้าเป็นเพื่อนท่าน”
ความจริงนอกจากสาวใช้ข้างกายของเผยเยี่ยนจะสามารถเล่นซวงลู่[1]แล้วยังเล่นหมากล้อมเป็นด้วย เพียงแต่อวี้ถังไม่ชำนาญเท่าใด ยามที่พวกนางอยู่เป็นเพื่อนก็เปลี่ยนเป็นเล่นหมากเรียงห้าแทน
อวี้ถังนึกถึงเผยเยี่ยนที่ออกไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น ก็พยักหน้าอย่างหงอยๆ
ชิงหยวนช่วยนางล้างเครื่องประทินโฉม
นางอยากเล่าเรื่องเมื่อครู่ที่แยกกับเผยเยี่ยนได้ไม่ดีนักให้ชิงหยวนฟัง เพื่อให้ชิงหยวนช่วยนางตัดสินใจ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าอายอย่างยิ่ง ไม่อยากให้คนอื่นรับรู้
นางลังเลสองจิตสองใจ จนถึงยามพักผ่อน ก็ตัดสินใจไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เช้าตรู่วันถัดมา นางจึงเอ่ยกับชิงหยวนว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่พวกเรามาจากหลินอัน เอาหมัวกูเจี้ยง(ซอสเห็ด)ที่กินคู่กับข้าวมาด้วย ไม่รู้ว่านายท่านสามจะชอบหรือไม่ เจ้าส่งไปให้นายท่านสามลองชิมขวดหนึ่งสิ”
หมัวกูเจี้ยงนี้ เผยหม่านกลัวว่าพวกนางต้องกินอาหารแห้งระหว่างทาง จึงนำมาให้พวกนางปรุงรสเพิ่ม นับว่าเป็นเครื่องปรุงที่มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสกุลเผย
เครื่องปรุงนี้ จะขาดส่วนของใครก็ได้ แต่ย่อมไม่อาจขาดส่วนของเผยเยี่ยนไปได้
คุณหนูอวี้ไม่ใช่ว่ายกก้อนหินมาทับเท้าตัวเองหรอกรึ?
ชิงหยวนเผยสีหน้าไม่เข้าใจ
อวี้ถังเอ่ยอธิบายอย่างเขินอาย “เมื่อเย็นวานข้าล่วงเกินนายท่านสาม ไม่รู้ว่าควรจะส่งของขวัญขอโทษเขาอย่างไรดี จึงใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้าง”
ชิงหยวนยิ้มมุมปาก คิดว่าอวี้ถังน่าสนใจไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้ คล้ายเด็กน้อยที่เล่นอะไรอย่างไม่อาย
นางเอ่ยว่า “ท่านวางใจ ข้าจะส่งหมัวกูเจี้ยงเข้าไปเดี๋ยวนี้”
อวี้ถังผงกศีรษะด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เผยเยี่ยนกินข้าวเช้ากับกู้ฉ่าง
เมื่อวานพวกเขาทั้งสองคุยกันกว่าค่อนคืน จวนจะถึงยามโฉ่วจึงค่อยแยกย้ายกันไป ยามเหม่าค่อยกลับมารวมตัวอีกครั้ง
กู้ฉ่างมีสีหน้าหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้านำหลักฐานที่ใต้เท้าซุนรวบรวมส่งไปแล้ว ควรจะมีเหตุผลออกมาสักอย่างกระมัง?”
ไม่อย่างนั้นเขาทรยศอาจารย์ ภายหลังยังจะหยัดกายผ่าเผยอยู่ต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร!
เผยเยี่ยนเคี้ยวหมั่นโถวในปากอย่างละเมียดละไม หลังจากกลืนแล้ว จึงค่อยเอ่ยอย่างเชื่องช้า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าทำอย่างไรถึงจะดี?”
นี่ก็เป็นสาเหตุที่กู้ฉ่างนอนไม่หลับทั้งคืน
เผยเยี่ยนรู้สึกดูแคลนกับความโลเลของกู้ฉ่างอยู่บ้าง แต่ที่มากไปกว่านั้นคืออยากกวนน้ำในราชสำนักให้ขุ่น เพื่อให้โจวจื่อจินเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตรึงเผิงอวี่อยู่ที่สำนักตรวจการไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหน
เขาทำได้เพียงเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่ายังมีเว่ยซานฝูหรอกรึ? น้ำพยุงเรือให้ลอยได้ก็คว่ำเรือให้จมได้เช่นกัน เจ้ารั้งเว่ยซานฝูเพื่อฉลองปีใหม่ไม่ใช่รึ?”
ชั่วพริบตานั้นหน้าผากของกู้ฉ่างก็ชื้นเหงื่อขึ้นมา
เขามองเผยเยี่ยนอย่างจริงจัง
เผยเยี่ยนทำราวกับเรื่องไม่เกี่ยวกับตน กินหมั่นโถวทอดของตัวเองต่อไป
จู่ๆ กู้ฉ่างก็ยิ้มขึ้นมา เอ่ยว่า “ไม่แปลกใจที่เจ้าออกจากเมืองหลวง ศิษย์พี่รองของเจ้าจึงโล่งใจไม่น้อย เจ้านั้นใจกล้าจริงๆ หากเจ้าอยู่เมืองหลวงต่อ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่โดดเด่น ก็คงเป็นวีรบุรุษเลื่องชื่อ”
เผยเยี่ยนไม่ได้ปริปากอันใด
กู้ฉ่างเห็นท่าทีนิ่งเงียบของเขา ก็นึกถึงยามที่คนอื่นพูดถึงบุรุษมากความสามารถของเจียงหนานก็จะเอ่ยถึงเขาและเผยเยี่ยน ชั่วขณะนั้นในใจพลันปรากฏความภาคภูมิขึ้นมา เอ่ยกับเผยเยี่ยนว่า “พวกเราจะไปพบหวังชีเป่าเมื่อใด? ข้าจะเอาหลักฐานที่ใต้เท้าซุนมอบให้บางส่วนส่งให้หวังชีเป่า ให้เขานำกลับเมืองหลวง”
นับว่าเขายังใจกล้าอยู่บ้าง!
เผยเยี่ยนมองกู้ฉ่างด้วยสายตาราบเรียบไปที เอ่ยว่า “เช่นนั้นสักพักพวกเราก็ไปเข้าพบหวังชีเป่าด้วยกัน!”
กู้ฉ่างเพิ่งจะตอบรับ ก็เห็นอาฉา เด็กรับใช้ข้างกายของเผยเยี่ยนยกถ้วยเครื่องเคลือบสีขาวเล็กๆ เดินเข้ามา เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ชิงหยวนให้ข้ายกเข้ามาขอรับ กล่าวว่าคุณหนูให้นางส่งเข้ามา กลัวว่าท่านจะไม่มีเครื่องเคียงตอนเช้า”
ในเรือนหลังนี้จะขาดส่วนของใครก็ได้ แต่คงขาดส่วนของเขาไม่ได้หรอกกระมัง!
เผยเยี่ยนมองผักดองในถ้วยสีดำที่รู้ว่าเป็นผักอะไร มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย
แม้จะกล่าวว่าของที่ส่งเข้ามาไม่ใช่ของดีอะไร แต่แค่มีความคิดนี้ก็ดีไม่น้อยแล้ว
เขาชี้ไปที่โต๊ะ เอ่ยว่า “วางลงตรงนั้นก็ได้!”
อาฉาวางผักดองลง ก่อนจะก้มศีรษะถอนตัวออกไป
กู้ฉ่างเอ่ยว่า “ใครส่งเข้ามารึ? ญาติผู้น้องฝ่ายแม่หรือฝ่ายพ่อ?”
เผยเยี่ยนคิดว่านี่เป็นเรื่องในสกุลของเขา ไม่เกี่ยวกับกู้ฉ่าง เดิมทีก็ไม่คิดจะตอบเขา เอ่ยว่า “ข้าอิ่มแล้ว เจ้าอยากเพิ่มข้าวต้มสักชามหรือไม่? หากเจ้าอิ่มเหมือนกัน ข้าจะกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราก็ไปกันเลย!”
กู้ฉ่างเอาแต่เฝ้ารอที่จะได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับซุนเกา ลำบากยากเย็นกว่าจะมีโอกาสนี้ เขาไหนเลยยังจะสนใจคาดเดาว่าใครเป็นคนส่งของให้เผยเยี่ยน คิดเพียงอยากพบหวังชีเป่าให้เร็วที่สุด รีบทำเรื่องนี้ให้เหมาะสม ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่กินข้าวเช้าแล้ว ยืนขึ้นเอ่ยว่า “เช่นนั้นหลังจากหนึ่งเค่อ พวกเรามาเจอกันที่ห้องพักเกี้ยวเถิด! ข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็จะออกไปพร้อมกับเจ้า”
เผยเยี่ยนผงกศีรษะ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ทางด้านอวี้ถังรีบถามชิงหยวน “นายท่านสามรับไว้หรือไม่?”
ชิงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รับเจ้าค่ะ!”
อวี้ถังถอนหายใจ เอ่ยว่า “ข้าไม่อยากจะผิดใจกับนายท่านสามของพวกเจ้าอีกแล้ว ทุกครั้งล้วนเป็นข้าที่ยอมผ่อนปรน นี่นับเป็นเรื่องอันใดกัน!”
ชิงหยวนเอ่ยปลอบนางด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรนายท่านสามก็ยังรับคำขอโทษจากท่าน มีคนมากมายที่อยากขอโทษเขา แต่กลับไม่มีแม้แต่โอกาสขอโทษนะเจ้าคะ”
“พูดราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องดีอย่างนั้นแหละ” อวี้ถังย่นจมูก “ข้านับว่าลำบากแล้ว ภายหลังย่อมไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีก”
ชาติก่อนยามที่พื้นที่ภูเขานั้นของพวกนางไปอยู่ในมือเผยเยี่ยน ตกลงหาเงินได้หรือไม่ได้กันแน่? นางควรปลูกต้นซาจี๋ต่อไป? หรือว่าทำเหมือนที่เผยเยี่ยนกล่าว ขาดทุนเสียเปล่า ขายเพื่อความสนุกก็พอ?
นี่เป็นเรื่องที่ปวดสมองจริงๆ!
อวี้ถังคิดว่าตัวเองโง่งมอยู่บ้าง
คุณหนูสวีวิ่งเข้ามา ถามนางว่าวันนี้วางแผนจะทำอะไร อยากชวนนางไปเดินเล่นที่สวนด้วยกัน “ข้ากลับไปพูดกับนายหญิงสามสกุลหยางแล้ว บอกว่าอย่างมากพวกเราก็เที่ยวเล่นครึ่งหนึ่งเท่านั้น ได้ยินว่าสกุลพวกเขายังมีสวนแปะก๊วยแห่งหนึ่ง ปลูกต้นแปะก๊วยไว้ทั้งหมด แต่ละต้นล้วนมีขนาดไม่ใหญ่มาก ยามฤดูใบไม้ร่วงก็จะงดงามเป็นพิเศษ ปู่ของอินหมิงหย่วนเคยเขียนถึงที่นี่ในบันทึกของตัวเอง น่าเสียดายที่อินหมิงหย่วนไม่ได้มา” พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาสองข้างของนางก็เปล่งประกายขึ้นมา “อาถัง เจ้าว่า ข้าลากอินหมิงหย่วนมาหังโจวยามฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นอย่างไร?”
“ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้รึ?” อวี้ถังกล่าว “เดือนเก้าพวกเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว พวกเจ้ามีเวลารึ?”
คุณหนูสวีครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราก็สามารถมาปีหน้าไม่ก็ปีถัดจากนั้นได้”
อวี้ถังไม่ค่อยอยากเชื่อว่าคุณหนูสวีจะมีเวลาว่าง
คุณหนูสวีกลับเอ่ยทั้งทอดถอนหายใจ “ข้าควรต้องเกรงใจกับเผยสยากวงเสียหน่อย ภายหลังจะได้มาเยี่ยมเยือนเผยสยากวง ได้”
อวี้ถังลอบนินทาอยู่ในใจ เผยเยี่ยนเอาแน่เอานอนไม่ได้ แม้ว่ายามนี้จะเกรงใจเขา ใครจะรู้ว่าพลั้งเผลอไปล่วงเกินเขาเมื่อใด ยังมิสู้ยามที่อยากมาก็ค่อยปฏิบัติตัวดีกับเขาในยามนั้น
——————
[1]ซวงลู่ เป็นเกมหมากชนิดหนึ่ง โดยทั้งสองฝ่ายจะทอยลูกเต๋าสองลูกเพื่อเดิน เบี้ยของฝ่ายใดหมดก่อนฝ่ายนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ