ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 267 เร่งรุดข้ามคืน
เผยเยี่ยนไม่ชอบใจ เขาคิดว่าตนควรไปถามอวี้ถังว่านางหมายความอย่างไรแน่ แต่สัญชาตญาณก็บอกว่าไปถามตอนนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร ทั้งเขารู้สึกคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องทำ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร จู่ๆ ก็นึกไม่ออกเสียอย่างนั้น
เขาลากเท้าไปมาในห้อง ทันใดเด็กรับใช้ก็เข้ามารายงาน บอกว่ากู้เจาหยางขอพบ
เผยเยี่ยนขมวดคิ้วจนหน้าผากปรากฏคล้ายตัวอักษรที่มีขีดสามเส้น
กู้เจาหยางผู้นี้ ช้าไม่มาเร็วไม่มา จะต้องวิ่งมาหาเขาตอนที่เขามีปัญหาอยู่ตลอด
เผยเยี่ยนหน้าตึงทรุดนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ ตวาดเสียงออกไปว่า “เชิญเขาเข้ามา”
กู้เจาหยางก้าวฉับๆ เข้ามาทันที
เขาเพิ่งกลับมาจากด้านนอก บนร่างยังสวมชุดที่ไปพบแขกอยู่ เป็นชุดคลุมหลวมลายอู่ฝูสีน้ำเงิน คาดด้วยผ้าคาดเอวสีเข้ม ห้อยถุงผ้าเหลืองปักลายไผ่เขียว สีสันบนร่างขับให้ผิวเขาขาวผ่องดังเนื้อหยก ท่าทางคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
เผยเยี่ยนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง
กู้เจาหยางกับเติ้งเสวี่ยซงคุยกันถูกคอ บรรลุเป้าหมายของวันนี้ได้สำเร็จ คนจึงอารมณ์เบิกบานนัก คิดว่าเผยเยี่ยนทางนี้คงมีเรื่องยุ่งยากกองท่วมอยู่ คงต้องหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นธรรมดา เขาย่อมไม่ถือสาเผยเยี่ยนอยู่แล้ว
เขานั่งลงตรงหน้าเผยเยี่ยนด้วยรอยยิ้มพริมใจ รอจนสาวใช้ยกน้ำชาและขนมมาให้ ถึงเอ่ยว่า “เจ้าทางนี้ราบรื่นดีหรือไม่?”
ตอนแรกที่พวกเขาตกลงกันไว้ ซุนเกาทางนั้นให้หวังชีเป่ารับผิดชอบ ส่วนเจียงหนานทางนี้ให้เผยเยี่ยนดูแล
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนทางนี้คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว แต่อินเฮ่ายังไม่กลับไป ชัดเจนว่าเรื่องราวยังไม่ได้ข้อสรุป ธุระของเผยเยี่ยนยังไม่สำเร็จเรียบร้อย
เผยเผี่ยนมองหน้าตาระรื่นของเขา พลันนึกออกทันทีว่าเมื่อครู่เขาหลงลืมอะไรไป!
เขาลืมสั่งให้คนไปสืบ ว่าอวี้ถังรู้จักกับกู้ฉ่างตั้งแต่ตอนไหน และรู้จักกันได้อย่างไร…
เผยเยี่ยนพลันเห็นกู้เจาหยางเป็นเหมือนนกยูงที่กำลังรำแพนหางตัวหนึ่ง ทั้งไม่รู้จักกาลเทศะ รำแพนหางไม่เลือกเวลา กลัวคนอื่นไม่รู้หรืออย่างไรว่าตนลำพองได้ใจขนาดไหนในตอนนี้
“ข้าทางนี้มีอะไรให้ไม่ราบรื่นกัน?” เขาเอ่ยเสียงเอื่อย ทว่ากล้ามเนื้อกลับเกร็งตึงไปหมด ดั่งลูกธนูที่ถูกเหนี่ยวไว้สุดกำลัง พร้อมยิงใส่คนตลอดเวลา แต่ยิ่งอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ เขาก็ยิ่งแสดงออกว่าเบิกบานแจ่มใส…เพราะไม่ต้องการสิ้นเปลืองอารมณ์กับอีกฝ่าย “ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างหารือกันแล้ว ต่างคนต่างทำตามหน้าที่ที่ได้รับไป ต่อให้ไม่ราบรื่น นั่นก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น”
นั่นน่ะสิ! เรื่องราวเดินทางไกลมาเพียงนี้ ทุกคนได้แต่ทุ่มสุดกำลังเพื่อผลักดันมันไปข้างหน้า ไม่อย่างนั้นจะมานั่งเสียใจแล้วถอยหลังกลับไปรึ?!
กู้เจาหยางไม่ได้ส่งเสียง
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
เขารู้ว่ากู้เจาหยางไปทำสิ่งใดมา และรู้ด้วยว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น ดูจากท่าทางของกู้เจาหยางแล้ว น่าจะราบรื่นไม่ติดขัด ตอนนี้ที่มาหาเขา มิใช่เพราะต้องการขยับเข้าใกล้เติ้งเสวียซงอีกก้าวหรือ คงคิดนัดเขากับอินเฮ่าไปเป็นเพื่อน เชิญเติ้งเสวียซงมากินข้าวด้วยกัน?
เผยเยี่ยนไม่อยากไปเท่าไร
เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเรื่องนี้เขาก็ออกแรงด้วยเหมือนกัน
แม้จะบอกว่าใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมไม่พัดผ่าน แต่การยอมรับอย่างเปิดเผยกับการคาดเดาอย่างมั่วๆ นั้นมีข้อแตกต่างกันมากทีเดียว
ใครจะคิดว่ากู้เจาหยางกลับหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เมื่อวานข้าเห็นคุณหนูอวี้จากสกุลอวี้ซิ่วไฉ ได้ยินว่าสกุลนางสนิทกับสกุลเจ้า เจ้าหาหญิงรับใช้ที่คุ้นเคยกับคุณหนูอวี้ให้ข้าสักคนได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องที่อยากสืบถาม”
ขนอ่อนของเผยเยี่ยนตั้งชัน คล้ายกับราชสีห์ที่ถูกรุกล้ำอาณาเขต ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทิ่มแทงทันที “เจ้าจะสืบเรื่องคุณหนูอวี้ไปทำไม? พวกเราสองสกุลรู้จักมักคุ้นกัน เจ้ามีเรื่องอะไรสามารถถามกับข้าได้”
กู้เจาหยางรู้สึกถึงกระแสต่อต้านของเผยเยี่ยนได้ชัดเจน แต่เขาคิดว่าเผยเยี่ยนกำลังเข้าใจผิดนึกว่าเขาจะสืบถามเรื่องเรือนหลัง จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และเพราะปฏิกิริยาของเผยเยี่ยนนี้เอง ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะจะถามเผยเยี่ยน เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าไม่กระจ่างก็แล้วไปเถอะ รอไว้มีโอกาส ข้าค่อยไปถามท่านแม่เฒ่าสกุลเผยก็ได้”
กู้ฉ่างหมายความว่าอย่างไร?
เดี๋ยวก็รีบร้อนทนรอไม่ไหว เดี๋ยวก็เชื่องช้าใจเย็น เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
สายตาที่เผยเยี่ยนใช้มองกู้ฉ่างยังคงเจือกระแสระแวดระวังหลายส่วน
กู้ฉ่างหลุดยิ้ม รู้สึกว่าตัวเองออกจะใจเร็วด่วนได้ไปหน่อย
เขาเปลี่ยนบทสนทนา หันไปรำลึกความหลังกับเผยเยี่ยนพักหนึ่ง ก่อนจะขอตัวจากไป
เผยเยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเขาที่เคลื่อนออกไป ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีแวบผ่าน
แต่ใครบังอาจมาทำให้เขาหงุดหงิดได้เล่า?
พลันดวงหน้าของอวี้ถังก็ลอยขึ้นมาในสมองเขา
เผยเยี่ยนตกใจสะดุ้งโหยง
นี่เป็นเพราะอวี้ถังรึ?
เผยเยี่ยนเพิ่งจะรู้สึกตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า เมื่อครู่ตอนที่กู้ฉ่างสนทนากับเขา ทั่วร่างเขาเกร็งเครียดอยู่ตลอด
เขานึกถึงคำที่บิดาเคยชมเขาเอาไว้
บอกว่าเทียบกับพี่ชายทั้งสองแล้ว เขามีสัญชาตญาณเหมือนกับพวกสัตว์ป่ามากกว่า
แต่ก่อนเขายังเคยไม่พอใจเพราะเรื่องนี้
ภายหลัง หลายๆ เหตุการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่า เขามีสัญชาตญาณเช่นนั้นอยู่จริงๆ
เผยเยี่ยนรู้สึกกระสับกระส่าย
เขาได้แต่เดินวนไปมาอยู่ในห้อง
อินเฮ่ามาพบเขา พอเห็นท่าทางเช่นนั้นก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าเป็นอะไรน่ะ? ข้าได้ยินว่าเมื่อครู่กู้เจาหยางมาหาเจ้า? เขาทางนั้นเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มี!” เผยเยี่ยนไม่ต้องการให้อินเฮ่ารู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทั้งไม่ยินยอมให้คนไปสนใจในตัวอวี้ถัง จึงถามอินเฮ่ากลับว่า “เจ้ามาหาข้าทำไม?”
อินเฮ่าตอบว่า “เถาชิงมาถึงแล้ว ตอนนี้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมชิงเฟิง นัดให้พวกเราไปเจอกันที่โรงเตี๊ยมตอนเย็น”
โรงเตี๊ยมชิงเฟิงเป็นโรงเตี๊ยมในเมืองหังโจวของสกุลเถา เห็นชัดว่าเถาชิงไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเดินทางมาที่หังโจว
เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกเราสองคนไปด้วยกันมิใช่สะดุดตากว่ารึ? หากเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้จริงๆ ก็ไปพักที่วัดหลิงอิ่นเถอะ พรุ่งนี้หลังจากพวกเราไปพบหวังชีเป่าค่อยไปจุดธูปไหว้พระที่วัดหลิงอิ่นต่อ ทั้งยังสามารถใช้ห้องสงบใจของเจ้าอาวาสได้ด้วย”
อินเฮ่าหัวเราะตอบว่า “อุบายเลวๆ แบบนี้พวกเราไม่มีใครสู้เจ้าได้สักคน ข้าสงสัยมานานแล้ว เจ้าน่ะก็เป็นลูกหลานสกุลใหญ่ ร่ำเรียนวิชามาตั้งแต่เล็ก แต่พอทำเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมา กลับปราดเปรื่องยิ่งกว่าพวกข้าราวกับเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัว…”
เผยเยี่ยนตัดบทเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “สรุปจะเจอกันเย็นนี้หรือว่าพรุ่งนี้ที่วัดหลิงอิ่น เจ้าตัดสินใจให้ไว ข้าอายุยังน้อย ต้องเชื่อฟังผู้แก่กว่า!”
“เพ่ยๆ!” อินเฮ่าไม่เชื่อเขา “เอาอย่างที่เจ้าว่าก็แล้วกัน พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปเจอกันที่วัดหลิงอิ่น”
ดีเหมือนกัน เช่นนี้สามารถไปหลอกล่อให้พวกอวี้ถังเดินทางล่วงหน้าไปวัดหลิงอิ่นก่อนได้
เขาจะถามให้ชัดเจนเสียทีว่านางไปรู้จักกับกู้ฉ่างได้อย่างไร
เผยเยี่ยนสาวเท้าเตรียมจะเดินออกไปหาอวี้ถัง แต่พอถึงประตู ก็ชะงักเท้ากึก
ไม่ได้ เขาจะไปทั้งแบบนี้ไม่ได้!
ครั้งก่อนเขาระงับอารมณ์ไม่อยู่ พอถามนางเรื่องนี้ กลับไปล่วงเกินนางเข้า เขาอุตส่าห์คิดหาวิธีชดเชยให้นางอย่างยากลำบาก หากว่าเรื่องนี้เป็นสาเหตุทำให้นางไม่ชอบใจอีก ตอนนี้เขาคิดวิธีชดเชยให้นางไม่ออกแล้ว เพื่อความปลอดภัย เขาควรอดทนรอไปก่อน รอพรุ่งนี้ไปถึงวัดหลิงอิ่นแล้วค่อยถาม
เผยเยี่ยนเดินย้อนกลับมา
ทว่า ทำไมอวี้ถังไม่สั่งคนไปส่งจดหมายให้บิดาของนางเล่า?
นางมิใช่คนอย่างนั้นเสียหน่อย!
เผยเยี่ยนเริ่มลังเลขึ้นมาอีกรอบ
เขาคิดแล้วคิดอีก คิดอย่างไรก็คิดไม่เข้าใจเสียที
เขารู้สึกว่าตนควรไปขอคำแนะนำจากใครสักคน
โจวจื่อจินชอบยุ่งเรื่องไร้สาระที่สุด เขามีประสบการณ์มาก นับเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง น่าเสียดายที่เขาไปเมืองหลวงเสียแล้ว
กู้เจาหยาง นั่นไม่มีทางใช้ได้แน่
เผยเยี่ยนร้องเหอะออกมาเบาๆ
ในเรือนนี้ก็เหลือเพียงอินเฮ่าคนเดียวแล้ว
แต่อินเฮ่านั้น ปัญหาในเรือนของตนยังจัดการเองไม่ได้ ต่อให้เขามีวิธี นั่นก็ต้องเป็นวิธีที่น่าละอายแน่
หรือว่า…เถาชิง!
เขาเป็นคนใจกว้างเปี่ยมคุณธรรม เห็นตนเหมือนน้องชายคนหนึ่ง สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นคนตรงไปตรงมา จริงใจต่อผู้อื่น ต่อให้ตนก่อเรื่องขายหน้า เขาย่อมไม่มีทางพูดออกไปแน่ ยิ่งไม่ทางหัวเราะเยาะเขาเด็ดขาด
เผยเยี่ยนคิดได้เช่นนั้น ในใจก็เกิดความคิดสารพัด พลันไม่อาจสงบอารมณ์ได้
เขาให้คนไปเรียกชิงหยวนมา สั่งนางหาทางกล่อมอวี้ถังให้เดินทางไปจุดธูปไหว้พระที่วัดหลิงอิ่นในวันพรุ่งนี้ เสร็จแล้วเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำตัวไม่สะดุดตา แล้วลอบออกไปยังโรงเตี๊ยมชิงเฟิง
เถาชิงนอนพักไปแล้ว พอได้ยินว่าเผยเยี่ยนมาหา ก็ตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เขาคลุมผ้าคลุมรีบลากรองเท้าวิ่งออกไปรับหน้าเผยเยี่ยน พาไปนั่งที่ห้องรับแขกด้วยตนเอง โบกมือไล่สาวใช้ในห้องทั้งหมด แล้วลงมือชงชา พลางถามเขาไปด้วยว่า “มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่?”
เผยเยี่ยนทรุดตัวลงนั่ง มองดวงหน้าผ่ายผอมที่อยู่ใต้แสงไฟสลัว พลันรู้สึกว่าตนใจร้อนบุ่มบ่าม เขาลูบจมูกไปมา ผ่านไปครึ่งวันก็ยังไม่รู้จะพูดอะไรดี
เถาชิงมองเห็นความข่มกลั้นของเผยเยี่ยนอยู่ในที หัวใจเต้น ‘ตึกตัก’ คิดว่าจากคุณสมบัติของเถาอันหากต้องแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซีก็ออกจะยากเย็นอยู่บ้าง นอกเสียจากสกุลจางจะช่วยต้อนรับขับสู้ ทั้งยังต้องขอให้สกุลหลี สกุลเสิ่นและเจียงหวามาช่วยอีกแรง ส่วนคนที่ออกความเห็นให้ดันเถาอันขึ้นรับตำแหน่งก็คืออินเฮ่ากับเผยเยี่ยน แต่พอเห็นท่าทางของเผยเยี่ยน หรือแผนการยังไม่ทันได้เริ่มก็เกิดเสียงแตกแยกขึ้นมาแล้ว?
แต่ไรเขาก็เป็นคนสุขุม ทั้งผ่านพายุลมหนาวมานับไม่ถ้วน รู้ดีว่าบางอย่างต้องแล้วแต่วาสนาด้วย แม้จะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็หาได้ดึงดันไม่ยอมปล่อย อีกอย่างนี่ก็เป็นน้ำใจที่เผยเยี่ยนมอบให้สกุลเถา เขายิ่งไม่อาจทำให้เผยเยี่ยนต้องลำบากใจ
หลังจากรินน้ำชาให้เผยเยี่ยนแล้ว มือก็เอื้อมไปหยิบกล่องขนมมาวางบนโต๊ะ “นี่เป็นขนมที่มาจากกว่างโจว ข้าตั้งใจให้โรงเตี๊ยมชิงเฟิงเตรียมไว้เป็นพิเศษ แขกที่มาพักที่นี่ล้วนกลับมาพักซ้ำๆ เพราะขนมกล่องนี้ เจ้าลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่”
เผยเยี่ยนนึกขึ้นได้ว่าครอบครัวของอวี้ถังมักทำขนมมอบให้ผู้อื่นบ่อยๆ ครอบครัวของนางจะต้องชอบทำขนมมากแน่ เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านห่อให้ข้านำกลับสักหน่อยได้หรือไม่ ข้า…จะให้คนข้างกายลองชิมดู”
เถาชิงกลัวแต่ว่าเขาจะเกรงใจตน ได้ยินดังนั้นก็รีบสั่งเด็กรับใช้ข้างกายไปห่อขนมด้วยความยินดี ทั้งเอ่ยว่า “เจ้ากับอาอันแต่ไรก็สนิทสนมกัน ทั้งเจ้ายังอ่อนกว่าอาอันหลายปี ข้าก็เห็นเจ้าเป็นเหมือนน้องชายคนเล็ก เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ได้เลย…ระหว่างพี่น้อง ไม่ต้องเกรงใจกัน และไม่ต้องวิตกกังวลให้มาก!”
เผยเยี่ยนมองดวงตาที่สงบนิ่งของเถาชิง ริมฝีปากเขาแห้งผาก เวลานั้นพลันไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
เถาชิงไม่ได้เร่งรัดเขา เพียงแต่คอยเติมชาให้อยู่เรื่อยๆ
เผยเยี่ยนดื่มชาไปสามถ้วยติดๆ กัน รู้สึกว่าถ่วงเวลาต่อไปก็มีแต่เสียเวลาเปล่า เขาหลับตาแน่น แล้วเริ่มเล่าเรื่องอวี้ถังให้เถาชิงฟัง ทว่า ในใจลึกๆ เขาก็ยังระแวดระวังอยู่ ไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาจะเตะสกุลซ่งออกไปให้เถาชิงฟัง บอกเพียงว่าเขาแนะนำกิจการใหญ่ให้สกุลอวี้
เถาชิงอ้าปากค้าง นานโขก็ยังพูดอะไรไม่ออก
เขาค่อยๆ เลียบเคียงถามเผยเยี่ยนอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่เฒ่ารู้จักคุณหนูอวี้หรือไม่?”
“รู้จักสิ!” เผยเยี่ยนตอบอย่างไม่เข้าใจ แล้วเล่าว่าอวี้ถังทำอย่างไรถึงได้รับความโปรดปรานจากท่านแม่เฒ่าให้เถาชิงฟัง
เถาชิงถอนหายใจโล่งอก
เขามองใบหน้างุนงงไม่ประสาของเผยเยี่ยน แล้วตัดสินใจเล่นบทคนเป็นใบ้
เพราะเรื่องนี้ต่อให้จำเป็นต้องเฉลย แต่คนที่เฉลยไม่สมควรจะเป็นเขา
อีกอย่างฐานะของคุณหนูอวี้ค่อนข้างต่ำต้อย เผยเยี่ยนจะยินดีสู่ขออวี้ถังโดยไม่สนใจสายตาของผู้อื่นหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าใครจะคาดเดาได้
เขาหัวเราะเอ่ยว่า “ข้าฟังจากที่เจ้าเล่า คุณหนูอวี้ไม่คล้ายว่าหายโกรธเลย เป็นเพราะคุณหนูอวี้ไม่ได้เชื่อมโยงสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันหรือเปล่า?”