ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 299 โน้มน้าว
อวี้เหวินรีบหยัดหลังนั่งตรง เอ่ยกับอวี้ถังว่า “เจ้ามาทำไม? มารดาเจ้าบอกให้เจ้ามารึ?”
อวี้ถังไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับส่งยิ้มตาหยีให้แทน “ข้าทำขนมเกล็ดหิมะมาให้ท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านลองชิมดูว่าข้ากับท่านแม่ใครทำอร่อยกว่ากัน?”
ขนมยังไม่ทันได้เข้าปาก อวี้เหวินก็ใจอ่อนยวบแล้ว “ต้องเป็นอาถังของข้าอยู่แล้ว มารดาเจ้าทำมาสิบปีรสมือก็เหมือนเก่า เจ้าอายุยังน้อย รู้จักพลิกแพลง ครั้งก่อนที่ทำขนมตังเมเกล็ดหิมะแล้วเพิ่มผลซิ่งกับสมอจีนเข้าไป ดูแปลกใหม่สร้างสรรค์นัก ขนาดนายท่านอู๋กินแล้วยังชมเสียงเปราะ!”
อวี้ถังหัวเราะสดใส แล้วชงชาชั้นดีอย่างซีหูหลงจิ่งให้กาหนึ่ง
อวี้เหวินกินขนมลงท้องไปหนึ่งชิ้น แล้วดื่มชาที่บุตรสาวชงให้ตามลงไป รสหวานถูกความขมอ่อนๆ ของชาเขียวล้างจนหมด เหลือไว้เพียงความอิ่มเอมใจเท่านั้น
เขาพยักหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “อาถัง เรื่องสกุลเผยเป็นเรื่องระหว่างข้ากับมารดาเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ข้าไม่มีทางให้เจ้าถูกเอาเปรียบแน่”
อวี้ถังเห็นว่าบิดาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ใจก็สงบลงเล็กน้อย พลางถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ ทุกคนต่างเห็นว่างานแต่งนี้เหมาะสม เหตุใดท่านถึงมองว่าไม่ดีล่ะเจ้าคะ?” พูดจบ ไม่รอให้อวี้เหวินเปิดปาก นางก็เอ่ยต่อทันที “ข้ารู้ว่าท่านพ่อต้องมีเหตุผล เช่นนั้นบอกมันกับข้าได้หรือไม่? แล้วข้าค่อยไปโน้มน้าวท่านแม่ เช่นนี้ท่านจะได้เลี่ยงมีปากเสียงกับท่านแม่ด้วย ท่านแม่เองก็จะได้ไม่โมโห ท่านว่าดีหรือไม่?”
อวี้เหวินได้ฟังก็เริ่มคล้อยตาม
เขากับคนสกุลเฉินแต่งงานกันมาตั้งหลายปี ยังไม่เคยมึนตึงกันเหมือนวันนี้เลยสักครั้ง ในใจเขานับว่าเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย
อวี้เหวินหยุดตรองแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าชีวิตคนเราแสนสั้น ไม่จำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนั้น ไม่พูดเรื่องอื่น แค่เรื่องสินเดิมของเจ้า หากเจ้าแต่งให้กับคนธรรมดาทั่วไป พวกเราก็จัดการสินเดิมของเจ้าได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าแต่งให้สกุลเผย ไม่ว่าของอะไรก็ต้องดีกว่าแต่ก่อน ต่อไปหากเจ้าเจ็บช้ำน้ำใจ ข้าก็ไม่อาจบุกเข้าไปตำหนิไต่ถาม ข้าคิดว่างานแต่งนี้ช่างไร้ความหมายเหลือเกิน”
อวี้ถังเม้มปากลอบยิ้ม “ท่านคิดว่านายท่านสามมีข้อบกพร่องตรงไหนบ้างเจ้าคะ?”
อวี้เหวินเงียบไป “ถ้าจะบอกว่าบกพร่อง…ก็คงเพราะเขาเย็นชากับผู้อื่นเกินไป…”
เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านสาม เขาจะวางมาดของพ่อตาได้อย่างไรเล่า?
เขามีอวี้ถังเป็นบุตรสาวคนเดียว จึงมีเขยชายได้คนเดียวเช่นกัน หากไม่อาจวางมาดพ่อตาต่อหน้าบุตรเขยได้ เช่นนั้นมิใช่เป็นการมอบบุตรสาวให้เขาไปง่ายๆ รึ แค่คิดเขาก็ไม่สบายใจแล้ว
อวี้ถังเอ่ยว่า “ท่านเคยคิดจะถามเผยเยี่ยนด้วยตนเองไหมเจ้าคะ? ว่าเรื่องนี้วันข้างหน้าเขาวางแผนไว้อย่างไร?”
อวี้เหวินชะงักกึก
อวี้ถังยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ มานั่งคิดมากอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์ หากต้องคิดเองเออเองให้ปวดสมอง ข้าคิดว่ามิสู้เชิญนายท่านสามมาถามให้กระจ่าง หากเขาคิดว่าสกุลเรามีเงื่อนไขมากเกินไป งานแต่งนี้ก็ค่อยว่ากันวันหลัง ท่านว่าข้าพูดมีเหตุผลไหมเจ้าคะ?”
นั่นน่ะสิ!
ทำการค้ายังต้องนั่งลงต่อรองราคากันเลย แต่นี่บุตรสาวเขาจะแต่งงานเชียวนะ จะปล่อยให้นางแต่งออกไปอย่างเลอะๆ เลือนๆ ได้อย่างไร?
เรื่องนี้สำคัญกว่าการค้าขายตั้งมากโข!
อวี้เหวินตบหน้าขาฉาดใหญ่ “ทำไมข้าคิดไม่ถึงนะ? เจ้าพูดถูก ข้าจะให้คนส่งจดหมายหานายท่านสามเดี๋ยวนี้ บอกให้เขามาพบข้า หากเขายังวางท่าเหมือนแต่ก่อนอีก งานแต่งนี้ก็เป็นโมฆะไปเสีย”
อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก “ให้อาเสาไปส่งจดหมายนะเจ้าคะ เขาเคยติดตามท่านเข้าออกจวนสกุลเผยหลายครั้ง คนเฝ้าประตูน่าจะจำเขาได้”
อวี้เหวินมองว่าเหมาะสมดี จึงตะโกนเรียกอาเสาเข้ามา ให้เขานำเทียบเชิญไปส่งให้เผยเยี่ยน
อาเสารับคำอย่างนอบน้อม ก่อนจะวิ่งออกจากห้องหนังสือไป
อวี้เหวินเริ่มเอ่ยอย่างกังวลอีกครั้งว่า “ถ้าเขาไม่มาล่ะ?”
อวี้ถังตอบอย่างเด็ดเดี่ยวในทันที “เช่นนั้นเราก็จะไม่ดองกับสกุลเขาเจ้าค่ะ”
“ถูกต้อง!” อวี้เหวินร้องเห็นด้วยเสียงดัง รู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นแล้ว
อวี้ถังเผยรอยยิ้มหวาน
อวี้เหวินพร่ำบ่นเรื่องของนายท่านอู๋ให้นางฟัง บอกว่านายท่านอู๋ไม่ยอมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา แต่กลับพูดจาแทนสกุลเผย อวี้ถังรับฟังอย่างเงียบๆ ตอบกลับบิดาบ้างบางประโยค ทำให้อวี้เหวินอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
คนสกุลเฉินที่รอฟังข่าวอยู่ด้านนอกรู้ว่าอวี้เหวินเรียกเผยเยี่ยนมาคุยด้วย มือก็กำแน่นจนเหงื่อซึม บ่นงึมงำกับคนสกุลหวังเป็นค่อนวัน แล้วหาข้ออ้างเรียกอวี้ถังออกมาจากห้องหนังสือ ก่อนถามนางว่า “ไฉนถึงแนะนำความเห็นที่ไม่เข้าท่าเช่นนี้ให้บิดาเจ้าล่ะ? หากว่านายท่านสามโมโหไม่ยอมดองกับสกุลเราขึ้นมาจะทำอย่างไร? นายท่านสามเป็นคนเจ้าอารมณ์ออกปานนั้น เจ้าก็ใช่ว่าไม่รู้ มิใช่ว่าเขาเป็นกับบิดาเจ้าคนเดียวเสียหน่อย พวกเจ้ามีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”
บางทีงานแต่งของนางออกจะยากเย็นเกินไปจริงๆ มิง่ายที่จะหาคนที่นิสัยใจคอและความรู้เป็นเลิศได้ แต่คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังกลับเทิดทูนเขาเหลือเกิน
อวี้ถังได้แต่ยิ้มปลอบใจพวกนางว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้แต่งเข้าสกุลเผย หากเรื่องแค่นี้นายท่านสามยังไม่อาจเห็นแก่หน้าข้าได้ ภายหลังข้ายังจะคาดหวังให้เขาเคารพข้าได้อีกหรือ!”
คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังพลันหมดคำจะพูด
อวี้ถังหันไปส่งสายตาให้คนสกุลเซียงที่อยู่ข้างๆ แล้วคะยั้นคะยอให้คนทั้งสองไปดื่มชารอที่ห้องรับแขก “อีกเดี๋ยวนายท่านสามคงมาถึงแล้ว ไม่รู้ว่าจะคุยกับท่านพ่อนานเท่าไร อากาศก็ร้อนปานนี้ ท่านกลับห้องไปนั่งรอเย็นๆ ก่อนเถอะเจ้าค่ะ!”
คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังยังขมวดคิ้วมุ่น แต่สุดท้ายก็ยอมไปนั่งรอที่ห้องรับแขกตามคำของอวี้ถัง
สองคนอยากคุยเรื่องงานแต่งของสกุลเผยต่อ แต่อวี้เหวินเป็นคนหนึ่งที่คัดค้าน อวี้ถังเป็นอีกคนที่ไม่ค่อยจะสนใจ คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังต่างรู้ว่าไม่อาจคุยกับสองคนนี้ได้ จึงกันอวี้ถังออกไปเสีย แล้วลากคนสกุลเซียงมาร่วมวงสนทนา
อวี้ถังจึงได้แต่กลับเข้าห้องตัวเองไป
ทว่าไม่รอให้อวี้ถังทำดอกไม้เสร็จถึงครึ่งดอก ซวงเถาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาด บอกกับนางเสียงเบาว่า “คุณหนู อาเสากลับมาแล้ว บอกว่านายท่านสามอยากพบท่าน ตอนนี้รออยู่ที่ประตูหลังของเรือนเจ้าค่ะ”
อวี้ถังประหลาดใจมาก
บอกให้เขามาแล้วก็มาดีๆ มิได้หรือ จะไปที่ประตูเรือนหลังทำไม?
อวี้ถังสงสัยว่าเผยเยี่ยนอาจมีเรื่องอื่นอยากคุยกับนางก่อน จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วให้ซวงเถาเดินไปที่ประตูหลังเป็นเพื่อน
ดวงอาทิตย์ส่องลงกลางกระหม่อม ต่อให้ประตูหลังเรือนจะปลูกต้นฉัตรจีนใหญ่ถึงสองคนโอบเอาไว้ แต่ตรอกที่ไม่มีลมพัดผ่านก็ร้อนอบอ้าวอยู่ดี
เผยเยี่ยนยกพัดไม้ไผ่สีขาวปลอดขึ้นบังศีรษะ เขาสวมเสื้อคลุมตัวบางสีขาว คาดทับด้วยผ้าคาดเอวสีขาว มองแล้วสุภาพสะอาดตายิ่ง แต่พอเขาเห็นอวี้ถังก็เอ่ยว่า “ทำไมเจ้าเพิ่งออกมา? ข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว!”
อวี้ถังเห็นเขาไม่มีเหงื่อสักเม็ด ไร้ซึ่งท่าทางของคนร้อนโดยสิ้นเชิง จึงอดเอ่ยไม่ได้ว่า “ข้าให้ซวงเถาไปหยิบพัดใบลานมาพัดให้ท่านดีหรือไม่?”
เผยเยี่ยนตอบว่า “ช่างเถอะ! เรื่องอื่นสำคัญกว่า นายท่านอวี้เรียกข้ามาทำไม เจ้ารู้หรือไม่?”
อวี้ถังได้ฟังก็คิดในใจว่า นับว่ายังใส่ใจอยู่บ้าง ก่อนไปพบท่านพ่อข้ายังรู้จักมาหาเพื่อสืบข่าวจากข้าก่อน
นางตอบด้วยสีหน้ารื่นเริงใจ “น่าจะมีเรื่องที่อยากถามท่านกระมัง”
เผยเยี่ยนถามอย่างฉงนว่า “มีเรื่องอะไรไปถามกับแม่สื่อไม่ได้รึ? ทำไมจู่ๆ ถึงอยากถามข้าด้วยตนเอง? เรื่องของหมั้นพวกนั้นข้าไม่รู้เรื่องหรอก ไม่อย่างนั้น ข้ากลับไปเรียกคนที่รู้เรื่องมาดีกว่า?” ประโยคสุดท้าย เขาใช้น้ำเสียงเป็นเชิงหารือกับอวี้ถัง
อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ “ไม่น่าใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ” แต่ก็รู้สึกว่ายากจะพูดให้ชัดเจน จึงเอ่ยเพียงว่า “เดี๋ยวพอท่านไปเจอบิดาข้าก็รู้เอง เขาถามอะไรท่านก็ตอบไปตามนั้น”
“ได้ที่ไหนล่ะ!” เผยเยี่ยนยืนกรานไม่เห็นด้วย “เรื่องแบบนี้หากตอบผิดขึ้นมาต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่” ซ้ำยังตำหนิอวี้ถังต่ออีก “ทำไมเจ้าไม่สนใจเลยสักนิด?”
อวี้ถังเหลือบมองเผยเยี่ยนทีหนึ่ง
หรือว่าเขากำลังประหม่าอยู่จริงๆ?!
หัวใจนางอ่อนยวบ หัวคิ้วเจือกระแสอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน น้ำเสียงก็คล้ายกำลังปลอบโยนเขา “ท่านพ่อข้ารู้สึกว่าไม่อาจเอื้อม คงอยากถามท่านว่าทำไมถึงต้องการแต่งกับข้า”
เผยเยี่ยนพยักหน้าอย่างเย็นชา อวี้ถังรู้สึกได้ว่าเขาผ่อนคลายความตึงเครียดลงหลายส่วนแล้ว
นางกำลังจะชี้แนะเขาสักหน่อย แต่เผยเยี่ยนกลับเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “มิใช่น้อยเนื้อต่ำใจรึ? เอาล่ะ ข้ารู้แล้วว่าจะรับมือบิดาเจ้าอย่างไร!”
หัวคิ้วของอวี้ถังขมวดชนกันทันที อยากจะยื่นมือออกไปตีคน “ทำไมท่านพูดจาแบบนี้?”
“ข้าพูดอะไร?” เผยเยี่ยนเห็นแล้วก็สะดุ้งโหยง ถอยหลังไปหลายก้าว “ไฉนทำสีหน้าแบบนั้น? เหมือนจะกินข้าเข้าไปอย่างนั้นล่ะ? ปกติเจ้าไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา? ข้าไปหาเรื่องเจ้าตรงไหนอีก?”
อวี้ถังโมโหจนกระทืบเท้า ไม่คิดอยากพูดกับคนตรงหน้าอีกแม้สักคำ
“เช่นนั้นก็ตอบคำถามของท่านพ่อข้าดีๆ ก็แล้วกัน หากตอบถูก งานแต่งก็น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าตอบผิด พวกเราก็ถือเสียว่าไร้วาสนาต่อกัน!” นางทิ้งวาจาไว้เช่นนั้น แล้วหมุนตัวเข้าประตูไป ปิดประตูตามหลังดัง ‘ปัง’ ทิ้งเผยเยี่ยนเอาไว้ด้านนอก
สีหน้าของเผยเยี่ยนไม่น่ามอง โมโหจนต้องเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ หน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพราย
“เจ้าดูสิ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?“ เขาโยนโทสะใส่หูซิ่งที่ติดตามมาด้วย “นางถึงกับกล้าสะบัดหน้าใส่ข้าแล้ว”
หูซิ่งอยากหารูแล้วมุดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด เขาได้แต่ทำหน้าหนาตอบไปว่า “อย่างไรเสียนายท่านอวี้ก็เป็นบิดาของคุณหนูอวี้ นางย่อมไม่ยินดีจะฟังผู้อื่นวิจารณ์บิดาของนาง…”
เผยเยี่ยนย่นคิ้ว “ข้าไปวิจารณ์บิดานางตอนไหน?”
หูซิ่งคิดว่าเขาอาจจะไม่รู้ตัวจริงๆ จึงเอ่ยเตือนเบา “ท่านไม่สมควรพูดว่านายท่านอวี้ ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’…”
เผยเยี่ยนไม่ได้ส่งเสียงตอบ
หูซิ่งเห็นดังนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่าท่านพูดถูกต้อง ทว่า อย่างไรก็เป็นบิดาของคุณหนูอวี้ ท่านพูดเช่นนี้ทำร้ายความรู้สึกคนมากไปหน่อยขอรับ!”
เผยเยี่ยนยืนนิ่งอยู่ที่เก่าไม่ขยับ เขาหลุบตาลงต่ำ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
หูซิ่งเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เราจะไปพบนายท่านอวี้ไหมขอรับ?”
“ต้องไปพบอยู่แล้ว” เผยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมา “ทำไมพวกเราถึงจะไม่ไปพบนายท่านอวี้ล่ะ?”
ในเมื่ออวี้ถังไม่ชอบให้เขาพูดถึงบิดาของนางแบบนั้น ต่อไปเขาก็ระวังให้มากหน่อยก็ใช้ได้แล้ว
หูซิ่งยิ้มกว้างแล้วทำมือบุ้ยใบ้เชิญเขาเข้าไป “เช่นนั้นพวกเราเข้าไปคารวะสกุลอวี้ก่อนเถอะขอรับ”
เผยเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ ส่วนหูซิ่งก็นำทางเขาไปที่หน้าประตูใหญ่เรือนสกุลอวี้
อารมณ์ของอวี้ถังขุ่นมัว
เผยเยี่ยนผู้นี้ ไม่มีความใส่ใจสักนิด อีกเดี๋ยวพอไปพบบิดาของนาง ไม่รู้จะทะเลาะอะไรกับเขาขึ้นมาอีกหรือเปล่า
หากว่าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ นางควรทำอย่างไร?
อวี้ถังย่นคิ้วชนกันอย่างลำบากใจ นางเรียกซวงเถาเข้ามา แล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังห้องหนังสือของอวี้เหวิน
หน้าต่างของห้องหนังสือเปิดกว้าง สามารถมองเห็นเหตุการณ์ด้านในห้องอย่างชัดเจน
เผยเยี่ยนกับอวี้เหวินนั่งอยู่ซ้ายขวาคนละฝั่งของโต๊ะหนังสือ อวี้เหวินกำลังสั่งอาเสาให้ไปชงชาชั้นดีอย่างซีหูหลงจิ่งเข้ามากาหนึ่ง ทั้งยังเล่าให้เผยเยี่ยนฟังว่า “เป็นชาที่บุตรสาวข้าซื้อมาฝากจากหังโจว”