ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 263 อีกครั้ง
อวี้ถังและคุณหนูสวีตัดสินใจไปเดินเล่นที่สวนแปะก๊วย
สวนแปะก๊วยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจวน ไกลจากเรือนที่พวกนางพักอยู่เล็กน้อย หากเดินตามทางเดินที่เชื่อมติดเรือน ก็ต้องอ้อมอีกไกล เดินเกือบหนึ่งถึงสองชั่วยาม แต่หากเดินตามทางเดินหินอ่อนในจวนก็ใช้เวลาเพียงสามเค่อเท่านั้น
ชิงหยวนเกลี้ยกล่อมให้พวกนางเดินตามทางเดินหินอ่อนไป “ระหว่างทางยังมีดอกซานฉา ไป๋อวี้หลัน และเซียนเค่อหลาย[1]เบ่งบานอยู่เต็มไปหมด ฤดูกาลนี้ดอกไม้สดสวยบานสะพรั่ง หากมีลมพัดโชยมา กิ่งดอกก็จะไหวเอน คล้ายดั่งทะเลดอกไม้ งดงามอย่างยิ่ง พวกท่านต้องได้เห็นเสียหน่อยนะเจ้าคะ”
ทั้งสองคนจึงตัดสินใจทำตามคำชักจูงของชิงหยวนทันที เดินตามทางหินอ่อนไปยังสวนแปะก๊วย
ชิงหยวนรีบออกคำสั่งลงไป ให้ชิงผิงและชิงเหลียนนำพวกสาวใช้ยกพวกน้ำชา ตั่งเล็ก เบาะรองนั่ง และพัดเข้าไป คนกลุ่มนั้นจึงตามหลังไปอย่างอึกทึกครึกโครม ยามนี้ชิงหยวนจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
ปกตินายท่านสามก็ไม่ค่อยอยู่ที่นี่ จึงเหลือเพียงบ่าวสาวใช้ทำความสะอาดที่นี่เท่านั้น ครั้งนี้ยามที่นายท่านสามมาก็พาพวกท่านชูชิงมาไม่กี่คน ยังดีที่ผู้ดูแลสี่ตามมาด้วย โยกย้ายบ่าวส่วนหนึ่งจากจวนอื่นเข้ามา ไม่อย่างนั้นข้างกายคุณหนูก็คงไม่มีแม้แต่คนยกชาแล้ว พวกนางที่เป็นคนข้างกายย่อมขายหน้าอย่างยิ่ง
อวี้ถังกลับคิดว่าระดมคนมากมายเกินไปอยู่บ้าง แต่ว่านางเห็นคุณหนูสวีไม่แปลกใจอะไร ก็คิดว่านี่อาจจะเป็นเรื่องปกติ จึงไม่ขัดอันใด ไม่อยากทำให้สาวใช้พวกนั้นลำบากใจ เปลี่ยนแปลงความคุ้นชินให้เข้ากับนาง
ระหว่างทาง คุณหนูสวีก็เอ่ยสถานที่ที่มีชื่อเสียงของหังโจวขึ้นมา “เจดีย์เหลยเฟิงย่อมต้องไปชมเสียหน่อย ยังมีประตูหย่งจิน ได้ยินว่าที่นั่นมีเรือมากมายละลานตา นั่งในห้องพิเศษของร้านโหลวไว่โหลว นอกจากจะสามารถเห็นประตูหย่งจินยังมองเห็นประตูเฉียนถังได้อีกด้วย ทั้งปลาเปรี้ยวหวานของร้านพวกเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร คนที่มาหังโจวล้วนต้องชิมกันทั้งนั้น…”
เช่นนี้คืออยากออกไปเที่ยว
ขอเพียงแค่ไม่ไปเดินซื้อเสื้อผ้า อวี้ถังคิดว่าคุณหนูสวีไปที่ใด นางล้วนสามารถไปด้วยได้ทั้งนั้น
เพียงแต่ไม่รอให้พวกนางเดินถึงสวนแปะก๊วย เด็กรับใช้ข้างกายของนายหญิงสามสกุลหยางก็วิ่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบ เอ่ยว่า “นายท่านรองอินมาถึงหังโจวแล้วขอรับ นายหญิงสามให้ท่านรีบกลับไป”
คุณหนูสวีทั้งตกใจทั้งดีใจ เอ่ยกับเด็กรับใช้คนนั้นว่า “เข้าใจแล้ว” จากนั้นก็มองอวี้ถังอย่างรู้สึกผิด เอ่ยว่า “วันนี้ข้าทำผิดเสียแล้ว นัดเจ้าออกมากลับไม่อาจไปเป็นเพื่อนเจ้า…”
“เจ้ารีบไปเถิด! รอเจ้าว่างแล้วพวกเราค่อยนัดกันใหม่!” อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเข้ามาก็ไม่ใช่เพราะรอข้าหลวงอินหรอกรึ? อย่าทำให้เขารอนานเลย!”
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น แต่หลังจากที่คุณหนูสวีได้รับจดหมายของอินเฮ่า กล่าวว่าให้พวกนางอย่าได้คิดฟุ้งซ่าน ก็ไม่ได้กังวลสถานการณ์ของสกุลสวีและสกุลอินอีกแล้ว นางฟังจบก็อดเอ่ยไม่ได้ “ข้าอยากพบเขา แต่หากเขามาถึงช้ากว่านี้หน่อย ข้าว่าแบบนั้นน่าจะดีกว่า”
คุณหนูสวีเอาแต่พะวงเรื่องเที่ยวเล่นอยู่ตลอดเวลา
อวี้ถังยกมุมปากแย้มยิ้ม
นางส่งคุณหนูสวีไปแล้ว ก็ไม่มีใจจะเที่ยวเล่นต่อ กลับที่พักตัวเองไปกับพวกชิงผิง
ชิงหยวนกำลังสั่งการพวกหญิงรับใช้ให้ทำความสะอาดมุมกำแพงเรือน เห็นอวี้ถังไปไม่นานก็ย้อนกลับมา จึงรีบเข้าไปต้อนรับ ประคองนางเอ่ยว่า “ท่านไม่ได้ไปสวนแปะก๊วยหรือเจ้าคะ?”
อวี้ถังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ชิงหยวนฟัง ชิงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้นยามบ่ายข้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่!”
“รอมีโอกาสค่อยว่ากันเถิด!” สิ่งที่อวี้ถังอยากรู้คือ การมาของอินเฮ่าจะพาให้สกุลเผยเกิดความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนถามชิงหยวน “เจ้าเคยเจอข้าหลวงไหวอัน อินเฮ่าหรือไม่?”
“เคยพบเจ้าค่ะ!” ชิงหยวนประคองอวี้ถังมานั่งลงที่โต๊ะกลมในห้องโถง เอ่ยว่า “นายท่านรองอินเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของนายท่านสามยามที่อยู่หกกรม มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับนายท่านสามไม่น้อย ภายหลังนายท่านสามกลับบ้านเกิดเพื่อไว้ทุกข์ นายท่านรองอินก็เป็นข้าหลวงอยู่ไหวอัน ทุกครั้งที่นายท่านสามไปไหวอัน ล้วนแต่พักอยู่ที่เรือนนายท่านรองอิน ทั้งทุกครั้งที่นายท่านรองอินมาหังโจวก็จะพักที่เรือนส่วนตัวของนายท่านสามเช่นกันเจ้าค่ะ”
แต่ขุนนางทั่วไปไม่อาจออกจากพื้นที่ของตัวเองได้โดยง่าย
อินเฮ่ามาเข้าพบเผยเยี่ยนเช่นนี้ ไม่เป็นอะไรหรอกหรือ?
อวี้ถังมีเรื่องในใจ กินข้าวกลางวันอย่างลวกๆ เสร็จแล้วก็นั่งทำถุงหอมข้างหน้าต่าง
ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว เมื่อก่อนนางไม่ค่อยไปมาหาสู่ใคร ยามนี้ไม่เพียงสนิทกับหม่าซิ่วเหนียงเหมือนพี่น้อง ญาติผู้พี่ก็แต่งพี่สะใภ้ที่รู้ใจมาอีกคน ทั้งนางยังคบหาสหายอย่างพวกคุณหนูห้าสกุลเผย เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างในปีนี้ เกรงว่าต้องทำถุงหอมส่งให้คนอื่นมากหน่อยแล้ว
อวี้ถังพยายามทำให้ตัวเองไม่คิดฟุ้งซ่าน ใจลอยไปคิดเรื่องอื่น ไม่นานก็ทำถุงหอมได้สามสี่อัน
ชิงหยวนเข้ามารายงานนาง “นายท่านสามและใต้เท้ากู้กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้พูดคุยกันในห้องหนังสือกับนายท่านรองอิน แปดถึงเก้าส่วนอาหารเย็นก็คงจะกินร่วมกับนายท่านรองอิน ท่านว่าทางท่านจะจัดอาหารขึ้นโต๊ะยามใดดีเจ้าคะ?”
แต่ไหนแค่ไรอวี้ถังก็คาดไม่ถึงว่าเย็นวันนี้เผยเยี่ยนยังต้องกินข้าวเย็นทางนี้ต่อ นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำเหมือนเมื่อก่อนก็เพียงพอแล้ว”
ชิงหยวนรับคำสั่ง แต่ไม่นานก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เอ่ยว่า “หญิงรับใช้ของนายหญิงสามสกุลหยางมาพบคุณหนู กล่าวว่านายหญิงสามสกุลหยางอยากเชิญท่านเข้าไปกินข้าวเย็น ท่านว่า…”
เมื่อวานช่วงบ่ายนายหญิงสามสกุลหยางและคุณหนูสวีไม่ได้ออกจากห้องสักคน วันนี้หลังจากอินเฮ่าเข้ามา นายหญิงสามสกุลหยางกลับเชิญตัวเองไปกินข้าวเย็น อวี้ถังคิดว่านายหญิงสามสกุลหยางเรียกหานางย่อมมีเรื่องอะไรบางอย่าง นางก็อยากสืบเรื่องของอินเฮ่าเช่นกัน จึงถือโอกาสรับปากไป
ชิงหยวนช่วยนางผลัดเปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะไปหานายหญิงสามสกุลหยาง
เรือนที่พวกนางพักขนาดพอๆ กับเรือนที่อวี้ถังอยู่ กลางเรือนมีหินทะเลสาบตั้งอยู่ ดอกทับทิมแย้มบาน ทั้งดอกฉาไห่[2]งามสะพรั่ง อบอวลไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ
ซวงเถาค้อมศีรษะลง คิดว่าที่พักของพวกนางดีกว่าอยู่บ้าง…ห้องที่พวกนางพัก ด้านหลังยังมีลำธารเล็กๆ เปิดหน้าต่างจากห้องอวี้ถัง นอกจากจะสามารถเห็นเขาเฟิ่งหวงที่อยู่ไกลออกไป ยังสามารถมองเห็นป่าดอกสาลี่ที่แผ่กระจายกลิ่นหอมทั่วทิศทาง
แต่ว่าเรือนทุกแห่งต่างก็มีทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไป บางทีสถานที่พวกนางพักอยู่อาจจะจัดเป็นบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิเหมือนกันพอดี
ซวงเถาครุ่นคิดในใจ ก่อนจะคอยปรนนิบัติอวี้ถังบนโต๊ะอาหารอย่างเงียบเชียบ
นายหญิงสามสกุลหยางนำ ‘ชาเสวี่ยสุ่ยอวิ๋นลู่’ ของสกุลหยางมาต้อนรับอวี้ถัง
อวี้ถังจมอยู่ในความเงียบ รอนายหญิงสามสกุลหยางเอ่ยปากพูด
เมื่อดื่มชาไปสามแก้ว พูดคุยสองสามประโยค นายหญิงสามสกุลหยางเห็นว่าอวี้ถังนั้นพูดโต้ตอบกับตนโดยตลอด เผยท่าทีสุขุมหนักแน่น อดลอบพยักหน้าไม่ได้ ประเมินอวี้ถังสูงขึ้นมาหลายส่วน ยามนี้จึงเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่านายท่านใหญ่ของสกุลจางจากไปแล้ว เรื่องนี้จริงหรือไม่?”
อวี้ถังขบคิดอยู่ในใจ
การตายของจางเซ่าอย่างมากก็ปิดได้เพียงสองวันนี้เท่านั้น ทั้งอาศัยจากความสัมพันธ์ของอินเฮ่าและเผยเยี่ยน แม้ยามที่มาอินเฮ่าจะไม่ทราบ พอกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็ย่อมรู้อยู่ดี พวกนางก็พักอยู่ในจวนสกุลเผย ถึงแม้ยามนี้นางจะบอกนายหญิงสามสกุลหยาง ก็คงไม่กระทบอะไรกับสถานการณ์ใหญ่อยู่ดี
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน!” อวี้ถังเอ่ย ทั้งยังฉวยโอกาสสืบหาสาเหตุที่อินเฮ่ามา “ใต้เท้าอินมาเพราะเรื่องนี้หรอกรึ?”
นายหญิงสามสกุลหยางมองใบหน้าที่งามราวกับบุปผาของอวี้ถัง ในใจพลันเกิดความเสียดายอยู่บ้าง
สาวน้อยผู้นี้ฉลาดอย่างหาได้ยาก เพียงแต่เกิดในสกุลที่ธรรมดา แม้จะฉลาดมากเท่าใดก็ไม่มีที่ทางให้แสดงความสามารถของตนเอง
นางรู้สึกใจอ่อน เอ่ยว่า “ไม่ใช่หรอก เขามาเพราะเรื่องขนส่งเกลือ เรื่องผู้ตรวจการจาง พวกเราก็เพิ่งได้ยินเช่นกัน”
เผยเยี่ยนเคยพูดไว้ เขาซื้อเรือกสวนไร่นาในเจียงซีเพื่อใช้ธัญพืชแลกเปลี่ยนเป็นเกลือ ทั้งผู้บังคับการขนส่งเกลือและผู้บังคับขนส่งทางน้ำก็ล้วนอยู่ที่ไหวอัน
ดูท่าความสัมพันธ์ของสกุลอินและสกุลเผย จะลึกล้ำกว่าที่นางคาดการณ์ไว้
ไม่อย่างนั้นอินเฮ่าที่เป็นขุนนางเมืองหลวง จะมาทนลำบากเป็นขุนนางที่ไหวอันทำไมกัน
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าโจวตามมาแล้ว คาดว่าทางจวนสกุลจางคงสามารถยื่นมือช่วยเหลือเช่นกัน”
นางกำลังบอกนายหญิงสามสกุลหยางอยู่ เรื่องของเมืองหลวงสกุลเผยและสกุลโจวล้วนสอดมือยุ่ง สกุลอินจะวางท่าทีอย่างไร ก็ควรพยายามตัดสินใจให้เร็วที่สุด
แววตาของนายหญิงสามหยางประกายแสงวาบผ่าน จู่ๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูอวี้ สกุลพวกเจ้าจะรับลูกเขยเข้าเรือนให้ได้อย่างนั้นรึ?”
อวี้ถังได้ฟังก็รู้สึกหัวใจบีบรัด
นี่นายหญิงสามสกุลหยางจะเป็นแม่สื่อให้ตัวเองอย่างนั้นรึ?
คนอื่นเป็นแม่สื่อให้ นางยังหลบเลี่ยงได้ จากความรู้และสายตาของนายหญิงสามสกุลหยาง หากนางเป็นแม่สื่อให้อวี้ถัง มารดาของนางย่อมพอใจเป็นแน่
นางรู้สึกไม่อยากแต่งงานให้กับคนอื่นอย่างแปลกประหลาด อย่างน้อยก็ไม่ใช่แต่งในยามนี้
“ท่านแม่และท่านพ่อของข้าคิดไว้เช่นนั้น” อวี้ถังก้มหน้า คล้ายกับเขินอายอย่างยิ่ง ทว่าหางตากลับจับจ้องที่นายหญิงสามสกุลหยางอย่างไม่ลดละ “ท่านอาจไม่รู้ นอกจากสาเหตุที่ข้าเป็นลูกสาวคนเดียวของสกุลแล้ว ลุงใหญ่ของข้าก็มีญาติผู้พี่คนเดียวเช่นกัน สกุลพวกเรามีสมาชิกน้อยไปจริงๆ”
นายหญิงสามสกุลหยางคิดว่าคนสกุลเฉินเอ็นดูตามใจลูกสาวอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ปฏิเสธ
นางเผยยิ้ม ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้ต่อ แต่เอ่ยกับอวี้ถังอย่างตรงไปตรงมาแทน “พวกเราอาจจะอยู่ที่สกุลเผยอีกห้าหกวันก็จะออกเดินทางกลับเมืองหลวง สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกเรากลับไปเร็วหน่อยจะดีที่สุด สองวันนี้ข้ายังมีญาติสนิทมิตรสหายเก่าที่ต้องไปมาหาสู่อยู่บ้าง อย่างไรอาเซวียนก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนของสกุลสวี ช่วงนี้คงต้องรบกวนคุณหนูอวี้อยู่เป็นเพื่อนนางหน่อยแล้ว ไปเที่ยวเล่นในเมืองหังโจวกับนาง นางจะได้ไม่เหงา วิ่งวุ่นไปทั่วก่อเรื่องอะไรออกมาอีก”
คุณหนูสวีได้ยินก็อดเอ่ยไม่ได้ “ข้าเป็นคนไม่รู้ความขนาดนั้นเชียวรึ?”
นายหญิงสามสกุลหยางและอวี้ถังมองนางโดยไม่พูดอะไร แววตากลับสื่อความหมาย ‘เจ้าก็เป็นคนเช่นนั้นแหละ’ อย่างเต็มเปี่ยม พาให้คุณหนูสวีรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
อวี้ถังนั่งอยู่กับนายหญิงสามสกุลหยางจนถึงยามซวีจึงค่อยกล่าวลา
ราตรีของฤดูใบไม้ผลินับวันก็ยิ่งมืดเร็ว แสงจันทร์ที่โผล่มาครึ่งหนึ่งสามารถย้อมสีราตรีมืดมิดจนส่องสว่างไปทั่ว
อวี้ถังเดินอย่างแช่มช้าท่ามกลางกลิ่นหอมของลมฤดูใบไม้ผลิ ครุ่นคิดว่าควรจะไปหาเผยเยี่ยนหรือไม่ เล่าเรื่องที่นายหญิงสามสกุลหยางพูดคุยกับนางให้เขาฟัง
ชาติก่อน ยามที่นางอยู่ในจวนสกุลหลี่ คำพูดที่ติดปากของหลินเจวี๋ยก็คือ ‘ทุกเรื่องล้วนสำคัญ’ กล่าวว่ามีเพียงการรู้ทุกเรื่อง จึงจะสามารถควบคุมไว้ในมือได้
นายหญิงสามสกุลหยางเรียกนางมาพูดคุย ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งกระมัง?
อวี้ถังครุ่นคิด ก่อนจะเดินไปทางที่พักของเผยเยี่ยนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ซวงเถาคิดว่าอวี้ถังหลงทาง รีบดึงแขนเสื้อนางไว้ เตือนนางด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูทางนี้เจ้าค่ะ ทางนั้นไปยังเรือนหน้า”
อวัถังได้ฟัง ก็ลังเลขึ้นมาชั่วขณะ
แม้ว่าจะไป ก็ควรไปพรุ่งนี้เช้า หากกลัวว่าจะรบกวนเวลาของเผยเยี่ยน ก็ให้ชิงหยวนช่วยเขียนจดหมายให้ได้
ไฉนนางต้องไปบอกเผยเยี่ยนด้วยตัวเองเล่า?
อวี้ถังยืนนิ่งอยู่ตรงทางเดินหินอ่อน ราวกับถูกหมอกหนาปกคลุม คล้ายกับหากดวงอาทิตย์ออกมาก็จะสามารถเห็นบริเวณโดยรอบได้ชัดเจนทันที ทั้งคล้ายกับถูกกั้นด้วยสายน้ำขุนเขานับพัน ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ตรงไหนเช่นกัน
“อวี้ คุณหนูอวี้!” มีเสียงอ่อนโยนทั้งไม่ลดทอนความสง่างามของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างลังเล
อวี้ถังเงยศีรษะหันไปตามเสียง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของกู้ฉ่าง
“ใต้เท้ากู้!” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ ชี้ที่ตัวเองอย่างไม่กล้าเชื่อ “ท่านเรียกข้าอย่างนั้นรึ?”
ควรรู้ว่า ชาติก่อนยามที่นางเป็นน้องสะใภ้ของกู้ซี ล้วนไม่เคยพูดกับกู้ฉ่างต่อหน้าเช่นนี้
นางกลับมาเกิดอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะได้พูดกับกู้ฉ่าง
อวี้ถังรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
———————–
[1]เซียนเค่อหลาย ดอกไซคลาเมน
[2]ดอกฉาไห่ มีลักษณะคล้ายกับดอกคามิเลีย