ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 280 จู่โจม
ชิงหยวนก็ไม่รู้เช่นกัน
ตามหลักแล้ว เผยเยี่ยนออกไปร่วมงานเลี้ยง ทั้งยังดื่มสุรา มาถึงก็ควรไปพักผ่อน แต่เขากลับมาหาอวี้ถัง อีกทั้งยังมาหาติดกันหลายๆ วัน ไม่เพียงมาตอนกลางคืน ตอนเช้าก็มาด้วย
ชิงหยวนดูแลอวี้ถังให้แต่งตัว ทางหนึ่งก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อย่างไรเดี๋ยวนายท่านสามก็มาแล้ว ท่านลองถามท่านผู้เฒ่าเขาไปตรงๆ สิเจ้าคะ”
‘ท่านผู้เฒ่า’ เลยรึ? แม้ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยจะจากไปแล้ว แต่ท่านแม่เฒ่ายังอยู่ดี
พวกนางออกจะหวาดกลัวเผยเยี่ยนมากไปหน่อยหรือเปล่า?
อวี้ถังค่อนขอดในใจ เปลี่ยนไปใส่เสื้อตัวสั้นสีน้ำเงินที่เคยใส่ประจำ แล้วไปที่ห้องรับแขก
อาจเพราะดื่มสุรามา สองแก้มของเผยเยี่ยนจึงแดงเรื่อ แม้เครื่องหน้าทั้งห้าจะยังน่าเกรงขามเหมือนเก่า แต่ก็ดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
เห็นว่าอวี้ถังเดินเข้ามา เผยเยี่ยนก็มองนางอย่างเกียจคร้านทีหนึ่ง “กินอาหารเย็นแล้วหรือ? พร้อมกับคุณหนูสวีรึ?”
ปกติน้ำเสียงของเขาจะค่อนข้างดังก้อง เวลานี้ไม่รู้เพราะอยู่ในช่วงผ่อนคลายหรือเกียจคร้านกันแน่ โทนเสียงจึงค่อนไปทางต่ำทุ้มและแหบพร่า ทำให้คนนึกถึงโคมไฟที่ขมุกขมัวแฝงความอบอุ่นในที ดั่งขนนกที่ปัดผ่านหัวใจของอวี้ถัง
อารมณ์ของอวี้ถังสั่นไหวอย่างไร้สาเหตุ นางรีบเอ่ยว่า “นายหญิงสามสกุลหยางกลับมาช้า ข้าเลยกินอาหารเย็นเป็นเพื่อนคุณหนูสวีเจ้าค่ะ”
เผยเยี่ยนพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร แต่สายตากลับจดจ้องอยู่บนร่างของอวี้ถัง
เสื้อตัวสั้นกับกระโปรงยาวใส่สบาย ช่วยขับเน้นให้ร่างนางอ้อนแอ้นกว่าเก่า ลมราตรีพัดแผ่วดั่งกิ่งหลิวในฤดูใบไม้ผลิ นุ่มนวล อ่อนช้อย งดงาม มองแล้วทำให้ใจเบิกบานยิ่ง
อวี้ถังนั่งลงที่เก้าอี้ไท่ซือข้างเขา รอสาวใช้ยกขนมน้ำชาขึ้นมาให้ใหม่ ถึงได้เอ่ยว่า “นายท่านสามมาที่นี่มีเรื่องด่วนใดหรือเจ้าคะ?”
เผยเยี่ยนพบว่าหากเขามาในช่วงเวลานี้ นางก็จะถามด้วยประโยคนี้เสมอ เหมือนว่าถ้าไม่มีเรื่องอะไร เขาไม่อาจมาหานางได้อย่างไรอย่างนั้น
นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไร!
เผยเยี่ยนครุ่นคิด สีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ ในเมื่อสกุลอวี้ต้องการแต่งบุตรเขยเข้าสกุล อวี้ถังเองก็เห็นด้วย แสดงว่าสกุลอวี้ให้ความสำคัญกับกิจการของสกุลเป็นอย่างยิ่ง เขาควรจะลงมือจากเรื่องนี้ถึงจะถูก
เขากระโดดข้ามคำถามของอวี้ถังทันที แล้วชวนอวี้ถังให้พูดคุยตามลำดับขั้นตอนที่เขาวางไว้ “เรื่องกิจการของเจียงเฉาที่เมืองซูโจว เจ้าบอกกับคนที่เรือนแล้วหรือยัง?”
อวี้ถังนึกว่าเขามาเพื่อคุยเรื่องนี้เสียอีก นางตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ขอเพียงไม่ยุ่ง ก็จะไม่ผิดคำพูด
“ยังไม่ได้คุยเจ้าค่ะ” นางตอบยิ้มๆ ทั้งมีไมตรี เกรงอกเกรงใจ และระมัดระวังคล้ายมีระยะห่าง “กิจการที่เรือนมีท่านลุงใหญ่เป็นคนดูแล เรื่องนี้ต้องให้ท่านผู้เฒ่าเป็นคนตัดสินใจ ให้ข้าเป็นคนไปพูดจะดูไม่เหมาะสมหรือเปล่าเจ้าคะ?”
ความหมายของนางก็คือ ในเมื่อกิจการสำคัญถึงเพียงนี้ แล้วจะให้สตรีที่เติบโตในห้องหอเช่นนางนำคำพูดไปบอกต่อก็จบเรื่องแล้วรึ อย่างน้อยสกุลเผยก็ควรส่งผู้ดูแลไปสกุลอวี้อย่างเป็นกิจลักษณะ แล้วหารือกับผู้นำของสกุลอวี้หน่อยกระมัง?
เผยเยี่ยนเป็นคนปราดเปรื่อง ก่อนหน้าเพียงเพราะไม่คิดว่าตนจะมีความรู้สึกเป็นอื่นกับอวี้ถัง ตอนนี้เมื่อรู้แล้ว จึงเริ่มใส่ใจอวี้ถังมากขึ้น ต่อให้นางอ้อมค้อมด้วยต้องการรักษาน้ำใจเพียงใด แต่เมื่อเขาขบคิดอย่างละเอียด แม้ไม่กล้าบอกว่าฟังออกทั้งหมด แต่ก็เข้าใจได้เจ็ดถึงแปดส่วน
ได้ยินเช่นนั้นมุมปากเขาก็กระตุกขึ้น คิดว่าอวี้ถังเป็นคนน่าสนใจไม่เลว ขนาดแขวะคนยังแฝงอุบายเล็กๆ เอาไว้ ดีที่เขาก็มีแผนของตัวเองไว้อยู่แล้ว
เผยเยี่ยนจึงโพล่งขึ้นว่า “ได้สิ! เช่นนั้นข้าจะส่งคนไปคุยกับนายท่านอวี้เอง”
เช่นนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย
อวี้ถังยิ้มแฉ่งพยักหน้า แล้วเติมชาให้เผยเยี่ยนอีก
เผยเยี่ยนถึงถามนางต่อว่า “อักษร ‘ถัง’ ในชื่อของเจ้า เป็นอักษร ‘ถัง’ ตัวไหนรึ?”
อวี้ถังชะงักไป
เขาถามเช่นนี้ออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อย
แต่เพราะเขาวางท่าเป็นการเป็นงาน ก่อนหน้านี้ก็กำลังคุยเรื่องเคร่งเครียดอยู่ ทำให้นางเข้าใจไปผิดทาง คิดว่าเผยเยี่ยนถามเช่นนี้มิใช่ผิดมารยาท แต่คงเพราะอยากจะรู้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น
นางไม่ได้เก็บงำ เพียงตอบกลับอย่างใจกว้างว่า “เป็นอักษร ‘ถัง’ ที่มาจากคำว่าดอก ‘กันถัง’ เจ้าค่ะ”
เป็นอักษร ‘ถัง’ ตัวเดียวกับที่เขาเดาเอาไว้จริงด้วย
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “จะตั้งชื่อเล่นว่า ‘เซียงอวี้’ หรือ ‘จวินหราน’ ดี”
ชื่อเล่นนี้จะให้ใครที่ไหนตั้งให้ก็ได้อย่างนั้นรึ?
อวี้ถังอึกอัก จะตอบรับก็มิใช่ จะไม่รับก็มิเชิง
เผยเยี่ยนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องธูปหอมของอารามดับทุกข์ “ภายหลังเป็นอย่างไรบ้าง? ได้มีข้อกำหนดทางการค้าที่ชัดเจนแล้วหรือไม่? เถ้าแก่น้อยถงใช้ได้ทีเดียว มอบหมายงานนี้ให้เขาคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
จะพูดไปแล้วเรื่องนี้ก็เป็นการทำกุศลของสกุลเผย นางแค่เข้าไปร่วมด้วยก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นและไม่สมควรที่จะข้ามหน้าข้ามตาเหล่าสตรีสกุลเผยเพื่อออกหน้าตัดสินใจเรื่องนี้
นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้หารือกับเหล่าคุณหนูไว้แล้ว เรื่องนี้มอบให้เถ้าแก้น้อยถงไปจัดการทั้งหมด พวกเราก็แค่ช่วยเสนอความเห็นเท่านั้น ส่วนว่าจะช่วยอารามดับทุกข์ได้จริงหรือไม่ ก็ต้องดูว่าพระอาจารย์และเหล่าอุบาสิกาของอารามดับทุกข์ยินดีจะลำบากแค่ไหน มีกำลังพอจะทำได้หรือเปล่า”
เผยเยี่ยนมองแววตาของนาง มันราบเรียบไร้คลื่น มิคล้ายว่าสนใจเท่าใดนัก
เขาจึงเปลี่ยนบทสนทนาอีกครั้ง หันไปคุยเรื่องสวนป่าของสกุลนาง “ผลเก็บเกี่ยวของต้นซาจี๋ปีนี้เป็นอย่างไร? ตัดสินใจหรือยังว่าจะทำอะไรต่อ?”
การเปลี่ยนไปพูดเรื่องโน้นทีเรื่องนี้ทีเช่นนี้ทำให้อวี้ถังมึนงงไปหมด นางไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เพราะสวนป่าของสกุลได้กลายเป็นบาดแผลในใจของอวี้ถัง เมื่อเผยเยี่ยนพูดขึ้นมา นางจึงอดจะสนใจไม่ได้ “แค่ลองปลูกไม่กี่ต้นเจ้าค่ะ ฟังว่าต้องรอสามปีถึงจะออกผล ข้าลองทำเป็นผลไม้เชื่อมดูแล้ว แต่ไม่รู้สึกว่าอร่อยกว่าผลไม้เชื่อมที่มาจากเมืองหลวงเลย”
นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก
ตอนแรก เป็นนางที่ดึงดันจะปลูกต้นซาจี๋ให้ได้
ผลคือนางไม่เพียงทำให้บิดาและญาติผู้พี่ของนาง ยังมีเผยเยี่ยน รวมไปถึงใต้เท้าเสิ่นต้องลำบากลำบนอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับมิได้ผลลัพธ์ใดออกมาเลย
ดูท่าเด็กสาวจะใส่ใจเรื่องนี้ไม่น้อย!
นัยน์ตาเผยเยี่ยนทอประกายยิ้ม สีหน้าไม่แสดงออก ยังคงคุยเรื่องนี้กับนางต่ออย่างเย็นชา “คนทางใต้เช่นพวกเรามีใครกินผลไม้เชื่อมบ้าง? หวานจนแสบคอไปหมด ผลไม้เชื่อมที่เจ้าทำย่อมขายไม่ได้อยู่แล้ว!”
แล้วชาติก่อนท่านทำอย่างไรถึงขายผลไม้เชื่อมพวกนั้นได้เล่า?
อวี้ถังเกือบจะหลุดปากถามออกไป
เผยเยี่ยนเห็นสีหน้าอึกอักและแปรปรวนของเด็กสาว ในใจลอบแสยะยิ้ม อารมณ์บนหน้ายิ่งเคร่งขรึมกว่าเก่า “หรือลองปลูกอย่างอื่นดี?”
อวี้ถังหันไปมองเผยเยี่ยนแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้พ่อบ้านหูรับคำสั่งจากท่านไปสำรวจสวนป่าสกุลข้าแล้ว บอกว่าปลูกอะไรก็ไม่เหมาะทั้งนั้น…”
เขาคงมิใช่ลืมเรื่องนี้ไปแล้วกระมัง?
แน่นอนว่าเผยเยี่ยนไม่มีทางลืมอยู่แล้ว เขาลากอวี้ถังเบี่ยงประเด็นไปเรื่อย สุดท้ายก็คิดว่าคำของเถาชิงมีเหตุผล
สาเหตุที่สองสามีภรรยาเฟ่ยจื้อเหวินไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ส่วนใหญ่เป็นเพราะทั้งคู่ไม่มีหัวข้อที่สามารถสนทนาร่วมกันได้ ส่วนเขากับอวี้ถังเหมาะสมกันหรือไม่นั้น ต้องลองคุยกันให้มากหน่อยถึงจะรู้
ตอนนี้เขากำลังหยั่งเชิงว่าเด็กสาวผู้นี้ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และสนใจสิ่งใดบ้าง
มีเพียงการจ่ายยาให้ตรงกับโรคเท่านั้น จึงจะได้รับความรักจากหญิงงาม!
เขายังต้องถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน
เผยเยี่ยนย่อมไม่อาจตอบว่าตนลืมไปแล้ว ทั้งไม่อาจเฉไฉยกเรื่องอื่นมาคุยได้ เพราะจะทำให้คนหัวไวอย่างอวี้ถังจับพิรุธออก ดีที่เขาเป็นคนมีชั้นเชิงในการเจรจา คำตอบที่บอกอวี้ถังไปจึงฟังดูมีเหตุมีผลนัก “ข้าจะลืมได้อย่างไร? ข้าแค่คิดว่าหูซิ่งผู้นี้ทำงานไม่ค่อยเข้าท่า…หากเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ เหตุใดสกุลเจ้ายังจะปลูกต้นซาจี๋อยู่อีก? เห็นทีเมื่อก่อนข้าคงไว้ใจเขามากเกินไป คิดว่าเขาเคยรับใช้ท่านผู้เฒ่ามาก่อน ตอนที่ข้าขึ้นเป็นผู้นำสกุลก็หาได้ลุกขึ้นมาก่อความวุ่นวาย อย่างไรก็น่าจะมีความสามารถติดตัว ไม่คิดเลยว่าข้าจะมองคนผิดไป!”
อวี้ถังยิ้มแหย มารตัวน้อยในใจพนมมือยกขึ้น อยากจะขอโทษหูซิ่งอย่างสุดซึ้ง
เรื่องนี้ เป็นนางที่ผิดต่อหูซิ่ง
ความจริงหูซิ่งกล่าวไว้ถูกต้องแล้ว แต่เพราะนางรู้เรื่องราวของชาติก่อน ยังคงยึดติดไม่ปล่อยวาง ดึงดันจะทำผลซาจี๋เชื่อมออกมาขายให้เหมือนเผยเยี่ยนเมื่อชาติก่อนให้ได้ จนทำให้ชื่อเสียงของหูซิ่งต้องย่อยยับ
เผยเยี่ยนเห็นว่าอวี้ถังไม่ได้กล่าวโทษหูซิ่งตามเขา เดาว่านางคงจะพอใจในตัวหูซิ่งระดับหนึ่ง แต่เพราะพวกเขาไม่ได้ฟังคำของหูซิ่ง จนทำให้เรื่องวุ่นวายยากจะปีนลงจากหลังเสือก็เท่านั้น
เช่นนี้ก็ดี!
มุมปากของเผยเยี่ยนกระตุกยิกๆ อย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นความเย็นชา “ดังนั้นข้าจึงเตรียมให้ผู้ดูแลสี่มารับงานแทนหูซิ่ง”
“อะไรนะ?!” อวี้ถังตกใจจนแทบกระโดด
สกุลเผยมีพ่อบ้านเพียงสามคน เดินออกประตูจวนไปแทบจะจัดการเรื่องราวแทนสกุลเผยได้ทั้งสิ้น ต่อให้เป็นขุนนางหรือพ่อเมืองของหลินอัน เมื่อเจอพ่อบ้านของสกุลเผยก็ยังต้องมองด้วยสายตาที่สูงขึ้น เห็นแก่หน้าคนสักหลายส่วน หากว่าเจอคนที่หัวเข่าอ่อนแรงหน่อย ก็จะเอ่ยปากเรียกพวกเขาว่า ‘พี่น้อง’ อย่างเคารพให้เกียรติ กินข้าวดื่มสุราร่วมโต๊ะเดียวกัน
นาง…นางเป็นต้นเหตุให้หูซิ่งต้องพลอยรับกรรมไปด้วยรึ?!
อวี้ถังคิดถึงทุกครั้งที่พ่อบ้านหูพาหมอหลวงหยางมาตรวจอาการของมารดาด้วยความใส่ใจ เขามักจะฝากทักทายบิดาของนางด้วยความนอบน้อม…นางพลันรู้สึกไม่สบายไปทั่วตัว
“เช่นนี้ มิค่อยเหมาะกระมัง?” อวี้ถังรีบขอร้องแทนหูซิ่งทันที “ท่านเคยบอกว่า พ่อบ้านหูเคยรับใช้ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้ยังไม่พ้นช่วงไว้ทุกข์ท่านผู้เฒ่าเลย ตอนที่ท่านขึ้นเป็นผู้นำสกุลเขาก็ไม่ได้ทำสิ่งใดล่วงเกินท่านเสียหน่อย…ท่านทำเช่นนี้ ถ้าเกิดถูกวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
เผยเยี่ยนพลันรู้สึกว่าหูซิ่งก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน
เขาแสร้งเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “แต่หูซิ่งจัดการเรื่องราวได้แย่เหลือเกิน จะให้เขายึดตำแหน่งแต่ไม่ทำการทำงานไม่ได้หรอก”
ต่อให้ต้องปลดหูซิ่งออก แต่ไม่อาจให้สกุลของนางเป็นต้นเหตุได้!
อวี้ถังละล่ำละลักเอ่ยว่า “ท่านมิสู้รอสักหลายวันแล้วค่อยแจ้งเขา ตอนนี้เขา…” ตอนนี้หูซิ่งกำลังรับใช้ท่านแม่เฒ่าทางนั้นอยู่
จู่ๆ นางก็คิดถึงบทละครเรื่องหนึ่งที่คุณหนูสวีเล่าให้นางฟังเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาได้
หลังจากที่ไทเฮาย้ายเข้าตำหนักฉือหนิง ขันทีข้างกายของไทเฮาก็เปลี่ยนเป็นพ่อบ้านใหญ่ แม้จะไม่ได้มีอำนาจในมือเท่าเมื่อก่อน แต่เบี้ยหวัดไม่เปลี่ยนแปลง แถมยังมีหน้ามีตายิ่งกว่าเก่าเพราะได้ดูแลไทเฮาอีก
สมองของนางแล่นปราด “หรือไม่ ท่านก็ให้พ่อบ้านหูไปรับใช้ท่านแม่เฒ่าเสียเลยสิเจ้าคะ? ข้าคิดว่าท่านแม่เฒ่าทางนั้นวันๆ มีเรื่องต้องจัดการมาก ผู้ดูแลหลายคนปกติก็วิ่งจนขาขวิดอยู่แล้ว!”
เหมือนครานี้ ท่านแม่เฒ่าเกิดนึกอยากเชิญพระอาจารย์ชั้นสูงจากฝูเจี้ยนมาบรรยายธรรม ผู้ดูแลสามในเจ็ดคนต้องวิ่งวุ่นจัดงาน ท่านแม่เฒ่าทางนั้นต้องการสิ่งใด ล้วนเป็นพ่อบ้านหูที่คอยจัดการให้
เผยเยี่ยนเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ข้าว่าทำเช่นนี้ดีกว่า ที่สวนป่าสกุลเจ้าต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ข้าจะยกหูซิ่งให้เจ้าใช้งานชั่วคราว อย่างไรเขาก็เป็นพ่อบ้านสกุลเผยมาหลายปี สกุลใหญ่ในเจียงหนานล้วนเห็นแก่หน้าเขาหลายส่วน ข้าจะให้เขาแก้ปัญหาเรื่องสวนป่าของเจ้าให้จบแล้วค่อยมาว่ากันใหม่”
แต่ถ้าแก้ปัญหาไม่จบเล่า?
หน้าผากของอวี้ถังเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา นางรีบเอ่ยว่า “เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง มิใช่จะเสกก้อนหินให้เป็นทองได้ แบบนี้จะสร้างความลำบากให้เขาเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”
เผยเยี่ยนไม่สะทกสะท้าน “พ่อบ้านสกุลเผยเป็นได้ง่ายดายเพียงนั้นรึ? หากไม่มีปัญญาสร้างปาฏิหาริย์จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ควรถอยออกมาให้ผู้อื่นที่มีความสามารถทำแทน”