ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 296 ไม่สนใจ
นายท่านอู๋ได้ฟังก็กระทืบเท้า ชี้จมูกอวี้เหวิน “ข้าว่าเจ้าเลอะเลือนไปแล้ว! เจ้ารั้งลูกสาวไว้ที่สกุลเพื่อเหตุใด? ไม่ใช่ว่าเอ็นดูลูกสาว กลัวว่านางแต่งไปสกุลอื่นแล้วจะไม่มีพี่น้องร่วมสายเลือดหนุนหลัง ถูกคนรังแกหรอกรึ? ยามนี้นางสามารถแต่งเข้าสกุลที่ดีขนาดนี้ได้ เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก?”
อวี้เหวินรู้สึกไม่พอใจทุกเรื่อง
อายุมากเกินไป รูปงามเกินไป ฐานะสูงส่งเกินไป สมาชิกในสกุลมากเกินไป
นายท่านอู๋ทำได้เพียงงัดท่าไม้ตายออกมา เอ่ยว่า “นายท่านรองเผยก็พูดแล้ว ท่านมีลูกสาวคนเดียว ภายหลังแต่งไปสกุลเผย นายท่านสามเผยเป็นลูกเขยของท่าน เรื่องในสกุลท่านก็เป็นเรื่องของเขาด้วย หากอาหย่วนต้องรับผิดชอบเรื่องในสกุลเพียงคนเดียว เด็กที่จะมาเป็นลูกหลานจุดธูปในอนาคตให้เจ้าผู้นั้น นายท่านสามย่อมช่วยอบรมดูแล ไม่อาจทำให้ชื่อเสียงสกุลอวี้ของพวกเจ้าเสื่อมเสีย”
อวี้เหวินปิดตาลง ปฏิเสธที่จะพูดกับนายท่านอู๋
นั่นมีประโยชน์อันใด?
เขานับถือลัทธิเต๋า เชื่อเพียงการทำดีในชาตินี้ ไม่หวังเรื่องในชาติหน้า
เขาสนใจเพียงชั่วชีวิตนี้จะสามารถมองลูกของอวี้ถังเจริญเติบโตได้ เขาตายไปก็ไม่รู้อะไรแล้ว ยังจะต้องสนใจเรื่องมากมายขนาดนั้นไปทำไม
นายท่านอู๋คิดว่างานแต่งครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ เหมือนกับลาภลอยที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ยามที่นายท่านรองเผยเรียกเขาไปพูดคุย ตอนแรกเขายังคิดว่าตัวเองฟังผิดด้วยซ้ำ รอจนทราบว่าเป็นเรื่องจริง เขาก็ตื่นเต้นจนทำน้ำชาหก ยังตบอกตัวเองรับประกันกับนายท่านรองเผย ให้นายท่านรองเผยสนใจเพียงดูฤกษ์งามยามดีเท่านั้น ส่วนสกุลอวี้รอข่าวดีจากเขาก็เพียงพอแล้ว
ระหว่างทางที่เขากลับมาถึงกระทั่งคิดดีแล้วว่า ยามที่อวี้ถังออกเรือน เขาจะส่งของขวัญอะไรให้
ใครจะรู้ว่าสมองของอวี้เหวินผู้นี้กลับคล้ายซึมลงไปในน้ำ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่อาจเข้าไปทั้งนั้น
นายท่านอู๋พูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุดหย่อนอยู่ค่อนวัน ชาก็ดื่มไปสองถ้วยแล้ว อวี้เหวินยังคงไม่ใจอ่อน เขาทำได้เพียงกล่าวว่า “ตกลงเจ้าไม่พอใจตรงไหนกัน? พูดออกมาทุกคนจะได้ปรึกษาหารือกันได้ แม้ว่าภายหลังลูกสาวของสกุลพวกเจ้าจะหาลูกเขยอีกครั้ง พวกเราก็จะได้รู้ว่าเจ้าต้องการลูกเขยแบบไหน! เจ้าไม่อาจปิดปากเงียบเช่นนี้ได้!”
อวี้เหวินลืมตาขึ้นเพียงข้างเดียว ชำเลืองมองนายท่านอู๋ไปที เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ตรงไหนก็ไม่พอใจทั้งนั้น อีกอย่าง ลูกสาวของพวกเราก็อายุยังน้อย ข้ายังวางแผนจะรออีกสักสองปี งานแต่งครั้งนี้ก็ปล่อยไปเช่นนี้แล้วกัน พวกเราไม่อาจใฝ่สูงเกินตัว”
คำพูดของเขาพาให้นายท่านอู๋หงุดหงิดขึ้นมา เขาเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าไร้เหตุผลหรอกรึ? เจ้ากลายเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด…เพราะคิดว่าสกุลเผยสูงเกินเอื้อม ดังนั้นจึงไม่สนใจอย่างรู้แล้วรู้รอดไป กระทั่งลูกเขยอย่างนายท่านสาม เจ้าก็ปฏิเสธ…”
อวี้เหวินได้ฟังก็โมโหขึ้นมา เอ่ยว่า “คนอื่นเสียดายสกุลเผย ข้ากลับไม่เสียดาย หรือภายหลังลูกสาวของข้าได้รับความไม่เป็นธรรม กระทั่งข้าออกหน้าอธิบายให้นางก็ยังไม่ได้อย่างนั้นรึ? ลูกเขยเช่นนี้ข้าไม่ต้องการ”
นายท่านอู๋โมโหจนเสียมารยาทไปอยู่บ้าง ตะโกนเสียงดัง “เจ้านี่มันเป็นคนจนที่น้อยเนื้อต่ำใจขนานแท้ พูดโดยสรุปแล้ว ก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองสู้สกุลเผยไม่ได้ ต่อหน้านายท่านสามไม่อาจพูด…”
คนสกุลเฉินที่ได้ยินว่านายท่านอู๋เข้ามา จึงยกผลไม้เข้ามาด้วยตัวเองบังเอิญได้ฟังประโยคนี้จากด้านนอก ก็ตกใจยกใหญ่ รีบเดินเข้ามา เอ่ยไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่เกิดเรื่องขึ้นรึ? แม้จะกล่าวว่าอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ ใจคนก็ร้อนขึ้นตาม แต่ทั้งสองคนล้วนเป็นคนรู้ใจที่หาได้ยาก มีเรื่องอะไรไยไม่ปรึกษากันดีๆ มีเรื่องอะไรจะพูดกันดีๆ ไม่ได้เลยรึ มา กินผลไม้กันก่อน ข้าเพิ่งให้อาเสาไปซื้อที่ตลาดมา กำลังสดใหม่ พวกท่านดูสิ ก้านยังเขียวอยู่เลย”
อวี้เหวินโมโหจนหมุนกายหนี
สีหน้าของนายท่านอู๋ก็ดูไม่ดีอย่างยิ่ง
คนสกุลเฉินอดเอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “เมื่อครู่หากข้าฟังไม่ผิด ทั้งสองคนกำลังพูดถึงนายท่านสามของสกุลเผยอยู่กระมัง? แม้ว่าภายนอกเขาจะดูเย็นชาไปบ้าง แต่ยามที่ปฏิบัติต่อคนอื่นกลับใจกว้างปรารถนาดีอย่างยิ่ง ทั้งนับว่ามีไมตรีต่อสกุลพวกเราไม่น้อย นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ? ต้องการไปพูดกับนายท่านสามหรือไม่”
อวี้เหวินรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นคนเลวไปทันที ฟังจบก็โมโหจนตัวยืดขึ้นมา พูดอะไรไม่ออก
กลับเป็นนายท่านอู๋ สมองแล่นอย่างว่องไว เงยหน้าก็ถอนหายใจยาวเหยียด เผยยิ้มขมขื่นเอ่ยว่า ‘น้องสะใภ้’ ก่อนจะบอกจุดประสงค์ที่ตัวเองมา
อวี้เหวินคิดจะขัดขวางก็ขัดไม่ได้แล้ว
คนสกุลเฉินฟังแล้วก็เอามือทาบอก ไร้การตอบสนองอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อดึงสติกลับมา นางก็ถลาไปด้านหน้านายท่านอู๋ทันที เอ่ยด้วยแววตาเคล้าคลอด้วยหยาดน้ำ “ท่านพูดจริงรึ? สกุลเผยเชิญท่านเป็นพ่อสื่อ มาทาบทามแทนนายท่านสามเผยอย่างนั้นรึ?”
“เรื่องเช่นนี้นำมาเล่นตลกได้ด้วยรึ?” นายท่านอู๋ไม่กล้าพูดว่าสกุลเผยล้วนไปหาฤกษ์งามยามดีแล้ว แต่กลับเอ่ยว่า “คนทั้งสกุลเผยต่างก็กำลังรอคำตอบจากสกุลพวกเจ้า!”
“ได้ๆ!” คนสกุลเฉินเช็ดหางตา เอ่ยกับนายท่านอู๋อย่างสะอึกสะอื้น “ข้าเห็นด้วย! งานแต่งของลูกสาวพวกเราก็ต้องรบกวนท่านแล้ว กลับไปข้าจะให้ลูกสาวของเราทำถุงเท้าสองคู่ด้วยตัวเองให้นายหญิงของสกุลพวกท่าน”
อวี้เหวินฟังก็มีโทสะขึ้นมา เอ่ยกับคนสกุลเฉินทันที “เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย…!”
คนสกุลเฉินที่ปกติมักจะนุ่มนวลอ่อนโยน เห็นอวี้เหวินเป็นดั่งโลกทั้งใบ ชั่วพริบตานั้นก็ราวกับเปลี่ยนไปคนละคน ยื่นมือไปลากอวี้เหวินมาอยู่ด้านข้าง แทบไม่ชายตามองเขา เอ่ยกับนายท่านอู๋ด้วยรอยยิ้มที่เบ่งบานราวกับดอกไม้ “แม้จะกล่าวว่างานแต่งของลูกขึ้นอยู่กับพ่อแม่ แต่เรื่องของลูกสาวนั้น อย่างไรข้าที่เป็นแม่ย่อมรู้มากกว่า นายท่านของพวกเราเอาแต่เตรียมจะรับลูกเขยเข้าสกุล ช่วงเวลาสั้นๆ จะเอี้ยวตัวกลับไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ ท่านอย่าฟังเขาเลย เรื่องนี้เป็นอันตกลงกันตามนี้” พูดจบ นางก็ตะโกนเรียกป้าเฉินเข้ามา “เจ้ารีบไปที่โรงเตี๊ยมให้พวกเขาส่งอาหารเข้ามา จากนั้นไปเชิญนายท่านใหญ่และคุณชายใหญ่มาด้วย บอกว่าในสกุลมีเรื่องมงคล เชิญพวกเขาเข้ามาดื่มฉลองเป็นเพื่อนนายท่านอู๋”
อวี้เหวินโมโหจนตะโกนออกมาเสียงดัง “ข้าจะดูว่าใครมันกล้าเข้ามา!” คนสกุลเฉินกลับสาวเท้ามาอย่างรวดเร็ว เข้าไปดึงไหล่อวี้เหวิน ลากคนออกไปด้านนอก ทั้งเอ่ยขอโทษนายท่านอู๋ไปพลาง “ในเรือนก็ไม่มีคนที่สามารถจัดการเรื่องราวได้ ท่านนั่งรอตรงนี้สักพัก นายท่านใหญ่และคุณชายใหญ่ของพวกเรากำลังจะเข้ามา ข้าจะไปช่วยนายท่านของเราผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกเดี๋ยวจะเข้ามาดื่มสุราเป็นเพื่อนนายท่านอู๋”
นายท่านอู๋บรรลุเป้าหมายแล้ว สบายใจยิ่งกว่าการดื่มน้ำถั่วเขียวแช่เย็นในเดือนหกเสียอีก ย่อมสนับสนุนให้คนสกุลเฉินเป็นผู้ตัดสินใจ ทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำของอวี้เหวินไป
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับคนสกุลเฉิน “น้องสะใภ้ไปจัดการธุระเถิด ข้าไม่รีบ นี่ก็ไม่ใช่ที่อื่นไกล ข้าย่อมไม่เกรงใจน้องสะใภ้อยู่แล้ว”
คนสกุลเฉินยิ้มรับ ก่อนจะพยายามดึงอวี้เหวินออกจากห้องหนังสืออย่างสุดชีวิต
เพราะคนสกุลเฉินร่างกายอ่อนแอ อวี้เหวินจึงไม่กล้าออกแรงสะบัดนาง ทำได้เพียงปล่อยให้นางดึงไป จวบจนออกจากห้องหนังสือ อยู่ใต้ชายคาเถาองุ่นในลานเรือน เขาจึงค่อยฝืนตัวออกจากคนสกุลเฉิน เอ่ยอย่างโกรธเคือง “อย่าคิดว่าข้าจะตอบรับ บอกเจ้าไว้ก่อน ข้าย่อมไม่อาจเห็นด้วยที่จะให้อวี้ถังแต่งเข้าสกุลเผย!”
คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “แล้วแต่เจ้า อย่างไรข้าก็เห็นด้วย อีกเดี๋ยวพี่ใหญ่เข้ามาก็ย่อมเห็นด้วยเช่นกัน”
ความนัยของวาจานี้คือ เจ้าก่อเรื่องไปคนเดียวจะมีประโยชน์อันใด
อวี้เหวินโมโหจนมุมปากสั่นระริก เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยออกมา “เจ้านี่มันหัวสูง เห็นเงินจนหน้ามืดตามัว”
คนสกุลเฉินกับเขาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาหลายปี ไหนเลยจะไม่รู้ความคิดนี้ของเขา ได้ยินก็ทั้งโมโหทั้งขบขัน เอ่ยว่า “ข้าหัวสูงหรือเจ้าหัวแข็งกันแน่?”
มุมปากอวี้เหวินกระตุก กำลังจะโต้เถียง กลับเห็นคนสกุลเฉินแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “ข้าและนายท่านอยู่ร่วมกันมาครึ่งชีวิต ยังมีใครที่เข้าใจนายท่านยิ่งกว่าข้าอีก ข้ารู้ว่าท่านกังวลอะไร แต่นายท่านสามเผย ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หน้าตาหรือวิชาความรู้ล้วนเป็นบุตรเขยเต่าทองคำที่หาได้ยากยิ่ง ท่านไม่ยินยอม ข้ากลับยินยอม ท่านก็เห็นแก่หน้าข้า อย่าต่อต้านข้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!” อวี้เหวินเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เรื่องนี้แม้เจ้าจะรับปาก ข้าก็ไม่อาจตอบรับ”
คนสกุลเฉินคิดว่าควรให้สามีสงบจิตใจสักพัก จึงทิ้งอวี้เหวินแล้วไปห้องครัว จัดเตรียมชาสุราด้วยตัวเอง
อวี้ป๋อและอวี้หย่วนได้รับข่าวจึงตามมาอย่างกระหืดกระหอบ เมื่อทราบเรื่องงานแต่งของอวี้ถัง ทั้งสองคนล้วนดีใจอย่างไม่คาดฝัน หลังจากรู้ว่าอวี้เหวินไม่เห็นด้วย อวี้ป๋อก็ไม่มองอวี้เหวินแม้แต่หางตา ไปดึงนายท่านอู๋มาพูดโดยตรง “เขาคงเลอะเลือน ท่านอย่าสนใจเขาเลย สกุลอวี้มีข้าเป็นผู้ดูแล ท่านมีเรื่องอะไรมาพูดกับข้าโดยตรงก็พอแล้ว”
พาให้อวี้เหวินโมโหขึ้นมา นั่งอยู่หน้าห้องโถงคนเดียวเพียงลำพัง ไม่สนใจใครทั้งนั้น
อวี้ป๋อถามคนสกุลเฉิน “ทางพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าส่งคนไปบอกกล่าวแล้วหรือยัง? ให้นางพาลูกเข้ามา ทุกคนมากินข้าวด้วยกัน นี่นับเป็นเรื่องมงคลอย่างยิ่ง!”
นายท่านสามสกุลเผย เป็นคนที่ห่างไกลราวกับขอบฟ้า ปกติมองได้แต่ไม่อาจเอื้อม กลับกำลังจะเป็นลูกเขยของสกุลพวกเขา นี่นับเป็นเรื่องที่แม้จะคล้ายราวกับความฝันก็ยังทำให้คนนึกไม่ถึงอยู่ดี
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สินเดิมของอาถังวางแผนไว้อย่างไรบ้าง? เรื่องนี้เจ้าต้องหารือกับพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าดีๆ อะไรที่ซื้อก็ควรซื้อ ไม่ต้องขี้เหนียว สกุลเผยย่อมไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้กับเจ้า แต่สิ่งใดที่พวกเราควรทำเพื่อไว้หน้าลูกก็ยังต้องควรทำ หากเงินไม่พอ เจ้ามาหาข้าก็พอแล้ว”
คนสกุลเฉินคำนับให้อวี้ป๋ออย่างซาบซึ้งใจ
จู่ๆ อวี้เหวินก็แค่นหัวเราะขึ้นมา เอ่ยอย่างขบขัน “คนยังไม่ทันได้แต่ง ทรัพย์สินของสกุลก็ถูกควักออกไปเสียแล้ว ชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนี้ มีประโยชน์รึ?”
อวี้ป๋อโมโหจนคอแดงเถือกไปหมด เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าไม่ต้องยุ่ง เรื่องสินเดิมของอาถัง ยังมีข้าอยู่!”
นายท่านอู๋คิดว่ายามนี้เขาก็ควรยืดอกออกมาบ้าง แม้จะโมโหแต่กลับเผยยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ข้าเคยแต่ได้ยินว่าคนอื่นขายไร่ขายนา หาวิธีให้ลูกสาวลูกชายมีหน้ามีตา ไม่เคยได้ยินว่าลูกสาวลูกชายจะมีหน้ามีตา ยังมีคนเสียดายเงินไม่ยอมออกแรง ไม่ใช่ว่าสินเดิมหรอกรึ? เขาไม่ออก ข้าออกเอง ข้าก็ทำเสียว่าเลี้ยงดูลูกสาวอีกคนแล้วกัน”
อวี้เหวินมองนายท่านอู๋อย่างเยือกเย็นไปที เอ่ยว่า “กลัวก็แต่ว่าเจ้าเลี้ยงดูลูกสาวเพิ่ม คนอื่นเขาจะไม่รับพ่อตาเพิ่มอีกคนเนี่ยสิ!”
นายท่านอู๋ถูกขัดจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
อวี้ป๋อถลึงตามองอวี้เหวินไปที ก่อนจะหมุนกายเชิญนายท่านอู๋นั่งลงด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “เขาเป็นโรคประสาท ท่านอย่าสนใจเขาเลย สกุลเผยต้องการอะไรรึ? ให้ท่านมาถามว่าพวกเราเห็นด้วยหรือไม่? หรือปรึกษาว่าจะเข้ามาส่งวันเดือนปีเกิดยามใด?”
นายท่านอู๋เห็นว่าเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ จึงทำใจให้สงบลง เอ่ยว่า “สกุลเผยย่อมมาถามว่าสกุลพวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่ แต่ข้าคิดว่า เรื่องดีขนาดนี้ จะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร? ข้าจึงยืดอกรับประกันต่อหน้าคนสกุลเผยมาแล้ว”
อวี้ป๋อเร่งเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นงานแต่งครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้น!”
“นี่เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” นายท่านอู๋เอ่ยอย่างเกรงใจ “ลูกสาวของสกุลพวกเจ้า ข้าก็นับว่าเห็นมาตั้งแต่เด็ก นางแต่งไปสกุลดีๆ พวกเราก็ย่อมดีใจตามไปด้วย”
ทั้งสองคนยกยอกันไปมา อวี้เหวินไม่อยากจะทนฟังต่อสักเค่อเดียว เขาคิดว่าเขาควรไปพบลูกสาว
ลูกสาวยังไม่รู้ว่านางต้องถูกแต่งไปสกุลเผย
ลูกสาวของเขาไม่ใช่คนที่ตื้นเขินเช่นนั้น
แม้เผยเยี่ยนจะรูปงามเท่าใด แต่เรื่องแต่งงานยังคงต้องดูที่นิสัย เผยเยี่ยนคนเย็นชาเช่นนั้น ใครจะใช้ชีวิตอยู่กับเขาได้?
ลูกสาวย่อมไม่ยินดีจะแต่งไปสกุลเผย
ขอเพียงแค่เขาเกลี้ยกล่อมลูกสาวสำเร็จ งานแต่งครั้งนี้ใครตอบรับก็ไม่มีประโยชน์แล้ว