ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 274 สกุลอิน
อวี้ถังไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าไม่ได้คิดอะไรกับใต้เท้ากู้จริงๆ”
คุณหนูสวีไม่ค่อยจะเชื่อนาง “สายตาที่เจ้ามองใต้เท้ากู้ เหมือนว่าเจ้าคุ้นเคยกับเขา”
อวี้ถังได้แต่บอกไปว่า “นั่นเป็นเพราะข้ารู้จักกับกู้ซีน้องสาวของเขาต่างหาก หรือเจ้าไม่เคยเจอเป็นแบบนี้รึ?”
คุณหนูสวีเพิ่งจะเข้าใจ “เหมือนได้เจอสหายเก่า?!”
“ใช่!” อวี้ัถังหัวเราะ “คุณหนูกู้ใกล้จะแต่งเข้ามาอยู่ที่เมืองหลินอันแล้ว”
หมายความว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องเจอหน้ากันบ่อยๆ
คุณหนูสวีพยักหน้า แสดงอาการเข้าอกเข้าใจ นางลังเลว่าจะพูดเรื่องญาติผู้น้องคนนั้นของอินหมิงหย่วนกับอวี้ถังดีหรือไม่
ทว่าอวี้ถังกลับลากนางมานั่งที่โต๊ะกลมในห้อง หยิบถ้วยชายื่นให้นาง แล้วถามด้วยรอยยิ้มร่าว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร? เพราะเจ้ากับคุณหนูสกุลอินคนนั้นมีความแค้นกันหรือ?”
ความคันปากที่คุณหนูสวีฝืนข่มเอาไว้พลันถูกกระตุ้นอีกครั้ง
นางกระทืบเท้าเอ่ยว่า “ข้าจะไปมีความแค้นกับนางได้อย่างไร นางต่างหากที่คิดแค้นกับข้า เจ้าไม่รู้จักคนผู้นี้ หากว่าเจ้าได้รู้จักนาง เจ้าจะรับไม่ได้เหมือนข้านี่แหละ ตอนนี้นางจะได้ตบแต่งแล้ว ข้าจะรอดูว่าต่อไปนางจะกล้าชักสีหน้าใส่ข้าอีกหรือไม่”
คุณหนูอินแต่งงานออกไป คุณหนูสวีก็คือสะใภ้ของสกุลฝั่งมารดานาง อย่างไรนางก็ต้องเคารพเชื่อฟังถึงจะถูก
อวี้ถังได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ของคุณหนูสวี คล้ายว่าคุณหนูอินไม่พอใจนางอย่างมาก อวี้ถังจึงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ผู้อื่นเป็นน้องสามีเจ้า หากว่าเจ้าไม่ข่มกลั้นเอาไว้ แล้วไปรังแกนาง ถ้านางไปฟ้องใต้เท้าอินขึ้นมา เจ้าจะให้คุณชายอินกับใต้เท้าอินจัดการอย่างไร?”
คุณหนูสวีได้ฟังก็ปวดศีรษะตึบๆ “เจ้าไม่รู้อะไร ครั้งแรกที่ข้าเจอนางนางเพิ่งอายุได้เจ็ดแปดขวบ คนก็ดึงหน้าใส่ข้าแล้วถามว่า ข้าเป็นสะใภ้ของพี่สามนางใช่หรือไม่ ทั้งยังบอกว่าข้าพูดมาก น่ารำคาญ ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว หากว่าข้าอยากแต่งเข้าสกุลนาง ก็ต้องปฏิบัติตัวตามระเบียบ วาจาต้องงดงาม ทำตัวให้สงบเสงี่ยม ไม่อาจขาดไปแม้แต่ข้อเดียวได้ ตอนนั้นข้าโมโหจนทนไม่ไหว จึงบอกไปว่าข้าไม่มีทางแต่งเข้าสกุลนางแน่ ให้นางสบายใจได้ หากว่าสกุลนางคิดจะถอนหมั้น ด้านนอกยังมีคนรอต่อแถวมาสู่ขอข้าอีกเป็นกระสอบ”
“ใครจะคิดว่าพอนางได้ยินก็ทำหน้าเหมือนระเบิดไม้ไผ่ที่ถูกจุดชนวน กระชากคอเสื้อข้าจนหน้าดำหน้าแดง จะให้ข้าไปขอโทษอินหมิงหย่วนให้ได้ ทั้งยังบอกจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องบิดามารดาข้า ให้บิดามารดาข้าสั่งสอนข้าให้ดี”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเด็กตัวเล็กๆ อย่างนางจะมีแรงมากเพียงนั้น กระชากจนข้าเจ็บคอไปหมด พอข้าทนไม่ไหว ถึงได้ผลักนางออกไป”
“จากนั้นนางก็ล้มลงบนพื้น”
“หญิงรับใช้ข้างกายข้ารีบเข้าไปประคองนาง ยังถามนางอีกว่าเจ็บตรงไหนหรือไม่ แต่นางไม่ยอมพูดจา เอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียว”
“ไม่คิดว่าพอนางกลับไปถึงรู้ว่ากระดูกแขนเคล็ด…ข้าไม่เพียงต้องขอโทษนาง ยังถูกท่านพ่อบังคับให้ไปดูแลนางตั้งหลายวัน แต่นางก็ไม่จบไม่สิ้น จะให้ข้าไปเอ่ยปากรับรองต่อหน้าบิดาข้าให้ได้ บอกว่าต่อไปจะต้องแต่งให้อินหมิงหย่วนคนเดียว”
คุณหนูสวียิ่งเล่าเสียงก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ “ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย นางเองก็เหมือนกัน อายุแค่เท่านั้น ยังจะอดทนอยู่ได้ ขนาดร้องเจ็บสักแอะยังไม่ยอมให้คนอื่นได้ยิน”
เล่ามาเล่าไป คุณหนูสวีคล้ายยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่จดจำทุกอย่างได้ชัดเจนเพียงนี้
อีกอย่างตอนเป็นเด็กใครจะไม่เคยทำผิดพลาดสักเรื่องสองเรื่องเล่า?
อวี้ถังกุมมือคุณหนูสวีเอาไว้ ตบลงบนหลังมือนางเบาๆ “ตอนนี้ทุกคนก็โตกันหมดแล้ว พอมองย้อนกลับไปยังวัยเด็ก มีแต่จะรู้สึกสนุกและคุ้นเคย ข้าว่าคุณหนูอินผู้นั้นก็ไม่ใช่คนคิดแค้นฝังใจ นางคงไม่กล่าวโทษเจ้าแล้ว”
คุณหนูสวีนั้นอาจเพราะได้ระบายออกมาจึงสบายใจขึ้นหน่อย นางถอนหายใจเฮือก “ตั้งแต่เล็กยันโตแม้ข้าจะซุกซน แต่กลับไม่เคยทำใครบาดเจ็บ นางเป็นคนเดียวที่ถูกข้าผลักจนล้ม นางจะไม่ชอบข้าก็เป็นเรื่องสมควรอยู่” จากนั้นนางก็เปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่นว่า “จะว่าไปสถานการณ์ของเจ้ากับนางก็คล้ายกันอยู่ หลายปีก่อนท่านอารองของอินหมิงหย่วนยังวางแผนจะให้คุณหนูอินอยู่กับเรือนตลอดไป ภายหลังไม่รู้ทำไมจึงเปลี่ยนใจ อาจเพราะเขยที่ยอมแต่งเข้าสกุลไม่ได้หาง่ายๆ กระมัง? ไม่ว่าอย่างไร นางสามารถแต่งออกไปได้ ข้าก็ดีใจกับนางนัก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอหน้ากันทุกวัน”
อวี้ถังอยากหยอกคุณหนูสวีให้อารมณ์ดี ตั้งใจกระเซ้านางว่า “ต่อให้ผู้อื่นอยู่ในเรือนต่อไป ก็คงไม่ได้เจอหน้าเจ้าทุกวันหรอกกระมัง? เจ้าก็อย่าคิดมากนักเลย หากว่านางรั้งตัวอยู่ในเรือน เจ้ากับนางก็เคารพกันและกันเหมือนแขกก็พอแล้ว วันนี้นางต้องแต่งออกไป เจ้าก็ต้องเกรงอกเกรงใจนาง ทำหน้าที่ของพี่สะใภ้ให้เต็มที่ก็พอแล้ว แต่ข้าคิดว่าคุณหนูอินผู้นี้โด่งดังออกจะตาย คนจะแต่งหรือว่าไม่แต่งออกไป เกรงว่าคงจะยุ่งเรื่องของสกุลเจ้าอยู่วันยังค่ำ”
คุณหนูสวีเบะปาก “ถึงได้บอกว่าคุณหนูสกุลอินพวกนี้…บางครั้งก็น่ารำคาญเหลือเกิน”
อวี้ถังหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น
คุณหนูสวีคิดแล้วก็น่าขันไม่หยอก จึงหัวร่อตามอีกคน เริ่มมีอารมณ์อยากเล่าเรื่องซุบซิบของสกุลอินให้อวี้ถังฟัง “คุณหนูสกุลอินที่แต่งออกไปแล้วหลายคนต่างเห็นว่าควรให้ญาติผู้น้องของอินหมิงหย่วนผู้นี้รั้งตัวอยู่เรือน ได้ยินว่าอารองของเขายังเห็นด้วย จึงเลี้ยงคุณหนูอินให้โตขึ้นมาเหมือนกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ไม่เพียงปรุโปร่งเรื่องเรือกสวนไร่นา ยังสามารถดูแลร้านค้าได้ด้วย ฟังว่านายบัญชีบางคนใช้เวลาคิดบัญชีเป็นครึ่งค่อนวัน พอถึงมือนาง มองปราดเดียวก็อ่านเข้าใจทั้งหมด อินหมิงหย่วนคิดว่ามีน้องสาวเช่นนี้ สามารถแบ่งเบาภาระไปได้มาก ใครจะคิดจู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ เจ้าไม่รู้หรอก ครั้งแรกตอนที่ข้าได้ยินว่านายหญิงสามสกุลหยางถูกเหล่าคุณหนูทั้งหลายที่แต่งออกไปแล้วมารบเร้าให้ช่วยหาคู่หมายให้นาง ข้าตกใจอ้าปากค้างจนกรามแทบจะหลุด ตอนนั้นข้ายังคิดว่า หากนางสามารถแต่งออกไปก่อนอายุยี่สิบได้ สุสานของสกุลอินคงได้มีควันลอยขึ้นมาแน่ๆ…ยังดีที่ข้าแค่คิดในใจเล่นๆ ไม่ได้พูดออกไป ไม่อย่างนั้นวันนี้คงหาทางลงไม่เจอแน่”
คุณหนูสวีผู้นี้ช่างกล้าพูดไปหมดทุกเรื่องเสียจริง
นางมารน้อยในใจอวี้ถังได้แต่ปาดเหงื่อที่หน้าผาก
คุณหนูสวียังจินตนาการต่อไปอีก “เจ้าว่า หลังจากคุณหนูอินกับกู้เจาหยางแต่งกันแล้ว จะยังอาศัยอยู่จวนเก่าสกุลกู้ที่หังโจวหรือไม่? หรือว่าจะติดตามกู้เจาหยางไปยังเมืองหลวง?”
อาจจะเป็นไปได้ทั้งสิ้น
อวี้ถังเองก็เดาไม่ถูก
ชาติก่อนคุณหนูซุนผู้นั้นอาศัยอยู่จวนเก่าสกุลกู้ที่เมืองหังโจว
คุณหนูสวีพูดกับอวี้ถังอย่างนึกเสียดายว่า “คุณหนูอินอาจจะไปเมืองหลวงก็ได้ แต่เจ้ากลับต้องติดแหง็กอยู่ที่หลินอัน” นางพูดถึงตรงนี้ ก็เริ่มเอ่ยเรื่องไร้สาระ ดวงตาสองข้างสว่างวาบ “เอาอย่างนี้สิ ข้าให้มารดาข้ารับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม? แบบนี้ เจ้าก็สามารถมาเยี่ยมข้าบ่อยๆ ได้แล้ว”
อวี้ถังหัวเราะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจากหังโจวไปเมืองหลวงใช้เวลาเดินทางเท่าไร? ต่อให้ข้าเป็นบุตรบุญธรรมของมารดาเจ้า ก็ไม่อาจไปเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ ได้อยู่ดี! แต่เจ้าวางใจได้ ตอนนี้ข้ากำลังเรียนรู้ที่จะดูแลร้านค้าจากท่านลุงและญาติผู้พี่ของข้าอยู่ ไม่แน่ต่อไปข้ากับญาติผู้พี่อาจไปเยี่ยมเจ้าที่เมืองหลวงด้วยกันก็ได้ ถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนเจ้า เจ้าอย่าแสร้งทำไม่รู้จักข้าก็แล้วกัน”
“แบบนั้นก็ดีน่ะสิ!” คุณหนูสวีร้องออกมาอย่างดีใจ “ข้าจำใครไม่ได้ แต่จะไม่มีวันลืมเจ้าแน่นอน! เจ้าต้องพูดจาคำไหนคำนั้น ถ้ามาเมืองหลวงจะต้องแวะมาหาข้าให้ได้นะ”
อวี้ถังยิ้มตาหยีพลางตอบตกลง
สองคนพูดเรื่องโน้นคุยเรื่องนี้กันอีกพักใหญ่ จากนั้นคุณหนูสวีถึงได้กล่าวคำลา
อวี้ถังเดิมก็เดินซื้อของเป็นเพื่อนพวกคุณหนูสวีอยู่ครึ่งค่อนวัน ทั้งยังต้องนั่งรถลากที่โขยกเขยกไปตามถนนแผ่นหินกลับมาอย่างสะลึมสะลือ คนรู้สึกเหนื่อยล้านัก พอคุณหนูสวีจากไป นางจึงล้างหน้าชำระกายแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง
แต่ทำอย่างไรนางก็นอนไม่หลับ ยังคงคิดแต่เรื่องของกู้ฉ่างวนไปวนมา
ไม่รู้ว่าใครเป็นแม่สื่อให้กู้ฉ่างแน่?
กู้ฉ่างสู่ขอคุณหนูอินเป็นภรรยา เขาน่าจะมีอนาคตที่ราบรื่นมากกว่าชาติก่อนกระมัง?
หากว่าเป็นเช่นนั้น นางก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมกู้ฉ่างถึงต้องดองกับสกุลอิน
ทว่า กู้ฉ่างอายุมากกว่าคุณหนูอินสักสิบปีได้กระมัง?
หากกู้ซีรู้ว่ากู้ฉ่างหาพี่สะใภ้ที่โดดเด่นเช่นนี้ให้นาง นางก็คงจะดีใจไม่น้อย?
ชาติก่อนนางนึกรังเกียจบ่อยๆ ว่าคุณหนูสกุลซุนลากสกุลกู้ให้ลำบากไปด้วย…
อวี้ถังคิดไปมาหลายตลบ พบว่าหากตนยังอยากรู้เรื่องเหล่านี้ ทางที่ดีควรไปถามเผยเยี่ยน
นางเพิ่งสังเกตเห็น ไม่ว่าตนมีเรื่องอะไรก็ร้องจะไปพบเผยเยี่ยนท่าเดียว…เผยเยี่ยนกลายมาเป็นคนสำคัญขนาดนั้นในชีวิตนางตั้งแต่เมื่อไร?
อวี้ถังขมวดคิ้ว นางไม่ค่อยอยากจะยอมรับ ทั้งรู้สึกทรมานใจเล็กน้อย
อวี้ถังมุ่นคิ้วแน่น นางคงไม่กล้าไปหาเขาแล้วกระมัง? ต่อให้นางเปิดเผยบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าภรรยาของเผยเยี่ยนเห็นว่ามีสตรีคนอื่นมาหาเขา คงจะไม่พอใจแน่
นางเบิกตาโตกว้าง นอนเหม่อมองเพดานด้านบน ก่อนจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันต่อมา นางก็ถูกเสียงหัวเราะปลุกให้ตื่น
อวี้ถังลืมตาขึ้น พบว่าในห้องมีชิงเหลียนเฝ้าอยู่คนเดียว ไม่เห็นแม้แต่เงาของซวงเถาที่ควรจะเป็นผู้เฝ้าเวร
นางถามออกไปว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”
ชิงเหลียนรีบตอบ “ใต้เท้ากู้มิใช่จะหมั้นหมายกับสกุลอินแล้วหรือเจ้าคะ เขาต้องกลับไปแจ้งต่อผู้อาวุโสที่สกุล วันนี้เช้าเตรียมจะออกเดินทาง ตอนนี้กำลังสั่งเด็กรับใช้แจกซองแดงให้เหล่าสาวใช้อยู่ บอกว่าเป็นการขอบคุณที่คอยดูแลเขาตลอดหลายวันนี้”
ดังนั้นซวงเถาจึงออกไปรับซองแดงด้วย? ด้านนอกถึงได้ครึกครื้นปานนี้?
อวี้ถังกำลังตรึกตรอง ซวงเถาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบานแฉ่ง เห็นว่าอวี้ถังตื่นแล้ว ก็รีบเก็บซองแดงในมือทันที “คุณหนู ข้าเห็นว่าใต้เท้ากู้ใจกว้าง ไม่เพียงขอซองแดงมาเผื่อแม่นางชิงเหลียนหลายซอง ยังขอมาเผื่อท่านด้วยนะเจ้าคะ”
ซวงเถาไม่ชอบกู้ซี จึงพาลไม่ชอบกู้ฉ่างไปด้วย อาจเพราะนางคิดว่า ให้กู้ฉ่างหมดตัวสักครั้ง ก็นับเป็นการเอาคืนกู้ซีทางหนึ่ง ในใจจึงสบายขึ้นไม่น้อย
เพียงแต่ไม่ค่อยสมเป็นวิธีจัดการเรื่องราวของสกุลเผยสักเท่าไร
ทว่าซวงเถากลับไปก็ต้องเตรียมตัวแต่งงานแล้ว วิธีการเช่นนี้คล้ายจะเหมาะกับวิถีชาวบ้านในตรอกถนนเสียมากกว่า
อวี้ถังไม่ได้ตำหนิซวงเถา นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้ากู้ควักเงินก้อนใหญ่มาตกรางวัลให้พวกเจ้ารึ?”
ซวงเถาเบะปาก “บอกว่าถือเงินมากระบุงหนึ่ง แต่ข้าเห็นมีไม่เท่าไรเองเจ้าค่ะ”
อย่างน้อยก็ไม่ได้เยอะเท่าตอนที่พวกนางไปฉลองปีใหม่กับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยตอนนั้น
สาวใช้สกุลเผยแม้จะรับซองแดงมาด้วยสีหน้ายินดีปลาบปลื้ม แต่ในดวงตาลึกๆ กลับไม่มีรอยยิ้ม ขนาดนางยังมองออกว่าแสร้งทำไปอย่างนั้น คนสกุลกู้ก็คงจะมองเห็นเหมือนกันกระมัง?
ซวงเถายินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น
แต่กู้ฉ่างทางนั้นกลับอารมณ์เดือดปุดๆ
สกุลเผยต้องร่ำรวยเพียงใด กระทั่งการตกรางวัลของเขายังทำให้พวกนางสนใจไม่ได้สักนิด?
แม้เขาจะให้รางวัลไม่มาก แต่มากน้อยก็เป็นเงินหลายอีแปะ สามารถใช้ซื้อดอกไม้หรือเม็ดแตงก็ยังได้
แล้วตอนที่กู้ซีแต่งเข้าสกุลเผย เขาต้องเตรียมสินเดิมให้เท่าไรจึงจะพอ?
กู้ฉ่างนึกถึงงานแต่งระหว่างสกุลอินด้วย
เขาต้องเตรียมของหมั้นเท่าไรจึงนับว่าสมหน้าสมตาสกุลอิน?
ในสมองของกู้ฉ่างพลันมีภาพของเรือนสกุลซุนที่ซอมซ่อทว่าสะอาดสะอ้านผุดขึ้นมา เป็นเรือนหลังน้อยที่ได้กลิ่นอายของตำราอยู่เลือนราง
บางที สถานที่แห่งนั้นต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจได้?
ความคิดนั้นก็แค่ภาพที่แวบผ่านและหายไป เพราะเขาซุกซ่อนมันเอาไว้ในใจอย่างรวดเร็ว
เขาไม่อาจเป็นเหมือนซุนเกาที่ลำบากลำบนปีนป่ายมาหลายปี แต่กลับเพิ่งมีโอกาสอันยากเย็นได้เข้าร่วมหอเน่ยเก๋อร์ เขาสมควรมีคฤหาสน์ที่คล้ายจะเรียบง่ายทว่าวิจิตรงดงามทุกกระเบียดเหมือนเรือนหลังนั้นของเผยเยี่ยนมากกว่า…