ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 295 ไม่ได้
เผยเยี่ยนเหงื่อชื้นขึ้นหน้าผากเล็กน้อย สีหน้ากลับไม่ปรากฏความลนลาน ครุ่นคิดในใจว่าจะขอใครให้ช่วยทาบทามดี
คนผู้นี้จำเป็นต้องสนิทกับอวี้เหวินอย่างเป็นการส่วนตัว ทั้งสามารถพูดคุยถูกคอกับสกุลเผย
น่าเสียดายที่สกุลอวี้และสกุลเผยมีฐานะแตกต่างกันเกินไป เผยเยี่ยนครุ่นคิดไปครั้งหนึ่งก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
ยามที่เขาขบคิดว่าควรไปขอร้องท่านแม่เฒ่าดีหรือไม่ จู่ๆ ก็นึกถึงนายท่านอู๋ที่ดื่มสุราเป็นเพื่อนเขาที่สกุลอวี้ในวันนี้
นี่ไม่ใช่ว่ามีตัวเลือกหนึ่งปรากฏแล้วหรอกหรือ?
เผยเยี่ยนกำชับหูซิ่ง “เจ้าไปส่งเทียบเชิญให้นายท่านอู๋ที่ตรอกชิงจู๋ กล่าวว่านายท่านรองเชิญเขามาดื่มชาในสกุล”
หูซิ่งรับคำสั่งก่อนจะออกไป
เผยเยี่ยนจึงไปหาเผยเซวียน
เผยเซวียนกำลังถือบัวรดน้ำเล็กๆ ทำความสะอาดใบของดอกอวี้หลันที่เขาปลูกไว้ เห็นน้องชายเข้ามา ก็ไม่ได้วางบัวรดน้ำในมือลง กลับยกคางชี้เอ่ยว่า ‘นั่งสิ’ จากนั้นจึงถามเขาว่า “เจ้าดื่มชาอะไร? ข้าเพิ่งได้ชาปี้หลัวชุนมา ชาเหมาเจี้ยนของซิ่นหยางก็มีเช่นกัน”
ทั้งสองคนล้วนเติบโตในหลินอัน กลับไม่ชอบดื่มชาซีหูหลงจิ่งแต่อย่างใด
เผยเซวียนชอบชาหลัวปี้ชุนและเหมาเจี้ยนของซิ่นหยางมากกว่า ส่วนเผยเยี่ยนชอบชาเหยียนฉาของฝูเจี้ยนและชาแดงของฉีเหมิน
เผยเยี่ยนไม่ได้มาหาพี่ชายเพื่อดื่มชา แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมให้ตัวเองลำบาก กำชับบ่าวรับใช้ของเผยเซวียนให้ชงชาแดงของฉีเหมินมาหนึ่งกา
เพราะไม่ใช่ชาที่เผยเซวียนดื่มเป็นประจำ เด็กรับใช้ผู้นั้นหากว่าค่อนวันจึงค่อยพบโถที่บรรจุชาแดงฉีเหมิน ยังถูกอาหมิงตำหนิว่า “ในเมื่อเจ้าจำไม่ได้ ก็บอกกล่าวกับข้าเสียหน่อย ข้าจะได้วิ่งกลับไปเอา ย่อมเร็วกว่าเจ้าอยู่แล้ว”
โชคดีที่นายท่านรองและนายหญิงรองล้วนมีนิสัยอ่อนโยน หากเป็นเด็กรับใช้ในห้องของนายท่านสามพวกเขา คงจะถูกโยกย้ายไปกวาดลานเรือนด้านนอกนานแล้ว
เผยเซวียนเอ่ยถึงเรื่องกลับไปรับตำแหน่งของตัวเองกับเผยเยี่ยน “ข้าเขียนจดหมายส่งให้อาจารย์แล้ว เขากลับเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ข้าจะรับตำแหน่งในเมืองหลวง แต่เจ้าก็รู้ ทางญาติผู้พี่สามของปู่สี่ช่วงนี้ก็ตั้งใจเข้าเมืองหลวงรับราชการเช่นกัน ข้าไม่รู้การจัดการทางนั้นของเจ้า ครุ่นคิดว่ารอเจ้าทำเรื่องที่หังโจวเสร็จแล้ว พวกเราสองพี่น้องต้องนั่งคุยกันดีๆ เสียหน่อย เจ้ากลับเป็นฝ่ายมาหาข้าก่อน เช่นนั้นตอนกลางวันก็กินข้าวที่นี่เถิด ข้าให้คนไปทำซาลาเปาไส้หัวไชเท้าที่เจ้าชอบกินแล้ว”
ลูกชายคนที่สามของเผยวั่งชื่อเผยเฟิง อายุใกล้เคียงกับเผยเซวียน เป็นข้าหลวงอยู่ที่เป่าติ้งมาหลายปีแล้ว ตามหลักควรจะถูกโยกย้ายมาเป็นขุนนางในเมืองหลวงได้แล้ว แต่เผยเซวียนและเผยเฟิงเป็นพี่น้องสกุลเดียวกัน เผยเซวียนกลัวว่าสกุลอื่นๆ จะจับจ้องสกุลเผยเพราะเรื่องนี้
แต่ไหนแต่ไรเผยเยี่ยนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการที่เรียกว่า ‘ทำตัวเด่นจะเป็นภัย’
คนเดินผ่านย่อมเหลือรอยเท้า สกุลเผยอยากร่ำรวย ทั้งกลัวว่าจะไม่มีอำนาจ ตกเป็นเป้าของคนละโมบพาหายนะมาสู่สกุล ไหนเลยจะสามารถหายไปจากสายตาของผู้คนอย่างจริงจังได้? วิธีที่ดีที่สุดย่อมเป็นการเข้าสู่วงสังคม
ทั้งใครจะสามารถยืนหยัดอยู่เป็นพันหมื่นปี
ยามที่ควรจะพ่ายแพ้ก็พ่ายแพ้ ยามที่ควรจะเกิดใหม่ก็เกิดใหม่ นี่จึงจะเรียกว่าวิถีทางของมนุษย์อย่างแท้จริง
เขาฟังจบก็เอ่ยว่า “ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกนี้ ทางญาติผู้พี่เฟิง ข้าก็ให้คนไปส่งจดหมายแล้ว ให้เขาไปหาโจวจื่อจิน หลายวันมานี้โจวจื่อจินอยู่ในเมืองหลวง ให้เขาคิดวิธีช่วยหาตำแหน่งดีๆ สักตำแหน่งให้ญาติผู้พี่เฟิง ไยสกุลพวกเราถึงต้องยอมทุกเรื่อง? ระมัดระวังกับทุกเรื่อง? ชีวิตเช่นนี้ผ่านไปนานเข้า คนย่อมจะมีแต่ความถดถอย ท่านดูลูกหลานรุ่นต่อไปสิ นอกจากเผยฉานและเผยปัวแล้ว ยังมีใครที่น่าจับตามองอีกบ้าง?”
เผยเซวียนไม่เอ่ยอันใด คิดว่าน้องชายพูดถูก ยิ่งรู้สึกว่าก่อนที่บิดาจะจากไปตัดสินใจมอบสกุลเผยให้เผยเยี่ยนดูแลเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
เขารินชาให้น้องชายด้วยตัวเอง
เมื่อครู่เผยเยี่ยนเพิ่งจะกล่าวสั่งสอนพี่ชายเสียงดัง ยามนี้ต้องก้มหน้ามาขอร้องเผยเซวียน ทั้งยังกระดากอายอยู่บ้าง
สองพี่น้องดื่มชาสองถ้วยอย่างเงียบๆ ในที่สุดเผยเยี่ยนก็ปลุกความกล้าขึ้นมา เอ่ยว่า “ท่านพี่ ข้ามีเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย!”
อาจเป็นเพราะแทบไม่เคยขอร้องใคร น้ำเสียงของเขาจึงแข็งทื่ออย่างยิ่ง แต่อาศัยจากความเข้าใจของเผยเซวียนที่มีต่อน้องชาย ยังคงรู้ว่าเขามีเรื่องสำคัญอยากพูดกับตน
เผยเซวียนวูบไหวในใจ
น้องชายผู้นี้ นอกจากฉลาดเจ้าแผนการ ยังโอหังถือตัว ยามปกติย่อมไม่ขอร้องใคร
แม้ว่าเขาจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันก็ตาม
เขาอดหยัดกายตรงขึ้นมาไม่ได้ เอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าพูดมา!”
เผยเยี่ยนลำบากใจยิ่งกว่าเดิม เขาก้มหน้าดื่มชาสองคำติดต่อกัน ยามนี้จึงค่อยเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “เป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าท่านแม่เป็นเจ้าภาพดูแลงานบรรยายธรรมที่วัดเจาหมิงหรอกรึ? คนของสกุลซ่ง สกุลอู่ต่างก็เข้ามา ทั้งวันเอาแต่ดึงท่านแม่ไปพูดเรื่องแต่งงานของข้า นายหญิงสี่สกุลซ่งถึงกระทั่งรั้งอยู่ในเรือนจนถึงตอนนี้ไม่ยอมไปไหน ข้าครุ่นคิดดูแล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลย วางแผนจะแต่งคุณหนูคนหนึ่งในหลินอันเป็นภรรยา พอดีที่ไม่กี่วันก่อนข้าไปทำธุระที่หังโจว ลูกสาวของอวี้ซิ่วไฉในตรอกชิงจู๋ไปหังโจวเป็นเพื่อนคู่หมั้นของอินหมิงหย่วน พวกเราพบหน้ากันหลายครั้งแล้ว ข้ารู้สึกว่าคุณหนูผู้นั้นยอดเยี่ยมไม่น้อย จึงบอกกล่าวกับท่านแม่ ท่านแม่ก็คิดว่าดีเช่นกัน ยามนี้ขาดแต่เพียงคนไปเอ่ยเรื่องนี้กับสกุลอวี้ ข้าจึงมาขอร้องท่านพี่”
เผยเซวียนได้ยินก็เบิกตาค้างอย่างตกใจ
น้องชายผู้นี้เป็นคนสงบเสงี่ยมขลาดกลัวตั้งแต่เมื่อใด?
สกุลซ่ง สกุลอู่มาทาบทาม เขาก็ทนไม่ได้แล้วอย่างนั้นรึ?
เช่นนั้นคนที่แค้นเคืองจนสกุลจางและสกุลหลีตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นใครกัน?
เผยเซวียนอดพินิจน้องชายตัวเองอย่างละเอียดไม่ได้
ยามนี้จึงค่อยพบว่าหูของเผยเยี่ยนแดงอยู่บ้าง
ฮ่าๆ!
เผยเซวียนหัวเราะลั่นในใจ
กล่าวว่างานแต่งที่จำยอมอะไรกัน น้องชายเขาคงถูกชะตาลูกสาวของอวี้ซิ่วไฉมากกว่ากระมัง!
ยังพูดว่าท่านแม่เห็นด้วยแล้ว
ไม่แน่ว่าท่านแม่จะโมโหเขาจนนอนซมอยู่บนเตียงแล้วกระมัง
ตั้งแต่พี่ชายใหญ่ของเขาแต่งคนสกุลหยาง มารดาของเขาก็เกลียดการลักลอบคบหากันเป็นที่สุด แต่นี่นอกจากไม่แยกคู่รักออกจากกัน ยังเห็นด้วยอีกอย่างนั้นรึ?
เผยเซวียนยังคงเห็นเผยเยี่ยนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขารู้สึกขบขันอย่างยิ่ง กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “เจ้าวางใจเถิด เรื่องนี้ข้ารับผิดชอบเอง ข้าจะไปปรึกษากับท่านแม่เดี๋ยวนี้ เจ้ารอข่าวคราวจากข้าก็พอ”
ถึงเวลานั้นดูสิว่ามารดาจะจัดการเขาอย่างไร!
เผยเซวียนแทบคอยไม่ไหวอยากจะพบท่านแม่เฒ่าแล้ว
เผยเยี่ยนเห็นพี่ชายตบอกรับประกันกับเขา ไหนเลยจะนึกได้ว่าเดิมทีในใจของเผยเซวียนก็ไม่ได้คิดเช่นนี้ นอกจากจะซาบซึ้งแล้ว ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องของพี่รองอยู่บ้าง เอ่ยอย่างละอายใจ “เช่นนั้นก็รบกวนท่านพี่แล้ว” ยังช่วยเผยเซวียนออกความคิด “อวี้ซิ่วไฉและนายท่านอู๋ที่อยู่เรือนใกล้กันมีมิตรภาพต่อกันอย่างยิ่ง หากท่านไปสกุลอวี้ มิสู้ดึงนายท่านอู๋ไปเป็นเพื่อนท่านด้วย”
นี่กระทั่งจะใช้วิธีไหนล้วนคิดไว้หมดแล้ว!
เผยเซวียนรับปากทันที ก่อนจะออกไปพบท่านแม่เฒ่า
“ท่านแม่ ช่วงนี้น้องชายกำลังยุ่งอยู่กับอะไรรึ? ไฉนเขาจึงให้ข้าช่วยไปทาบทามงานแต่งให้ กล่าวว่าอยากแต่งลูกสาวของอวี้ซิ่วไฉของตรอกชิงจู๋ ท่านแม่รู้เรื่องนี้หรือไม่? พวกเราไม่ได้สนิทสนมกับสกุลอวี้ พวกเราควรล่วงหน้าไปสืบเรื่องของสกุลอวี้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไรบ้างกระมัง!”
ใครจะรู้ว่าท่านแม่เฒ่ากลับไม่ได้เปิดฉากต่อสู้ดุเดือดอย่างที่เขาคิดไว้ ทำเพียงชำเลืองมองเขาอย่างเรียบนิ่งแวบหนึ่งเท่านั้น “น้องชายเจ้าขอเจ้าไปช่วยเป็นพ่อสื่อ? เช่นนั้นเจ้าไปหยั่งเชิงหน่อยก็พอแล้ว”
เผยเซวียนเกาศีรษะ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ท่านแม่เฒ่ารู้ว่าลูกชายผู้นี้ของตน มีนิสัยสงบเสงี่ยมรู้จักกาลเทศะ แต่ยามที่ซุกซนขึ้นมากลับพาให้คนปวดหัวยิ่งกว่าเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องราวเสียอีก
“นี่เป็นเรื่องของน้องชายเจ้า” ท่านแม่เฒ่าเร่งรัดเผยเซวียน “เจ้าที่เป็นพี่ชาย ควรจะทำเรื่องของเขาให้เรียบร้อย ผู้อื่นจะได้ไม่ขบขันสกุลเผยของพวกเรา”
เผยเซวียนตะลึงงัน
เดิมทีท่านแม่ก็รู้เรื่องนี้จริงๆ ทั้งยังรับปากงานแต่งของเจ้าสามแล้วด้วย!
ไม่ได้เหมือนพี่ใหญ่ที่ต้องคุกเข่าอยู่ด้านนอกห้องนอนอยู่ค่อนคืน? ทั้งไม่ได้ถูกแส้ฟาดจนนอนซมลุกไม่ได้?
เจ้าสามทำได้อย่างไร
เหตุใดเขาคิดจะทำอะไรก็ทำสำเร็จตลอด?
เผยเซวียนคิดอย่างอิจฉาอยู่เล็กน้อย ท่านแม่ลำเอียงจริงๆ!
เขาออกมาจากเรือนท่านแม่เฒ่าอย่างหมดอาลัยตายอยาก ทำตามคำกำชับของเผยเยี่ยน รอนายท่านอู๋มา ‘ดื่มชา’ กับเขา
หลังจากอวี้ถังรู้ว่าเผยเยี่ยนมาที่เรือนก็ตั้งใจหลบหน้าเขาจริงๆ ทั้งไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เป็นจุดสนใจ เอาแต่ทำดอกไม้ผ้าอยู่ในห้องตัวเอง เตรียมไว้ในยามเทศกาลชีซี ก็จะนำไปเป็นของขวัญมอบให้ญาติสนิทมิตรสหาย ด้านหม่าซิ่วเหนียงยามที่มาเยี่ยมเยียนอวี้ถังเพราะไม่วางใจ คาดไม่ถึงว่านางจะมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่เหมือนครั้งที่ไปหาตนวันนั้นโดยสิ้นเชิง คล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น พาให้หม่าซิ่วเหนียงอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองฟังผิดไปหรือไม่
“เจ้าไม่ได้พูดอะไรกับท่านแม่ข้าหรอกกระมัง?” อวี้ถังถามหม่าซิ่วเหนียงอย่างกังวลอยู่บ้าง
หม่าซิ่วเหนียงถลึงตามองนางไปที เอ่ยว่า “ข้าเป็นคนไม่รู้จักความเหมาะสมเช่นนั้นรึ?”
หากเผยเยี่ยนยังไม่จัดการกับคนในสกุลให้เรียบร้อย นางเอะอะแพร่งพรายเรื่องราวออกไปก่อน หากมีข่าวลือเสียหายอะไรออกมา ภายหลังอวี้ถังจะทำอย่างไรกัน!
อวี้ถังเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ช่วยเขาพูดหรอก หากกระทั่งเรื่องพวกนี้เขายังให้ข้าเป็นคนออกหน้า ย่อมแสดงให้เห็นว่าไม่มีความจริงใจอันใด”
นี่ก็หมายความว่าจะไม่สนใจเผยเยี่ยน ให้เขาดิ้นรนเอาเอง งานแต่งครั้งนี้จะสำเร็จก็สำเร็จ ไม่สำเร็จก็ไม่คิดดึงดันอะไรทั้งนั้น!
หม่าซิ่วเหนียงหยิกแก้มอวี้ถังเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ปากไม่ตรงกับใจ เป็นใครกันที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่เบื้องหน้าข้า”
อวี้ถังเผยใบหน้าแดงก่ำยอมรับเป็นนัย แต่ยังคงไม่คิดจะช่วยเผยเยี่ยนพูดคุย “เขาคงไม่ถึงกับไร้ความกล้าจะพูดเรื่องนี้หรอกกระมัง? นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าควรทำ”
นั่นก็ถูก
หม่าซิ่วเหนียงพยักหน้าระรัว ท้ายที่สุดยังคงรู้สึกว่าอวี้ถังไม่อาจจะพบงานแต่งที่ดีกว่าครั้งนี้ได้แล้ว จึงกังวลขึ้นมาอยู่บ้าง แม้ว่าจะกลับจากสกุลอวี้แล้ว ก็ยังให้สี่เชวี่ยคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของสกุลอวี้
แต่ผ่านมาหลายวัน สกุลอวี้ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด
ยามที่นางลังเลว่าควรจะมาดูสถานการณ์ที่สกุลอวี้อีกครั้งหรือไม่ อวี้เหวินก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียก่อน
เขาจ้องนายท่านอู๋ด้วยสีหน้าถมึงทึง เอ่ยว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? นายท่านสามเผยอยากแต่งลูกสาวของพวกเรา? เขาอายุตั้งเท่าใดแล้ว? ลูกสาวของพวกเราอายุเท่าใด? ไม่ได้! นี่ไม่ได้เด็ดขาด!”
นายท่านอู๋ถูกอวี้เหวินพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดเช่นนั้นก็ตื่นตัวขึ้นมา เอ่ยว่า “นายท่านสามเผยมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ห่างจากลูกสาวพวกเจ้าแค่หกเจ็ดปีเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกรึ? ลูกสาวพวกเจ้าไม่ต้องทนลำบากตามลูกเขยอีกแล้ว เข้าไปก็เป็นภรรยาของจิ้นซื่อเลย ยังมีอะไรดีกว่านี้อีกอย่างนั้นรึ?”
“นั่นก็ไม่ได้!” อวี้เหวินทำได้เพียงคิดว่าเผยเยี่ยนทำดีต่อสกุลเขาเช่นนี้ก็เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ถึงกระทั่งเงินพวกนั้นที่เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนหามาได้ ก็ล้วนแต่เป็นการกุศลของคนอื่นทั้งหมด เขาอยากจะวิ่งไปเบื้องหน้าเผยเยี่ยน นำเงินที่กินใช้เมื่อก่อนโยนใส่หน้าเผยเยี่ยนไปทั้งหมด “ลูกสาวของพวกเราใช่ว่าจะแต่งไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นสกุลพวกเราก็ต้องรั้งลูกสาวไว้รับลูกเขยเข้าสกุล”