ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 271 เตือนสติ
ชั่วขณะนั้นกู้ฉ่างก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
คิดว่าความคิดเล็กๆ นั้นของเขาเหมือนจะถูกคุณหนูสวีมองออก
เขากระแอมไออย่างไม่เป็นตัวเอง
อวี้ถังกลับเข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดเขาถึงมักมาพูดคุยกับตัวเอง
นางตกตะลึง ผ่านไปค่อนวันก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้ ยังคงเป็นคุณหนูสวีที่ดึงแขนเสื้อนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่รองอินและเผยสยากวงกำลังคุยกันอยู่ ใต้เท้ากู้ถามพวกเราว่าอยากไปเดินเที่ยวในวัดหย่งฝูก่อนหรือไม่”
อวี้ถังรู้สึกสับสนในใจ
นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่ากู้ฉ่างจะเกิดความรู้สึกดีต่อนาง
ชาติก่อนเขาแต่งงานกับลูกสาวของอาจารย์ มีความสัมพันธ์รักใคร่แน่นแฟ้นกับภรรยา ไม่สนใจผู้หญิงคนอื่นแต่อย่างใด ยามที่นางพบเขาครั้งแรก เขาถึงกระทั่งไม่เหลือบตามองนางเสียด้วยซ้ำ
นึกไม่ถึงว่าชาตินี้ เรื่องทั้งหมดล้วนเริ่มใหม่อีกครั้ง กู้ฉ่างก็เดินบนเส้นทางที่แตกต่างกับชาติก่อนโดยสิ้นเชิง
ตกลงภายในนี้มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ทำให้เรื่องราวผิดพลาดไปเช่นนี้?
นางมองกู้ฉ่าง ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
กู้ฉ่างกลับเข้าใจไปว่านางกำลังเขินอาย ยิ้มอย่างเคอะเขิน เอ่ยว่า “หากคุณหนูอวี้เหนื่อยแล้ว พวกเราก็รอพวกเขาที่นี่ก็ได้ จะว่าไปแล้ว ข้ายังไม่รู้เลยว่าเหตุใดคุณหนูอวี้จึงได้สนิทสนมกับสกุลเผยถึงขนาดนี้? เพราะพวกเจ้าสองสกุลไปมาหาสู่กันฉันญาติมิตรหรือ?”
อวี้ถังมองกู้ฉ่างที่เผยสีหน้าอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คิดว่าความชมชอบของกู้ฉ่างพาให้นางรู้สึกเหมือนก้างปลาติดคอ…เขาลืมผู้หญิงอีกคน แต่กลับเอาใจใส่ต่อนางมากขึ้น นางไม่อาจรับได้จริงๆ!
“ไม่ต้องหรอก” นางไม่อยากสนทนากับกู้ฉ่างต่อ เอ่ยปฏิเสธอย่างอ้อมๆ “ใต้เท้ากู้ นายท่านสามและใต้เท้าอินล้วนเป็นบัณฑิตคาดว่าคงมีหลายเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนพวกเราหรอก ทางพวกเรายังมีหญิงรับใช้ เด็กรับใช้ ทั้งผู้คุ้มกัน ปลอดภัยอย่างยิ่ง ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้!” พูดจบก็ไม่สนใจว่ากู้ฉ่างมีท่าทีอย่างไร เอ่ยด้วยรอยยิ้มกับคุณหนูสวี “พวกเราอย่าได้รบกวนธุระของพวกเขาเลย ไปเดินเล่นในวัดหย่งฝูกันก่อนเถิด! ข้าไม่อยากกลายเป็นภาระให้ใต้เท้าอินและนายท่านสาม”
คุณหนูสวีประหลาดใจยิ่ง แต่นางก็ฝืนไม่แสดงท่าทีใดออกมา คล้อยตามไปกับอวี้ถัง “เจ้าก็พูดมีเหตุผล เป็นข้าที่ละเลยไป ใต้เท้ากู้ เช่นนั้นพวกเขาคงไม่รั้งเจ้าแล้ว พวกเราขอตัวก่อน”
กู้ฉ่างขมวดคิ้ว อยากจะพูดอะไรสักอย่าง คุณหนูสวีกลับพลิกจากสถานะแขกมาเป็นเจ้าบ้าน ดึงอวี้ถังสาวเท้าไปยังวัดหย่งฝูอย่างรวดเร็ว
พวกหญิงรับใช้ของอวี้ถังและคุณหนูสวีพากันติดตามเบื้องหลังพวกนางไปอย่างอึกทึกครึกโครม
กู้ฉ่างขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
คุณหนูอวี้ นี่คือ…ไม่ชอบเขาอย่างนั้นรึ?
กู้ฉ่างคิดว่ามีความเป็นไปได้น้อย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็นับว่าเป็นบุตรเขยเต่าทองคำคนหนึ่ง จากฐานะของอวี้ถัง หากไม่มีโอกาสประจวบเหมาะ นางย่อมไม่อาจคบค้าสมาคมกับคนอย่างเขาได้ นางจะไม่ชอบเขาได้อย่างไร?
หรือว่า อวี้ถังมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้
กู้ฉ่างมองไปยังเผยเยี่ยนอย่างตกใจอยู่บ้าง
คล้ายว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวมากมายล้วนกระจ่างขึ้นมาแล้ว
ชั่วพริบตานั้น ในใจของกู้ฉ่างก็คล้ายกับกลืนแมลงวัน ยากจะรับได้อย่างยิ่ง
เขาอยากจะสะบัดแขนเสื้อจากไป แต่ในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นมาหลายส่วน
จากชาติกำเนิดของเผยเยี่ยน ย่อมไม่อาจแต่งกับคุณหนูอวี้ หรือคุณหนูอวี้ก็คิดว่าเขาอยากรับนางเป็นอนุภรรยา?
เป็นครั้งแรกที่กู้ฉ่างอยากโยนเรื่องนี้ไปไว้ข้างหลัง ทำเป็นว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในใจกลับไม่ยินยอมที่จะปล่อยไป ไม่อยากพลาดพลั้งจากโอกาสครั้งนี้
เขาตัดสินใจจะขอคุณหนูสวีให้ช่วยพูดคุย
หากอวี้ถังยินยอมเป็นอนุของเผยเยี่ยนก็ต้องแต่งเข้าจวนสกุลเผย เช่นนั้นก็ทำเป็นว่าเขาพลั้งเผลอไปรู้จักคนๆ หนึ่งก็เพียงพอแล้ว!
กู้ฉ่างครุ่นคิดแล้ว ในใจก็รู้สึกสงบลงมา เริ่มใคร่ครวญว่าจะทำอย่างไรให้คุณหนูสวีช่วยสืบถาม
ด้านคุณหนูสวี หลังจากเดินพ้นจากกู้ฉ่างแล้วก็ดึงอวี้ถังมากระซิบอย่างตื่นเต้น “เป็นอะไรรึ? เจ้าคิดว่ากู้เจาหยางร่ำรี้ร่ำไรอย่างนั้นรึ? หรือว่าเจ้าเข้ากับคนนอกไม่ค่อยได้? กู้เจาหยางผู้นี้ก็ดีไม่น้อย อินหมิงหย่วนประเมินเขาไว้สูงอย่างยิ่ง กล่าวว่าเขาเป็นขุนนางอายุน้อยที่มีความสามารถหาได้ยาก อินหมิงหย่วนยังไม่เคยประเมินคนอื่นเช่นนี้มาก่อน แม้จะเป็นเผยเยี่ยน ก็ได้แค่คำว่า ‘พอใช้ได้’ จากปากของอินหมิงหย่วนเท่านั้น”
หากเขาทำความรู้จักกับอวี้ถังจนถึงขั้นไปสู่ขอที่สกุลอวี้ได้ ก็นับเป็นงานแต่งที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน
แต่หากเขาแค่เห็นคนงามก็คิดจะผูกสัมพันธ์ เช่นนั้นก็อย่าโทษนางที่ใช้อำนาจกลั่นแกล้งเขาแล้วกัน
คุณหนูสวีลอบขบคิดอยู่ในใจ
อวี้ถังเร่งเอ่ยว่า “ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าคิดว่างานแต่งของตัวเอง ควรให้พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจจะดีกว่า อีกอย่าง เจ้าไม่ใช่บอกข้าหรือว่า เขาจะแต่งงานกลับลูกสาวของอาจารย์? ข้าคิดว่า ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาวางแผนจะแต่งกับคนอื่น พวกเจ้าล้วนรู้กันหมด นั่นก็นับเป็นคำสัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร เขาตีหน้าตายพูดคุยกับข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้เย็นชาเกินไป ข้าไม่ค่อยชอบ”
รอยแตกระหว่างกู้ฉ่างและซุนเกา คุณหนูสวีล้วนทราบดี นางไม่ชอบคนของสกุลซุน จึงได้เห็นใจกู้ฉ่างอย่างยิ่ง คิดว่าหากกู้ฉ่างตัดสินใจสลัดสกุลซุนก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป รวมทั้งกู้ฉ่างเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ยามนี้นางจึงโอนอ่อนให้กู้ฉ่างโดยไม่รู้ตัว
คำพูดของอวี้ถังคล้ายตีแสกกลางหน้า พาให้นางได้สติขึ้นมา
นางทั้งตกใจทั้งตื่นกลัว
หากอวี้ถังเป็นคนหูเบา หรือไม่มีความคิดความอ่าน ฟังคำเป่าหูของนาง ทำเรื่องอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางจะจัดการอย่างไร?
คุณหนูสวีอดคว้าแขนอวี้ถังไว้ไม่ได้ เอ่ยอย่างจริงใจ “อาถัง เจ้าช่างเป็นเพื่อนที่ทัดทานข้าได้จริงๆ หากไม่มีเจ้า ข้าก็คงทำเรื่องผิดครั้งใหญ่!”
อวี้ถังไม่เข้าใจ
คุณหนูสวีไม่มีหน้าจะอธิบายกับนางอย่างละเอียด เอ่ยอ้อมค้อม “เจ้าพูดถูก! เขาทำเช่นนี้ เย็นชาไปบ้างจริงๆ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า ภายหลังข้าต้องคิดก่อนทำ หากข้าทำตรงไหนผิดไป เจ้าต้องทักท้วงข้า ให้ข้าอย่าได้ทำผิดพลาดเช่นนี้อีก”
อวี้ถังเห็นใบหน้าคุณหนูสวีซีดเผือดไปหมด หน้าผากชื้นเหงื่อ คิดว่านางจริงจังกับเรื่องนี้เกินไป อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ดูเจ้าพูดสิ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า ข้าเพียงไม่ชอบให้มีคนชายตามองข้าจากด้านบน คล้ายว่าเขาชอบข้า นับเป็นเกียรติที่สูงส่ง ข้าต้องรับไว้ด้วยความยินดีปรีดา ไม่อาจหาคนอื่นที่ข้าชอบได้แล้ว?”
นางเคยถามตัวเองหลายต่อหลายครั้ง
คนในครอบครัวกังวลเรื่องงานแต่งของนาง คนที่มาทาบทามเป็นลูกเขยหลายคนล้วนมีคุณสมบัติที่ครบครัน นางกลับยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย ทั้งจิตใจห่อเหี่ยวขึ้นเรื่อยๆ
หรือแต่งงานกันแล้ว ทั้งสองคนใช้ชีวิตรักใคร่เคารพให้เกียรติกัน ต้อนรับขับสู้ประหนึ่งแขกเหรื่อก็ได้แล้วอย่างนั้นรึ?
ไม่อาจจะเป็นเหมือนบิดาและมารดานางหรืออย่างไร ยามที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมักจะมีเรื่องให้พูดไม่จบไม่สิ้น ทำเรื่องอะไรก็สุขสันต์เปรมปรีดิ์ ไม่ว่าจะให้กำเนิดบุตรหรือธิดา ล้วนใช้ชีวิตด้วยความรักและผูกพันกันเหมือนเดิม
นางต้องการชีวิตคู่ที่เหมือนกับบิดาและมารดา
เพียงแต่นางรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าความคิดเช่นนี้ของตัวเองอาจจะทำให้หลายคนไม่ชอบใจ จึงเก็บไว้ข้างในไม่เคยพูดอยู่เรื่อยมา
ครั้งนี้คุณหนูสวีทำท่าราวกับทำผิดครั้งใหญ่ พาให้นางเกิดความใจอ่อน พูดเรื่องที่เก็บไว้ในใจออกมา
คุณหนูสวีได้ยินกลับตาเป็นประกายขึ้นมา “อาถัง! ไม่แปลกใจที่ข้าและเจ้าอยู่ห่างกันไกลเป็นโยชน์ พบกันครั้งเดียวกลับสามารถกลายเป็นสหายสนิทได้ ที่แท้พวกเราล้วนมีความคิดเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าไม่อยากแต่งให้อินหมิงหย่วน ก็เพราะทุกคนต่างคิดว่าอินหมิงหย่วนชอบข้า นั่นเหมือนเป็นความโชคดีของข้าแล้ว ภายหลังตัดสินใจแต่งงานให้อินหมิงหย่วนก็เพราะอินหมิงหย่วนดีต่อข้า ข้าชอบเขา ไม่ใช่เพราะการหมั้นหมายของสองสกุลหรืออะไรอื่นใด ข้าเคยพูดกับท่านแม่มาก่อน ผลปรากฏว่าข้าถูกท่านแม่สั่งสอนยกใหญ่ ข้าจึงไม่กล้าพูดอีก ข้ายังคิดว่าใต้หล้าแห่งนี้มีเพียงข้าคนเดียวที่คิดเช่นนี้ ที่แท้ก็ยังมีคนที่เหมือนกับข้า!”
นางกอดอวี้ถังอย่างดีอกดีใจ เผยท่าทีสนิทสนมออกมา ดูสนิทชิดเชื้อกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาหลายส่วน
“พวกเราต้องเป็นเพื่อนสนิทกันไปชั่วชีวิตให้ได้” นางเอ่ย “แม้ว่าภายหลังข้าอยู่เมืองหลวง เจ้าอยู่หลินอัน พวกเราก็ต้องเขียนจดหมายหากันบ่อยๆ ให้ข้าได้รู้ว่า ข้าไม่ได้ตัวคนเดียว”
ขณะที่คุณหนูสวีเอ่ย น้ำตาก็รินไหลออกมา
อวี้ถังก็รู้สึกใจหายเช่นกัน
นางตบไหล่คุณหนูสวีเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเรารีบไปเดินเล่นในวัดหย่งฝูสักรอบก่อนเถิด? ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวพวกใต้เท้าอินเข้ามา พวกเราก็คงไม่ได้เดินเล่นแล้ว!”
“จริงสิ!” คุณหนูสวีเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นเผยยิ้ม เอ่ยว่า “พวกเขาช่างน่าเบื่อจริงๆ มาจนถึงที่นี่แล้วก็ยังเอาแต่ยุ่งเรื่องพวกนั้น พวกเราไม่ควรมาเที่ยววัดหย่งฝูกับพวกเขาตั้งแต่แรก หรือพวกเราเดินเล่นเสร็จแล้วก็กลับไปให้เร็วหน่อย สั่งอาหารเจมากินเอง ถึงเวลานั้นก็ให้เผยสยากวงเป็นคนจ่าย…นอกจากพวกเราไม่ต้องกินข้าวเย็นร่วมกับพวกเขาแล้ว ยังจะได้กลับก่อนพวกเขา ให้พวกเขาเที่ยวเล่นกันเอง!”
อวี้ถังคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี
รอจนยามที่เผยเยี่ยนรู้เรื่อง อวี้ถังและคุณหนูสวีก็กลับจวนแล้ว ชะล้างทำความสะอาดร่างกายที่เหนื่อยล้า ก่อนจะนอนอ่านหนังสืออย่างสบายๆ บนเตียง
เผยเยี่ยนโมโหจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตัดสินใจว่าจะจัดการอวี้ถังดีๆ เสียหน่อย แต่ก่อนจะจัดการอวี้ถัง เขาต้องช่วยอวี้ถังหาหญิงวัยกลางคนหรือสาวใช้ที่เป็นวรยุทธ์สักคน เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะข่มขู่อวี้ถัง อวี้ถังก็คงไม่ถึงกับตกใจกลัวเขาจริงๆ หรอก
เขาวิ่งโร่ไปหาอินเฮ่า
ปรากฏว่าอินเฮ่าไปพบนายหญิงสามสกุลหยาง
เขาจึงนั่งรออินเฮ่าอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่นั่น
อินเฮ่ากำลังพูดเรื่องกู้ฉ่างกับนายหญิงสามสกุลหยาง “แม้จะกล่าวว่าเป็นคำแนะนำของสยากวง แต่ข้าก็คิดว่าดีไม่น้อยเช่นกัน ทั้งเรื่องเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรพวกท่านอาก็คิดรอบคอบกว่าชายหนุ่มอย่างพวกเรา สรุปแล้วเหมาะสมหรือไม่ ยังต้องขอให้พวกท่านอาช่วยตัดสินใจ”
คำว่า ‘พวกท่านอา’ ไม่เพียงหมายถึงนายหญิงสามสกุลหยาง ยังรวมถึงพวกนายหญิงจาง ผู้อาวุโสรุ่นก่อนหน้านี้
นายหญิงสามสกุลหยางกลับคิดคล้อยตาม
หากสกุลอินสามารถแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลเผยได้ย่อมดีที่สุด แต่หลายปีมานี้จากชื่อเสียงที่อยู่ภายนอกของสตรีสกุลอิน สกุลใหญ่ใช่ว่าจะยินยอมมอบลูกหลานที่เคี่ยวเข็ญอย่างลำบากหลายปีให้เป็นลูกเขยของสกุลอิน ดังนั้นช่วงไม่กี่ปีนี้งานแต่งของสกุลอินจึงเป็นเรื่องยากอยู่บ้าง
กู้ฉ่างไม่มีแรงสนับสนุน
หากสามารถโน้มน้าวให้กู้ฉ่างแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลอิน ก็ถือว่าได้เพิ่มอำนาจให้กับสกุลอิน
งานแต่งครั้งนี้ก็พอพูดกันได้
นายหญิงสามสกุลหยางเข้าใจประโยคที่ว่า ‘เวลาไม่คอยใคร’ อย่างลึกซึ้ง นางตัดสินใจทันที “หากสามารถเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้ งานแต่งครั้งนี้ย่อมเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะลูกสาวบ้านอารองของหมิงหย่วน เข้าสู่วัยปักปิ่นแล้ว กลับไม่เคยมีคนมาทาบทาม เพราะเรื่องนี้อารองของเขาล้วนผมงอกผมขาวขึ้นมาหลายเส้น”
เพราะลูกสาวอารองของอินหมิงหย่วนผู้นี้ไม่มีพี่น้อง ตั้งแต่เล็กจึงถูกเลี้ยงดูแบบเด็กผู้ชาย คนรอบตัวของสกุลอินล้วนรู้เรื่องนี้ดี นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่งานแต่งของลูกสาวลุงรองของเขาเป็นเรื่องยากเช่นกัน
อินเฮ่าหัวเราะ เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าดีเช่นกัน”
นายหญิงสามสกุลหยางก็ยิ้มตาม
อินเฮ่าเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะนัดกู้เจาหยางไปดื่มชา”
นายหญิงสามสกุลหยางเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่มั่นใจ ก็พาเผยสยากวงไปด้วย คนผู้นี้ ขอเพียงแค่ต้องการ ก็สามารถพูดกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ เหมาะที่จะพูดคุยกับแขกเป็นที่สุด”
อินเฮ่าแค่นเสียง ‘เหอะ’ ขึ้นมา “คนผู้นี้ มีอะไรไม่เหมาะสมกัน?”
นายหญิงสามสกุลหยางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา
อินเฮ่าหยัดกายขึ้นบอกลา