ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 282 ศัตรูร่วมกัน
นายหญิงสามสกุลหยางกล่าวชมเถ้าแก่รองถงว่า “จัดการได้ไม่เลวจริงๆ!”
เถ้าแก่รองถงได้ยินก็รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก
นายหญิงสามสกุลหยางพาอวี้ถังกับคุณหนูสวีไปช่วยกันตกแต่งคฤหาสน์ ส่วนอินเฮ่ากลับกระชากลากถูเผยเยี่ยนไปยังโรงสุราที่นัดพบกับสกุลกู้เอาไว้
ไม่รู้ว่ากู้ฉ่างไปบอกกับคนในสกุลอย่างไร คนที่มาหารือเรื่องงานแต่งกับสกุลอินคือท่านลุงใหญ่ของกู้ฉ่าง ซึ่งก็คือผู้นำสกุลกู้นามว่ากู้โซ่ว แต่บิดาของกู้ฉ่างกลับไม่โผล่หน้า
พอกู้โซ่วเห็นเผยเยี่ยนดวงตาก็วาววับ เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปทักทายเผยเยี่ยนก่อน
ครั้งก่อนที่คุยเรื่องหมั้นหมายระหว่างกู้ซีกับเผยถง กู้เซวียนเป็นตัวแทนออกหน้าแทนสกุลกู้
เขาเอ่ยอย่างเสียดายว่า “ครั้งก่อนได้ยินว่าเจ้าไปที่ไหวอัน ตอนนั้นข้ายังนึกอยู่ว่า เหตุใดถึงคลาดกันได้ คิดว่ารอให้ถึงเดือนเก้าจะเชิญเจ้ามากินปูพลางชมดอกจวี๋ฮวาเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าพวกเราจะมีวาสนาได้พบหน้ากันที่งานแต่งของเจาหยาง เห็นชัดว่าสองสกุลถูกกำหนดให้เกี่ยวดองกัน”
วาจานี้กล่าวได้สอพลอมากไปหน่อย กู้เจาหยางฟังแล้วรู้สึกไม่สบายตัวนัก
ยังดีเพราะเรื่องของกู้ซี ทำให้สองคนมีอาวุโสเทียบเท่ากัน เขาจึงไม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนมากนัก
เผยเยี่ยนดูแคลนบ้านรองสกุลกู้อย่างมาก แต่กับกู้โซ่วที่คอยค้ำจุนสกุลกู้มาอย่างยากลำบาก เขานับว่ามีความประทับใจที่ไม่เลวร้าย บวกกับวันนี้งานแต่งของกู้ฉ่างได้ตกลงอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อไปกู้ฉ่างย่อมเจอเรื่องวุ่นวายอีกมาก เขารู้สึกเบิกบานยิ่ง จึงไม่ตระหนี่ความอ่อนโยนของตนเลยสักนิด ยิ้มให้กับกู้โซ่วพลางเอ่ยว่า “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอท่านที่นี่ สุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้าง? หลายวันก่อนข้าได้ยินมาจากท่านแม่บอกว่าคุณชายใหญ่สกุลท่านถูกไอเย็น ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
บุตรชายของกู้โซ่วย่อมสุขสบายดี ไม่อย่างนั้นเผยเยี่ยนคงไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด กู้โซ่วหัวเราะเอ่ยว่า “เพราะเขาไม่ยอมฟังคนแก่ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเกินไป” จากนั้นก็ลากบุตรชายของตนออกมาให้คารวะเผยเยี่ยน
บุตรชายคนโตของเขาอายุมากกว่าเผยเยี่ยนตั้งสิบกว่าปี แต่ตอนที่เจอเผยเยี่ยนกลับต้องเอ่ยปากเรียกเขาว่า ‘ท่านอา’ เผยเยี่ยนยิ่งอารมณ์เบิกบานไปใหญ่
ทุกคนนั่งล้อมวงหารือเรื่องงานแต่งของกู้ฉ่าง เผยเยี่ยนทำเหมือนตัวเองเป็นเครื่องประดับ เขาไม่เพียงเก็บเสียงเงียบกริบ ทั้งยังใช้เวลาช่วงนั้นใคร่ครวญเรื่องสวนป่าของอวี้ถังอีกด้วย
วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่น แต่ถ้าอวี้ถังดึงดันไม่ยอมเปลี่ยน เช่นนั้นก็คงต้องทุ่มเทกับต้นซาจี๋ต่อไป
ต้นซาจี๋…พบเห็นได้ทั่วไปในแถบซีเป่ย แต่ในทางใต้โดยเฉพาะหลินอันแทบจะไม่มีให้เห็น แล้วจะทุ่มเทกับมันจนสำเร็จได้จริงหรือ? อีกอย่างคือผลซาจี๋มีอะไรพิเศษที่นำมาใช้ขายผู้อื่นได้นั้น เขาต้องส่งคนไปสอบถามดู คงดีหากสามารถนำมาทำเป็นยาได้ ถึงเวลานั้นจะทำผลไม้แห้งหรือผลไม้เชื่อม ก็ค่อยหาทางขายออกไปอีกที
เผยเยี่ยนอดทนจนมื้อเที่ยงจบลงอย่างยากลำบาก คิดว่าช่วงบ่ายพวกเขาต้องหารือรายละเอียดของพิธีแต่งงาน เขาก็จะไม่นั่งเหี่ยวแห้งตรงนี้ อยากกลับไปดูว่าอวี้ถังทำอะไรอยู่ แต่ถูกกู้โซ่วดึงไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้าก็มิใช่คนอื่นคนไกล บางเรื่องต้องให้เจ้าช่วยออกความเห็น!”
กู้โซ่วผู้นี้นับว่าดูแลบุตรสาวบุตรชายที่ภรรยาของญาติผู้น้องทิ้งเอาไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตอนที่กู้ฉ่างเจริญก้าวหน้า กู้ซีเองก็เป็นคนมีความคิด เขาจึงยิ่งยินดีจะช่วยเหลือ
บิดาของกู้ฉ่างไม่เป็นโล้เป็นพาย ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาปรึกษากับบิดาของกู้ฉ่างเรื่องงานแต่ง ทีแรกบิดาของกู้ฉ่างก็ดีอกดีใจ แต่พอฟังคำจากปากมารดาเลี้ยงของกู้ฉ่างไม่กี่ประโยค ก็เริ่มคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเงินทองแล้ว ยังบอกอีกว่าสกุลกู้ทุกรุ่นล้วนเป็นบัณฑิต ไม่ควรให้ความสำคัญกับวัตถุนอกกายมากเกินงาม กลัวว่าจะถูกสกุลใหญ่ในเจียงหนานดูแคลนเอาได้ งานแต่งของกู้ฉ่าง ก็ให้จัดตามธรรมเนียมโบราณ จับห่านใหญ่สักคู่ส่งไปก็ใช้ได้แล้ว อย่างอื่นเช่นเหล้ายาปลาปิ้งก็จัดพอเป็นพิธี ให้คู่บ่าวสาวได้ครองคู่กันก็พอแล้ว
ยังดีที่เขาไม่พูดว่าส่งห่านใหญ่ไปสักคู่ก็จบเรื่อง
กู้โซ่วรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่อาจพึ่งพาบิดาของกู้ฉ่างได้ แต่เขาก็ไม่อาจละเมิดกฎของสกุล โดยการทุ่มเงินให้กับงานแต่งของกู้ฉ่าง หรือควักเงินส่วนตัวเพื่อชดเชยให้เขา
เมื่อนึกถึงพิธีแต่งงานที่ซอมซ่อของกู้ฉ่าง แล้วนึกภาพของกู้ฉ่างที่ไม่ว่าออกไปไหนก็แต่งงานอย่างงดงามมีเกียรติ ในใจนอกจากความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว เขายังอยากยื่นมือช่วยเหลือกู้ฉ่างกับกู้ซีสักหน่อย
ทางที่ดีคือให้เผยเยี่ยนอยู่เป็นพยานในเหตุการณ์ มิใช่ว่ากู้ฉ่างละเลยต่อสกุลฝ่ายหญิง แต่เป็นบิดาของกู้ฉ่างที่หน้าหนา ไม่ต้องการออกเงินให้บุตรชายคนโต เช่นนี้เมื่อถึงเวลาที่กู้ซีออกเรือน หากสินเดิมไม่น่ามอง เผยเยี่ยนย่อมจะพอทำใจรับได้ และอาจถึงขั้นสงสารเห็นใจกู้ซี ช่วยพูดจาแทนกู้ซีต่อหน้าท่านแม่เฒ่าสกุลเผยบ้าง กู้ซีจะได้ใช้ชีวิตในจวนสกุลเผยอย่างไม่ข้นแค้นนัก
เขามองการณ์ไกล คิดอย่างละเอียดรอบคอบ แต่กู้ฉ่างทนรับความอับอายไม่ไหว เขาจึงเอ่ยว่า “ท่านลุง หวังชีเป่ามาที่เมืองหังโจว หลายวันนี้สยากวงวิ่งวุ่นไม่หยุด ท่านอย่าได้รบกวนเขาเลย” จากนั้นก็เอ่ยกับเผยเยี่ยนว่า “ข้าทางนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เจ้ามิใช่คนนอก ข้าขอไม่เกรงใจเจ้าแล้วกัน”
เผยเยี่ยนเห็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อนของกู้ฉ่าง รู้ว่าเรื่องราวต่อจากนี้คงไม่น่าฟังเท่าไร เขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าตนมีบทบาทอย่างไรในการเกี่ยวดองระหว่างสกุลกู้กับสกุลอิน นับประสาอะไรกับการที่ต้องมานั่งฟังสองสกุลฟาดฟันกันเล่า
เขาจึงลุกขึ้นแล้วบอกลาอย่างไร้ความเกรงใจ
อินเฮ่าทางนั้นย่อมต้องรั้งเขาอยู่แล้ว
เป็นครั้งแรกนับแต่ขึ้นเป็นผู้นำสกุลที่เขาต้องมาจัดการเรื่องงานแต่งของคนรุ่นหลัง และเป็นครั้งแรกที่ข้างกายไม่มี ‘ท่านน้า’ และ ‘พี่สาว’ คอยชี้แนะ เขากลัวว่าจะเกิดอะไรที่ผิดธรรมเนียมขึ้นมา ทำให้คนสกุลอินถูกหัวเราะเยาะ นี่ก็คือเหตุผลที่เขาต้องฉุดกระชากเผยเยี่ยนมาด้วยให้ได้
บัดนี้เผยเยี่ยนจะลุกหนี เมื่อเห็นว่าสกุลกู้รั้งคนไว้ไม่อยู่แล้ว ตนจึงรีบเด้งตัวลุกตาม แล้วเอ่ยกับกู้โซ่วว่า “ท่านเป็นผู้อาวุโส ข้าไปส่งสยากวงจะดีกว่า” พูดจบ ก็ส่งสายตาให้กับกู้ฉ่าง
บอกให้เขาอยู่เป็นเพื่อนกู้โซ่วไปก่อน
กู้ฉ่างผงกศีรษะรับ
อินเฮ่าส่งเผยเยี่ยนพ้นประตูห้องส่วนตัวได้สองก้าวก็เอ่ยว่า “เจ้ากลับไป แล้วข้าทางนี้จะทำอย่างไร?”
เผยเยี่ยนเหลือบตามองอินเฮ่าทีหนึ่ง
มิน่าคนอื่นถึงได้พูดว่าบุรุษสกุลอินนอกจากเล่าเรียนเพื่อเป็นขุนนางแล้ว เรื่องอื่นทำไม่เป็นสักอย่าง
ดูท่าอินเฮ่าก็คงถูกเหล่า ‘สตรี’ ในสกุลบ่มเพาะจนเสียนิสัย
เขาเอ่ยว่า “เจ้ามิใช่พาแม่สื่อด้วยรึ? ถึงเวลานั้นก็ให้แม่สื่อเป็นคนไปพูดสิ เจ้าแค่รับหน้าที่พยักหน้าหรือส่ายหน้าเท่านั้น เรื่องแค่นี้เจ้าทำไม่เป็นหรืออย่างไร?”
อินเฮ่าง้างมือขึ้นคิดจะโบกศีรษะของเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนก้าวขาเดินหนี เบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของอินเฮ่า เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าอย่าคิดว่าเป็นศิษย์พี่ข้าแล้วจะทำอะไรได้ตามใจ ระวังข้าจะทิ้งสกุลเจ้าไม่ไยดี”
“แล้วตอนนี้เจ้าสนใจด้วยรึ?” อินเฮ่าก้าวฉับๆ ตามเผยเยี่ยน “ข้าพยักหน้ากับส่ายหน้าไม่เป็นอย่างนั้นรึ? ปัญหามันอยู่ที่เมื่อไรต้องพยักหน้า เมื่อไรต้องส่ายหน้าต่างหากเล่า เจ้ามาคุยกับข้าดีๆ เลยนะ อย่าลืมว่างานแต่งนี้เจ้าเป็นคนเสนอขึ้นมา ถ้าญาติผู้น้องข้าแต่งออกไปแล้วไม่เป็นสุข เจ้าก็อย่าคิดจะได้อยู่อย่างสงบเลย”
เผยเยี่ยนไร้ซึ่งความรู้สึกผิดโดยสิ้นเชิง “ถ้าเจ้าคิดว่ามันไม่ดีจริง ต่อให้ข้าแนะนำอย่างไรเจ้าก็คงไม่หวั่นไหวแน่ เจ้าอย่าคิดจะโยนทุกอย่างมาให้ข้า”
เขารู้สึกอีกครั้งว่าอินเฮ่าผู้นี้ นอกจากเป็นขุนนางและเล่าเรียนวิชาได้ อย่างอื่นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี แล้วยังจะเลี้ยงสตรีไว้ข้างนอก จนมีลูกนอกสมรสขึ้นมาอีก เขารู้สึกเห็นใจฮูหยินอินยิ่งนัก
อินเฮ่าดึงแขนเขาไม่ยอมปล่อย “เจ้ารีบคิดหาทางให้ข้าเร็วเข้า ถ้าสินสอดของทางนั้นสูงเกินไป ข้าจะทำอย่างไร? หรือไม่ เจ้าไปเปิดคลังสมบัติส่วนตัวของเจ้า ให้ข้าเลือกของสักชิ้นสองชิ้นสิ”
เหล่าสหายที่คบหากันต่างก็รู้ว่าท่านผู้เฒ่าเฉียนยกสมบัติส่วนตัวของตนให้กับเผยเยี่ยน สิ่งของหายากและวัตถุโบราณในสายตาผู้อื่น กลับแบ่งได้แค่สิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น
ดีชั่วอย่างไรสกุลกู้ก็เป็นหนึ่งในสี่สกุลใหญ่ของเจียงหนาน แม้หลายปีนี้จะไม่เทียบกับแต่ก่อนไม่ได้ แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า[1] หากหยิบเอาภาพวาดหรือวัตถุโบราณออกมาเป็นสินสอด เขาทางนี้ก็ต้องเตรียมสินเดิมที่เท่าเทียมกันให้เป็นหน้าเป็นตาแก่ลูกหลานสกุลตน
ฟังว่าสกุลอินไม่ด้อยไปกว่าสกุลกู้ จะแย่ก็ตรงที่สกุลเขาให้ความสำคัญของลูกหลานที่แต่งออกไป ดังนั้นตอนที่หญิงสาวในสกุลออกเรือนล้วนมีสินเดิมที่สูงค่า ของดีมีค่าในจวนต่างจึงกระจัดกระจายออกไปแทบไม่เหลือ นี่ก็คือสาเหตุหลักว่าทำไมตอนที่สกุลอินตกมาถึงมือของอินเฮ่านั้นทรัพย์สินเงินทองถึงร่อยหรอและขัดสน
เผยเยี่ยนรู้สถานการณ์ของสกุลอินอย่างปรุโปร่ง เห็นว่าอินเฮ่าหมายตาสมบัติส่วนตัวของเขา จึงอดจะแดกดันไม่ได้ “ข้าก็สงสัยอยู่เหตุใดจะต้องลากข้ามาให้ได้? ที่แท้ก็เพราะแบบนี้สินะ! แต่เจ้าคงคิดมากไปหน่อย สกุลกู้ไม่มีทางมอบของล้ำค่าใดๆ ให้เป็นสินสอดแน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลสักนิด”
อินเฮ่าเอะใจ รีบคว้าไหล่ของเผยเยี่ยนไว้ “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร?”
เผยเยี่ยนคิดว่าในเมื่อสกุลกู้เล่นไม่ซื่อเอง เช่นนั้นจะมาโทษว่าเขาหลอกลวงกู้ฉ่างไม่ได้ ใครให้กู้ฉ่างผู้นั้นชอบมาวอแวกับเด็กสาวของเขากัน!
“พี่สะใภ้ใหญ่ข้าตั้งตารอให้หลานชายรีบแต่งงานเร็วๆ!” เขาเอ่ย “แต่รายการสินเดิมของคุณหนูกู้ได้ยินว่าจนตอนนี้ก็ยังไม่ส่งมาเสียที”
ซึ่งก็หมายความว่า สกุลกู้พยายามยืดงานแต่งของบุตรสาวออกไป เพราะต้องการให้สกุลเผยยอมถอย
อินเฮ่าอ้าปากค้าง
นี่เป็นเรื่องที่สกุลอินของเขาไม่มีทางจินตนาการออกแน่
เผยเยี่ยนเห็นว่าสกุลอินกับสกุลเผยของตนต่างเป็นผู้เสียหาย เขาสมควรใจกว้างกับอินเฮ่าสักหน่อย เสียงที่ใช้จึงนุ่มนวลขึ้น “เจ้าไม่ต้องวิตกไป สกุลอินของเจ้าถูกใจกู้เจาหยางมิใช่บิดาของเขา ไม่ต้องสนหรอกว่าบิดาเขาทำอะไร เจ้าแค่บอกกับผู้นำสกุลกู้ให้ชัดว่าจะจัดการกับสินเดิมของเจ้าสาวสกุลเจ้าอย่างไรก็พอ ต่อไปหากมีหลานชาย เขาจะชอบท่านลุงที่หน้าใหญ่ใจกว้าง ซื้อเครื่องเขียนกับขนมต่างๆ ให้เขา? หรือว่าจะชอบท่านปู่ที่ไม่เคยควักเงินให้สักอีแปะเล่า?”
อินเฮ่าฟังแล้วก็ตัดสินใจได้ทันที แต่ก็อดถามเผยเยี่ยนซ้ำอีกรอบไม่ได้ว่า “แล้วจะเอ่ยปากเรื่องสินเดิมของเจ้าสาวกับสกุลกู้อย่างไรดี?”
เผยเยี่ยนได้ยินก็แทบจะกลอกตาขวับ แต่เพราะเห็นแก่หน้ากู้ฉ่าง จึงตอบคำถามของอินเฮ่าอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “หญิงสาวสกุลเจ้าที่ออกเรือนไปแล้วมีข้อตกลงกับสกุลสามีอย่างไรบ้าง?”
อินเฮ่าขบคิดอย่างละเอียด “ไม่เคยมีข้อตกลงอะไรนะ! ในเมื่อเป็นสินเดิมของพวกนาง แน่นอนว่าพวกนางก็ต้องจัดการเอาเอง”
เฮ้อ! มิน่าหลายปีก่อน ใครๆ ต่างก็คิดว่าการได้แต่งกับคุณหนูจากสกุลอินช่างเป็นเรื่องที่มีเกียรติหนักหนา
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “เจอคนต่างประเภทกันก็ต้องมีวิธีจัดการที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นข้า หากว่าเจอคนอย่างสกุลกู้ ก็จะทำข้อตกลงก่อน หากสตรีสกุลข้าแต่งให้สกุลเขาจะจัดการสินเดิมอย่างไร หากว่าหย่ากันจัดการอย่างไร หากว่าหลังแต่งงานมีลูกแล้วจัดการอย่างไร หรือถ้าไม่มีลูกจะจัดการอย่างไร”
สรุปง่ายๆ ก็คือ ไม่อาจให้สกุลกู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปได้เด็ดขาด
ชายหนุ่มอย่างอินเฉ่าที่ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องจิปาถะในจวนพลันอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนเผยเยี่ยนเปิดโลกใบใหม่ให้เขา เขาจึงเอ่ยอย่างคนร้อนวิชาว่า “เจ้าคอยดูข้าแล้วกัน!”
ทำท่าเหมือนจะไปรังแกผู้อื่นอย่างนั้น
ทว่า นั่นก็คือการรังแกผู้อื่นจริงๆ…ผู้อื่นยังไม่ทันแต่งเข้า ก็ป้องกันล่วงหน้าไว้เสียหมด แสดงชัดว่าไม่เห็นสกุลกู้เป็นวิญญูชนสักนิด
เผยเยี่ยนกระตุกมุมปาก ตัดสินใจเพิ่มฟืนเข้าไปอีกท่อน “ที่ข้าต้องพูดแบบนี้ก็เพราะจนปัญญา ใครให้ผู้อาวุโสของสกุลกู้ไม่เอาอ่าวเล่า งานแต่งของหลานชายข้าจนตอนนี้ยังไม่รู้จะเอาอย่างไร? ดีที่ยังไม่พ้นช่วงไว้ทุกข์ของท่านผู้เฒ่า จึงช่วยเขายับยั้งเอาไว้ก่อนได้”
อินเฮ่าพลันรู้สึกว่าพวกเขามีศัตรูร่วมกัน เอ่ยกับเผยเยี่ยนว่า “ถ้าไม่เห็นแก่หน้าของกู้เจาหยาง ใครจะทนคบหากับคนเช่นนี้ได้”
เผยเยี่ยนหัวเราะเอ่ยว่า “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
จากนั้นก็เดินจากไปอย่างวางโต
———————————————————-
[1]อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า เปรียบถึง คนรวยเมื่อยามเข้าตาจนก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่าคนจน