ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 293 ขวยเขิน
หม่าซิ่วเหนียงเห็นก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ ใช้มือจิ้มหน้าผากนาง เอ่ยว่า “ข้าว่าเจ้าคงตัดสินใจได้นานแล้ว มาร่ำไรกับข้าที่นี่ ก็แค่อยากยืนหยัดในการตัดสินใจของตัวเองเท่านั้น”
อวี้ถังชะงักไปเล็กน้อย
หม่าซิ่วเหนียงจึงเอ่ยว่า “เจ้าลองคิดดู หากในใจเจ้าคิดว่างานแต่งครั้งนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ยังจะมาพูดพร่ำเรื่องพวกนี้กับข้าอย่างนั้นรึ? เจ้าย่อมปิดปากไม่พูดจา กลับถึงเรือนแล้วก็ไม่ออกไปข้างนอกอีก ทำเพียงรอคลื่นลมครั้งนี้ผ่านไปเท่านั้น ไหนเลยจะร้อนใจ ทั้งวิ่งมาหาข้าเช่นนี้”
อวี้ถังครุ่นคิด รู้สึกว่าคำพูดของหม่าซิ่วเหนียงมีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ
บางทีลึกๆ ในใจนาง ก็อาจจะคิดเช่นนี้จริงๆ
อวี้ถังหัวเราะออกมาสองครั้งอย่างเก้อเขิน รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก ยามนี้จึงค่อยรับรู้ว่าท้องไส้หิวเป็นอย่างยิ่ง
หม่าซิ่วเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ถลึงตามองนางอย่างโมโห เอ่ยว่า “ยังไม่ได้กินข้าวเย็นกระมัง? เจ้านั่งรอสักครู่ ข้าจะให้ทางครัวทำของอร่อยมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
อวี้ถังเอ่ยขอบคุณไม่หยุดหย่อน
หม่าซิ่วเหนียงฉวยโอกาสยามที่อาหารยังไม่มา เอ่ยถึงเรื่องนางและเผยเยี่ยนอย่างสงสัย “พวกเจ้าไปสนิทกันได้อย่างไร? ข้าว่านายท่านสามผู้นี้สุขุมเย็นชาอย่างยิ่ง ปกติเขาคงไม่ปฏิบัติกับเจ้าเช่นนี้หรอกกระมัง?”
อวี้ถังก็อยากมีคนที่สามารถพูดเรื่องของเผยเยี่ยนได้เช่นกัน จึงเล่าว่าตัวเองรู้จักเผยเยี่ยนได้อย่างไรให้หม่าซิ่วเหนียงฟัง ยังแก้ต่างแทนเผยเยี่ยนว่า “คนผู้นี้ดูเย็นชาอยู่บ้าง ความเป็นจริงกลับปฏิบัติต่อคนอื่นดีอย่างยิ่ง อ่อนโยน เอาใจใส่ทั้งยังฉลาดหลักแหลม”
นางนึกถึงคำพูดพวกนั้นที่เผยเยี่ยนถามนางบนเขา ใบหน้าอดแดงระเรื่อขึ้นมาไม่ได้ หว่างคิ้วก็เผยความขวยเขินอยู่หลายส่วน “ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่เขาถามข้าก่อนว่ายินดีหรือไม่ แล้วค่อยไปสู่ขอที่เรือน ในใจข้ารู้สึกดีใจอย่างยิ่ง คิดว่าเขาให้ความสำคัญข้าไม่น้อย จึงไม่อยากละทิ้งไป” พูดจบถึงรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองดูลำพองเกินไป กล่าวเสริมว่า “บางทีอาจจะเป็นความหลงผิดของข้าเอง แต่ข้าก็ไม่อยากหาคนที่ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนอยากให้ข้าคล้อยตามเขา…”
หม่าซิ่วเหนียงฟังแล้วก็ทำเสียง ‘จุ๊ๆ’ ขึ้นมา เอ่ยหยอกเย้าอวี้ถังว่า “ยังอ่อนโยนเอาใจใส่ พูดเหมือนว่าข้าไม่เคยเห็นนายท่านสามเผยมาก่อนเสียอย่างนั้น! ข้าว่าเจ้าคงอยู่ในช่วงดื่มด่ำความรัก เขาทำอะไรก็ล้วนดีไปหมด”
อวี้ถังใบหน้าขึ้นสี
อย่างไรนางก็เป็นคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน
หม่าซิ่วเหนียงจึงหยุดเพียงเท่านี้ ไม่หยอกล้อนางอีก เอ่ยอย่างจริงจังแทน “เจ้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรก็เพียงพอแล้ว ภายหลังหากเจอเรื่องตำหนิอันใด ให้นึกถึงคำพูดในวันนี้ของเจ้า ย่อมสามารถมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้”
อวี้ถังพยักหน้าระรัว กินข้าวกลางวันที่สกุลจางแล้ว ยังพูดคุยกับหม่าซิ่วเหนียงพักหนึ่ง ยามนี้จึงค่อยพาซวงเถากลับสกุลอวี้
คนสกุลเฉินกำลังนำสมุนไพรที่จะทำถุงหอมในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างมาตากแห้งกับป้าเฉิน จู่ๆ เห็นอวี้ถังกลับมาคนเดียวก็ตกใจไม่น้อย ทิ้งป้าเฉินไว้แล้วพุ่งเข้ามาหาอย่างว่องไว เอ่ยว่า “ไฉนเจ้าจึงกลับมาเวลานี้? เรื่องที่ภูเขาเป็นอย่างไรบ้าง? พี่เจ้าล่ะ? มากับเจ้าแล้วกลับไปเรือนลุงใหญ่แล้วอย่างนั้นรึ? หรือว่ายังรั้งตัวอยู่เรือนเก่าของสกุล?”
ยามนี้อวี้ถังจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองทำเรื่องผิดพลาดลงไป
นางเร่งเอ่ยปลอบมารดา “ข้ามีเรื่องนิดหน่อยเจ้าค่ะ จึงล่วงหน้ากลับมาก่อน ท่านพี่ยังอยู่เป็นเพื่อนนายท่านสามที่เรือนเก่า! เรื่องทางภูเขานั้นราบรื่นดี นายท่านสามวางแผนให้สกุลพวกเราปลูกต้นท้อของทางชิงโจว ดูว่าจะสามารถเพิ่มกำไรได้หรือไม่”
คนสกุลเฉินได้ฟังยิ่งร้อนใจกว่าเดิม เอ่ยว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรถึงต้องล่วงหน้ากลับมาคนเดียว?”
อวี้ถังเร่งใช้ความคิด เอ่ยละล่ำละลักว่า “เป็นนายท่านสาม วางแผนจะวาดแบบให้ร้านค้าของพวกเราอีก ข้านึกถึงคุณชายจาง จึงล่วงหน้ากลับมาก่อน ดูว่าทางคุณชายจางมีแผนอะไรหรือไม่ นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลหกเดือนหกแล้วมิใช่รึ? หากพวกเรามีแบบเครื่องลงรักใหม่ๆ ขึ้นมา การค้าขายย่อมดีกว่าปีที่แล้วเป็นแน่”
การทำเครื่องลงรักแกะสลักสีแดง แสงอาทิตย์นับเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ หากช่วงฤดูร้อนแสงแดดดี ก็จะทำเครื่องลงรักออกมาดี หากไม่มีแดด ก็ไม่อาจทำเครื่องลงรักดีๆ ออกมาได้
หลักการนี้คนสกุลเฉินเข้าใจดี
นางเชื่อใจลูกสาวมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นอวี้ถังยังพูดจามีเหตุผล จึงไม่ได้ระแคะระคาย รีบพาลูกสาวเข้าไปในเรือน ตะโกนให้ป้าเฉินไปตักน้ำแกงถั่วเขียวมาให้อวี้ถัง
อวี้ถังเห็นมารดาไม่สงสัยอะไรอีกก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าในใจกลับรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง
นางสนใจเพียงเรื่องของตัวเอง เดินทางกลับมาอย่างรีบเร่ง ลืมไปดูญาติผู้พี่ที่เมื่อวานซืนเมาไม่สร่างโดยสิ้นเชิง
หากญาติผู้พี่รู้ว่านางหายไป ย่อมต้องร้อนใจเป็นแน่
นางทำได้เพียงแก้ไขเรื่องราวในภายหลัง ลอบกำชับให้ซวงเถาไปส่งจดหมายให้อวี้หย่วน ยังกลัวว่าซวงเถาจะไม่ยินดี เอ่ยว่า “เจ้าจะได้พูดคุยกับหวังซื่อพอดี ดูว่าเขามีแผนอย่างไร ข้าจะได้ช่วยเจ้าตระเตรียมล่วงหน้า”
อย่างเช่นว่าหลังจากแต่งงานก็จะอาศัยในเรือนโฮ่วจ้าวฝางด้านหลังร้านค้าสกุลอวี้ หรือจะเช่าเรือนอยู่ด้านนอก? เขามีเงินสะสมเท่าใด? แต่งงานต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่?
แม้ว่าในมืออวี้ถังจะมีเงินไม่มาก แต่หากต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของงานแต่งพวกเขาก็นับว่าพอรับไหว
ซวงเถาใบหน้าแดงก่ำ วิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น
ยามนี้อวี้ถังจึงเพิ่งรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า นอนพักต่ออีกงีบหนึ่ง
—
ทางด้านเผยเยี่ยนวางแผนไปหาอวี้ถังตั้งแต่เช้าตรู่ กินข้าวเช้าด้วยกัน ใครจะรู้ว่ารอจนเขาเก็บของเสร็จออกจากเรือน อวี้ถังกลับหายไปเสียแล้ว
ยามนั้นในใจเขาลนลานอยู่บ้าง คล้อยหลังพบว่าซวงเถาก็หายไปเช่นกัน ยามนี้เขาจึงสงบลงเล็กน้อย รีบให้ชิงหยวนไปตามหาคน
ชิงหยวนหาคนไม่พบ กลับเห็นอวี้หย่วนที่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน เดินเข้ามาอย่างอ่อนแรง เผยใบหน้าซีดเซียว เขาถามเผยเยี่ยนว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? น้องสาวข้าเล่า?”
เผยเยี่ยนย่อมไม่กล้าบอกว่าตัวเองอาจจะทำให้อวี้ถังตกใจจนหนีไป ทำได้เพียงปิดบังการเดินทางของอวี้ถัง เอ่ยว่า “ตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นแล้ว อาจจะออกไปเดินเล่นกระมัง ข้าให้คนไปตามหาแล้ว”
อวี้หย่วนก็ไม่ได้สงสัย ถามเผยเยี่ยนถึงเหตุการณ์เมื่อวานบนเขา
เผยเยี่ยนฉวยโอกาสพาอวี้หย่วนไปที่พักของตัวเอง ให้เด็กรับใช้จัดสำรับอาหารเช้า ก่อนจะพูดแผนการของตัวเองให้อวี้หย่วนฟัง
อวี้หย่วนคิดว่าความคิดของเผยเยี่ยนดีไม่น้อย พยักหน้าระรัว ถามอย่างละเอียดว่าท้อของชิงโจวปลูกยามใด เก็บเกี่ยวตอนไหน รสชาติอร่อยกว่าท้อของที่อื่นหรือมีลักษณะอะไรที่แตกต่างหรือไม่…
รอจนทั้งสองคนพูดเรื่องเมื่อวานเสร็จแล้ว กินข้าวเช้าจนอิ่มหนำสำราญ ชิงหยวนก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกๆ อยู่บ้าง กระซิบไม่กี่ประโยคข้างหูเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนเลิกคิ้ว พยายามข่มกลั้นจึงไม่ได้หัวเราะออกมา
สาวน้อยผู้นี้ ปกติเขายังคิดว่านางใจกล้าอย่างยิ่ง ผลปรากฏว่า ได้ยินเขาขอแต่งงาน คาดไม่ถึงว่าจะตกใจจนหนีไป
แบบนี้ก็ดี
หากนางรั้งอยู่ที่นี่ เขาย่อมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรื่องสำคัญอะไรคงทำไม่สำเร็จ
ให้นางกลับไปสงบจิตใจสักสองวันก็ดี
เผยเยี่ยนจึงช่วยหาข้ออ้างให้อวี้ถัง กล่าวว่านางมีธุระกลับหลินอันไปแล้ว มีอวี้หย่วนรั้งอยู่ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว
อวี้หย่วนลอบแปลกใจ เขาคิดว่าอวี้ถังไม่ใช่คนประเภทที่เจอเรื่องอะไรบางอย่างก็ทิ้งเรื่องของสกุลอวี้ไว้ไม่สนใจ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีข้อยกเว้น เขาก็ไม่กล้ามั่นใจ ทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ ขานรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะขึ้นเขาไปเป็นเพื่อนเผยเยี่ยน
ทั้งสองคนพักอยู่ที่เรือนเก่าสกุลอวี้อยู่สองสามวัน ในที่สุดถึงตัดสินใจได้ว่าจะปลูกอะไร เผยเยี่ยนจึงทิ้งให้หูซิ่งและอวี้หย่วนรับช่วงต่อเรื่องต้นไม้ต้นกล้าต่อ ด้านตัวเองก็กลับเมืองหลินอัน
ส่วนมากผู้ที่มาร่วมเทศกาลสรงน้ำพระที่วัดเจาหมิงล้วนกลับไปแล้ว นายหญิงสี่สกุลซ่งกลับยังคงเป็นแขกในสกุลเผย ทั้งมักจะไปไหว้พระเป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่าเผยอยู่บ่อยๆ
ยามที่เผยเยี่ยนกลับมา นายหญิงสี่สกุลซ่งกำลังแนะนำหลานสาวคนหนึ่งของสกุลมารดาตัวเองให้ท่านแม่เฒ่าอยู่พอดี “นางเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้คิดอะไร ยามนี้นึกขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมาะสมกับสยากวง หากท่านคิดว่าดีเช่นกัน ข้าจะให้นางเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านช่วงหนึ่ง ท่านจะได้ดูด้วยตาของตัวเอง”
เนื่องจากช่วงไว้ทุกข์ของท่านผู้เฒ่าใกล้จะสิ้นสุด ผู้ที่มาทาบทามเผยเยี่ยนจึงหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
เมื่อก่อนท่านแม่เฒ่าย่อมมั่นใจว่าต้องการให้เผยเยี่ยนแต่งลูกสะใภ้แบบใด แต่หลังจากลูกคนโตป่วยตายอย่างกะทันหัน ลูกคนเล็กลาออกจากราชการกลับมารับช่วงต่อกิจการของสกุล ท่านแม่เฒ่าเผยกลับไม่รู้ว่าควรจะหาลูกสะใภ้อย่างไรให้ลูกชายคนเล็กแล้ว
แต่มีจุดหนึ่งที่นางไม่เคยเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยมา
นั่นก็คือลูกสะใภ้ผู้นั้นต้องเป็นคนที่เผยเยี่ยนชื่นชอบ
ไม่อย่างนั้นนางก็ทำให้ลูกคนเล็กไม่ได้รับความเป็นธรรมเกินไปแล้ว
เผยเยี่ยนมาน้อมทักทายท่านแม่เฒ่า ท่านแม่เฒ่าจึงสลัดนายหญิงสี่สกุลซ่งที่มาทาบทามได้พอดี ไปพบกับลูกคนเล็กก่อน
เผยเยี่ยนไม่ได้คิดจะอ้อมค้อมกับมารดา หลังจากคำนับมารดาแล้ว ก็นั่งต่ำกว่านาง ยกชาที่พวกสาวใช้นำมาดื่มไปหนึ่งคำ เอ่ยว่า “หลายวันนี้ข้าช่วยสกุลอวี้ดูพื้นที่ทางภูเขา คาดไม่ถึงว่าหูซิ่งจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ข้าครุ่นคิดว่าให้เขาดูแลรับผิดชอบเรือนหลังโดยเฉพาะน่าจะดี ข้าจะหาคนจากในหมู่ผู้ดูแลมารับช่วงต่อเรื่องของเขา ให้เขาได้ตั้งใจฟังแต่คำสั่งของท่าน”
ท่านแม่เฒ่าเผยกลับไม่รู้ว่าหลายวันนี้เผยเยี่ยนกำลังยุ่งกับเรื่องพื้นที่ภูเขาของสกุลอวี้ นางฟังแล้วจึงแปลกใจ เอ่ยว่า “สกุลอวี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ? ยังต้องให้เจ้าออกหน้าด้วยตัวเอง?”
เผยเยี่ยนหูแดงขึ้นมาอยู่บ้าง
แม้เขาจะพบเรื่องราวมามาก แต่เรื่องเช่นนี้ยังคงเป็นครั้งแรก ยากที่จะไม่ขัดเขินอยู่บ้าง เขากระแอมไอเบาๆ สองครั้ง ยามนี้ค่อยกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าคุณหนูอวี้เอาแต่กังวลเรื่องพื้นที่ภูเขาแห่งนั้นมาโดยตลอดหรอกรึ? ข้าก็แค่ไปช่วยดู”
แต่เขาเป็นคนประเภทที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นรึ?
ท่านแม่เฒ่ามองลูกชายอย่างสงสัย
สกุลซ่งไม่รู้ว่ามาขอลูกชายผู้นี้ของนางทั้งที่ลับและที่แจ้งตั้งเท่าใด ก็ไม่เห็นว่าลูกชายผู้นี้จะช่วยเสนอความคิดอะไรให้สกุลซ่ง
ภายใต้การจดจ้องของมารดา เผยเยี่ยนรู้สึกไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง กระแอมไอเบาๆ ขึ้นมาอีกสองครั้ง
ท่ามกลางแสงไฟส่องประกายวาบ ท่านแม่เฒ่าเผยพลันเข้าใจขึ้นมาทันที
นางตกใจสุดขีด ชี้นิ้วที่สั่นเทาไปยังเผยเยี่ยน “เจ้า นี่เจ้า…ชื่นชอบคุณหนูอวี้?”
เป็นครั้งแรกที่เผยเยี่ยนรู้สึกราวกับตัวเองถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้าจนมองเห็นทะลุปรุโปร่ง แต่เขายังคงพยักหน้า เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าคุณหนูอวี้ดีไม่น้อย”
ท่านแม่เฒ่าก็คิดว่าอวี้ถังดีไม่น้อยเช่นกัน แต่หากจะเป็นลูกสะใภ้ของนางจริงๆ…นางยังคงรู้สึกว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ นางเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้า เจ้าไปพูดเรื่องนี้กับสกุลอวี้หรือยัง?”
เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมต้องบอกท่านก่อน ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ท่านต้องช่วยข้าออกหน้าจัดการหรอกรึ?”
ท่านแม่เฒ่าเผยมองลูกชายที่รูปงามโดดเด่นทั้งตั้งแต่เด็กก็ชอบต่อต้านไม่เชื่อฟังของตัวเอง ไม่รู้ว่าควรจะชื่นใจหรือปลดปลงดี
เผยเยี่ยนกลับไม่คิดให้ท่านแม่เฒ่าเผยมีโอกาสโต้แย้งเรื่องนี้ เขาโยนเรื่องนี้ให้ท่านแม่เฒ่าไปตรงๆ ทั้งยังเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้สกุลก็จะสงบลงแล้ว ไม่ต้องมีคนนั้นคนนี้มาทาบทามข้าอีก คนที่มาก็ไม่รู้โผล่มาจากไหนบ้าง หากไปเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลใดเข้า ถึงเวลานั้นแม้สกุลพวกเราจะอยากรักษาความเป็นกลางก็คงทำไม่ได้แล้ว”
ท่านแม่เฒ่าเผยไม่เชื่อคำพูดของลูกชาย นางมองเผยเยี่ยนอย่างสงสัย เอ่ยว่า “เจ้าเป็นคนประเภทที่กลัวเรื่องราวอย่างนั้นรึ? ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่กลัวว่าใต้หล้าแห่งนี้จะไม่มีเรื่องยุ่งมากกว่า?”
เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล “ท่านแม่ ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ใครจะไม่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกัน? นี่ไม่ใช่ว่าไขว่คว้าไม่ได้ ทำได้เพียงรับมือหรอกรึ? ข้ารู้สึกว่าคุณหนูอวี้ดีไม่น้อย รู้จักนิสัยใจคอ สกุลก็สะอาดบริสุทธิ์ เป็นคนเรียบง่าย ฉลาดหัวไว รู้จักอดทนอดกลั้นทั้งไม่กลัวภาระหนัก” สุดท้ายยังเอ่ยว่า “สกุลอย่างพวกเรา เรื่องในเรือนสงบสุขจึงจะนับว่าสำคัญที่สุด ท่านดูพี่ใหญ่ แล้วลองดูพี่รองเอาเถิด”
พูดจนท่านแม่เฒ่าไม่รู้จะตอบอย่างไรอยู่พักใหญ่