ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 300 พ่อตากับลูกเขย
แน่นอนว่าเผยเยี่ยนรู้อยู่แล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรู้อีกว่าใบชานี้ชิงหยวนเป็นคนเลือกให้ เป็นชาหลงจิ่งชั้นเลิศขั้นสินค้าบรรณาการเลยทีเดียว
เพียงแต่เขาไม่ชอบดื่มชาซีหูหลงจิ่งก็เท่านั้น
แต่เขาไม่อยากทำให้คนของตัวเองต้องลำบากใจ
หากเป็นเวลาปกติ เขาคงจะบอกออกไปตรงๆ แล้ว
แต่เมื่อครู่เขาไปเจออวี้ถังมา รับปากนางว่าจะทำตัวให้เหมาะสม วาจาเช่นนั้นไม่อาจพูดได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดูจากสีก็รู้แล้วว่าเป็นชาดี ทว่า ข้าชอบชาเหยียนฉามากกว่า ท่านชอบดื่มชาอะไร? ชาเหยียนฉาดีที่สุดต้องดื่มช่วงฤดูใบไม้ร่วง ข้ามีสหายปลูกใบชาอยู่ที่ฝูเจี้ยน ถึงเวลาจะส่งชาเหยียนฉาชั้นดีมาให้ท่านลองชิม ดูว่าท่านถูกใจหรือไม่” เขายังเอ่ยต่อว่า “ส่วนพี่รองข้าชอบชาปี้หลัวชุนกับชาเหมาเจียนที่สุด ปกติในจวนก็มักจะซื้อชาปี้หลัวชุนกับเหมาเจียนชั้นยอดติดเอาไว้ วันนี้ข้ามาอย่างรีบร้อน เลยไม่ได้หยิบติดมือมาฝากท่าน อีกเดี๋ยวพอข้ากลับไป จะสั่งคนส่งมาให้ท่านสักหน่อย ท่านจะได้ลองชิมดู ลิ้มรสชาก็ไม่ต่างกับการดื่มสุราเท่าไร ต้องลองชิมให้หมดถึงจะน่าสนใจยิ่ง”
อวี้ถังที่ยืนพิงอยู่หลังหน้าต่างพลันเหงื่อแตกท่วมตัว
เผยเยี่ยนผู้นี้ ที่แท้เขาพูดจาเป็นหรือไม่? ก็แค่ใบชาเท่านั้น ถ้าชอบก็ดื่มให้มากหน่อย ไม่ชอบก็ดื่มให้น้อยหน่อย จะต้องเน้นย้ำรสนิยมของตนเองเพื่ออะไร?
เขามิใช่เขยที่จะแต่งเข้าสกุลซึ่งต่อไปต้องใช้ชีวิตร่วมกับพ่อตาทุกวันเสียหน่อย เช่นนั้นบางเรื่องต้องอธิบายให้กระจ่างชัดเจนแต่แรก
อวี้ถังกลัวว่าบิดาจะโกรธ เขย่งเท้ามองเข้าไปด้านใน แต่ลืมว่าวันนี้อากาศอบอ้าว ห้องหนังสือมีช่องทะลุที่ลมพัดผ่าน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างนางคนอื่นอาจไม่ได้กลิ่น แต่คนที่จมูกไวอย่างเผยเยี่ยนกลับสัมผัสได้แทบจะในทันที
เขาเบี่ยงกายไปข้างๆ พลันเห็นผมดำเฉกขนกาของอวี้ถัง
นางกำลังทำอะไร?
กังวลว่าเขาจะล่วงเกินอวี้เหวิน จนทำให้งานแต่งของพวกเขาล่มไม่เป็นท่า?
เช่นนั้นนางก็ดูถูกเขามากเกินไปหน่อย
เผยเยี่ยนลอบแสยะยิ้ม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจกลับไม่ขัดขืน ทั้งยังรู้สึกปลาบปลื้มแปลกๆ
หรือเพราะคนกันเองพูดไม่ฟัง แต่กลับรีบทำเมื่อคนอื่นร้องเรียก?
เผยเยี่ยนเริ่มสงสัยในสัจธรรมของชีวิต
อวี้เหวินกลับดีใจจนออกหน้า
ชาดีใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ บางครั้งมีเงินยังหาซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ
พอเผยเยี่ยนพูดจบ อวี้เหวินก็ใจเต้นแรงทันที
เขาหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ดีสิ! เช่นนั้นข้าจะรอชิมชาชั้นเลิศของเจ้าก็แล้วกัน”
เสียงยังไม่ทันจบดี เขาก็เริ่มประนามตนเองอย่างรุนแรง
เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะสะบัดหน้าใส่เผยเยี่ยน ไฉนพอเจอหน้าคนก็ถูกเผยเยี่ยนจูงจมูกเดินเช่นนี้?
ไม่ได้! แบบนี้เขาจะหนุนหลังบุตรสาวของตนได้อย่างไร
อวี้เหวินรีบตีหน้าขรึมทันที ก่อนกระแอมเสียงเบาคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วเอ่ยว่า “ครั้งนี้ที่เรียกเจ้ามา เพราะมีสองสามเรื่องอยากถามเจ้า”
เผยเยี่ยนยืดตัวนั่งตรง แล้วตอบกลับด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า “เชิญท่านพูดได้เลย”
อวี้เหวินเริ่มกล่าวว่า “เจ้าก็รู้ สกุลข้ามีบุตรสาวคนดียว กลัวแต่นางจะเจ็บช้ำน้ำใจ เดิมคิดรั้งตัวนางให้อยู่ในเรือน เจ้าอยากจะแต่งกับบุตรสาวข้า แต่พอได้ไปก็อาจทำนางชอกช้ำ พวกเราไม่ยินยอมแน่ ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากบุตรสาวข้าอยู่จวนเจ้าแล้วปรับตัวไม่ได้ เจ้ามีแผนจะทำอย่างไร?”
จะทำอย่างไรได้? ก็ต้องพยายามหนักขึ้นเพื่อปรับตัวให้ได้น่ะสิ!
เผยเยี่ยนค่อนข้างมึนงง
เขารู้ว่าสกุลอวี้ให้ความสำคัญกับอวี้ถัง ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้นางเล่าเรียนเขียนอ่าน หลังจากเจออวี้ถังเขาจึงพอเดาออกว่าอวี้เหวินคงอยากให้เขารับปากว่าจะทำดีต่อนาง และอาจมีเงื่อนไขเรื่องสินสอดกับสินเดิมเพิ่มมาอีก…อย่างเช่นว่า หลังจากส่งสินสอดของสกุลเผยให้แล้วก็จะเขียนใหม่รวมเข้าไปกับรายการสินเดิม หรือกำหนดว่าสินเดิมต้องเป็นสมบัติของอวี้ถัง ต่อให้ลูกๆ ของอวี้ถังเองก็ไม่อาจมายุ่มย่ามได้ง่ายๆ อะไรทำนองนั้น เขาคาดไม่ถึงว่าอวี้เหวินจะถามคำถามนี้ออกมา
โชคดีที่ก่อนเขาจะคิดเรื่องแต่งงานกับอวี้ถังก็เคยพิจารณาปัญหานี้อย่างละเอียด พอได้ยินเขาก็เงียบไปครู่เดียว ก่อนตอบเสียงหนักแน่นว่า “ก็ต้องดูความต้องการของคุณหนูอวี้แล้ว”
ไม่ว่าจะเป็นอวี้เหวินที่นั่งในห้องหนังสือหรืออวี้ถังที่ยืนอยู่นอกห้องต่างก็ประหลาดใจมาก ได้แต่ทำหูกางรอฟังต่อไป อวี้เหวินถามเขาต่อว่า “พูดแบบนี้หมายความอย่างไร?”
เผยเยี่ยนตอบว่า “บางครั้งฟันล่างกับฟันบนยังปะทะกันเลย คุณหนูอวี้เป็นคนฉลาด หากเจอปัญหาแล้วตีกลองถอยทัพ เรื่องเล็กย่อมจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขอเพียงคุณหนูอวี้มีความตั้งใจ ข้าจะยืนอยู่ข้างเดียวกับนางเสมอ หากว่านางทำผิด เช่นนั้นพวกเราสองคนก็จะช่วยกันหารือเพื่อแก้ไข จะไม่ให้คนนอกมองมาแล้วเอาไปหัวเราะเยาะได้เด็ดขาด”
ส่วนเรื่องอื่นๆ เขากลับไม่พูดถึงเลยสักนิด
เรื่องบางเรื่อง คนบางคน พูดให้น่าฟังเพียงไรก็ไม่มีประโยชน์ ต้องคบหากันไป หรือเกิดเรื่องขึ้นก่อน ถึงจะรู้ได้
เขาตั้งใจจะเลียนแบบเฟ่ยจื้อเหวิน ขอเพียงอวี้ถังไม่เป็นอย่างฮูหยินเฟ่ยก็พอแล้ว
อวี้เหวินได้ฟัง ใจที่ลอยเคว้งก็เริ่มวางลงได้ในที่สุด
ผู้คนต่างยึดมั่นในสัญญา โดยเฉพาะกับคนอย่างเผยเยี่ยนด้วยแล้ว
ขอแค่ทำตามคำมั่นที่พูดเอาไว้ได้ อวี้เหวินคิดว่างานแต่งครั้งนี้ของอวี้ถังก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก
เขาเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นต่อว่า “เจ้ากับอาถังใช้ชีวิตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ช่วงแรกนางย่อมมีสิ่งที่ไม่เข้าใจอยู่มาก เจ้าต้องคอยสอนนางอย่างอดทน ข้าขอมองในแง่ร้ายไว้ก่อน หากว่าเจ้าไม่มีใจที่อดทนมากพอ พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฝืนอยู่ด้วยกัน ต่อให้สกุลอวี้ของเราจะข้นแค้นกว่านี้ แต่ก็ไม่ปล่อยให้อาถังต้องอดอยากแน่”
หากว่าวันนั้นมาถึงจริงๆ คงไม่อาจรับลูกสาวกลับมาได้แล้ว
คงจะดีถ้าได้เลี้ยงบุตรสาวไปอีกสักหลายปีก่อน รอจนเรื่องออกเรือนตกลงแน่ชัดแล้ว ก็ค่อยส่งคนกลับไป ทั้งไม่อาจให้ผู้อื่นรับรู้ได้อีก
อวี้เหวินถอนหายใจอย่างหนักอก
เผยเยี่ยนคิดถึงตอนก่อนมาที่อวี้ถังทำหน้าเหมือนมารดาเลี้ยง จึงเข้าไปรินชาให้อวี้เหวินถ้วยหนึ่ง “ท่านอา อาถังไม่ด้อยไปกว่าใครทั้งนั้น ต่อให้ท่านไม่เชื่อในตนเอง แต่ก็ขอให้เชื่อในสายตาข้า ข้ามองคนไม่ผิดแน่!”
นี่เป็นประโยคที่อวี้เหวินชอบฟังเป็นที่สุด
อวี้ถังที่เพิ่งถูกเผยเยี่ยนยั่วโมโหมาก่อนหน้าก็ถูกวาจานั้นขับไล่เมฆหมอกจนคลี่คลายไป
นางยิ้มแก้มปริก่อนจะแอบฟังต่อ
อวี้เหวินก็พยักหน้าอย่างทอดถอนใจ
เผยเยี่ยนจึงใช้โอกาสนี้ขอคำชี้แนะเรื่องหมั้นหมายกับอวี้เหวินต่อ “ตามแผนของสกุลข้า ให้แลกเปลี่ยนวันตกฟากกันก่อน พอครบกำหนดไว้ทุกข์ ก็ค่อยกำหนดวันให้แน่นอน แล้วจัดงานแต่งก่อนวันที่หนึ่งเดือนสิบ เช่นนี้ หลานชายข้าเผยถงก็จะได้จบเรื่องงานแต่งก่อนปีใหม่ด้วย ท่านคิดเห็นอย่างไร? หรือถ้าท่านมีข้อเสนอแนะอื่น ข้าก็จะกลับไปหารือกับพี่รองและท่านแม่ จากนั้นค่อยส่งกำหนดการมาให้ท่านดูอีกที?”
ท่าทีของเขาทั้งสุภาพและนอบน้อมอย่างยิ่ง
อวี้เหวินรู้สึกว่าท่าทีเช่นนี้ของเผยเยี่ยนค่อยคล้ายกิริยาที่ควรมีต่อพ่อตาหน่อย นึกถึงเมื่อก่อนที่เขากับเผยเยี่ยนเป็นแค่คนเมืองเดียวกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เผยเยี่ยนก็จะวางตัวต่างออกไปอีกแบบ จู่ๆ เขาจึงรู้สึกว่าเผยเยี่ยนเองก็ลำบากไม่น้อย จากลำดับศักดิ์เดียวกันต้องเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโส เผยเยี่ยนยังสามารถก้มศีรษะต่อหน้าเขาได้ นับว่าแสดงความจริงใจให้เห็นแล้ว
เขารู้สึกว่าตนก็ต้องแสดงความจริงใจออกมาเช่นกัน จึงเอ่ยว่า “จัดการเช่นนั้นก็ไม่เลว เจ้าเองอายุไม่น้อยแล้ว เบื้องหลังยังมีรุ่นหลานๆ อีก จะแต่งให้เร็วหน่อยสกุลเราก็ไม่ติดขัดอะไร แต่วันแต่งต้องเลือกสรรให้ดี ข้ายังคิดอยู่ว่าจะไปขอเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงให้ช่วยดูฤกษ์ได้หรือไม่?”
เผยเยี่ยนชำนาญนัก รู้ว่านี่ก็คล้ายกับตอนที่เขาต้องคอยเอาใจจางอิงผู้เป็นอาจารย์ คิดเพียงเท่านี้ถือว่าใช้ได้แล้ว
“เช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปวัดเจาหมิงต่อ ขอให้พระอาจารย์ฮุ่ยคงช่วยหาฤกษ์ดีสักหลายวันมาให้ท่านเลือก” แล้วรีบเอ่ยต่ออีกว่า “ท่านลองดูว่ามีเรื่องใดต้องระวังอีก ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ ยังหวังให้ท่านช่วยชี้แนะ”
อวี้เหวินนับว่าเป็นบัณฑิตที่พอมีชื่อเสียงอยู่นิดหน่อยในเมืองหลินอัน บวกกับเขาเป็นคนสบายๆ และใจกว้าง เพราะมนุษยสัมพันธ์ดี มักถูกเชิญให้ไปช่วยดูแลแขกบ่อยๆ เขาจึงคุ้นเคยกับพิธีการทั้งหลายของทั้งงานแต่งและงานโศกเป็นอย่างดี
เมื่อเขาตัดสินใจจะปล่อยเผยเยี่ยนไป เช่นนั้นจึงไม่คิดเรียกร้องอะไรอีก “ก็ประมาณนี้ ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมแล้ว”
เผยเยี่ยนลอบถอนหายใจเฮือก แต่คิดว่าเพื่อความปลอดภัย เขาต้องสร้างความประทับใจที่ได้มาอย่างยากลำบากต่อไปอีกหน่อย ถึงเอ่ยต่อว่า “แล้วท่านคิดว่าตอนที่มาส่งสินสอดยังต้องเพิ่มเติมสิ่งใดอีกหรือไม่?”
อวี้เหวินตอบว่า “ไม่ต้องแล้ว!”
เขามิได้หมายตาสินสอดของสกุลเผยเสียหน่อย และไม่สนใจด้วยว่าสกุลเผยจะจัดสินสอดมาเท่าไร เขาจะมอบให้เป็นสินเดิมของบุตรสาวไปทั้งหมด
เผยเยี่ยนนึกถึงเหตุการณ์ตอนคุยเรื่องหมั้นหมายระหว่างสกุลกู้กับสกุลอิน “เช่นนั้นก็ประเสริฐ รอออกจากไว้ทุกข์ ข้าจะขึ้นเขาไปจับห่านใหญ่หนึ่งคู่มาด้วยตนเอง”
พิธีสู่ขอแน่นอนว่าต้องมอบห่านใหญ่ แต่เพราะบัดนี้ตามหาห่านใหญ่ได้ยาก ไม่แน่ว่าจะจับมาได้จริงๆ
เห็นเผยเยี่ยนมีความตั้งใจเช่นนี้ อวี้เหวินก็พอใจมากแล้ว สองคนคุยเรื่องสัพเพเหระต่อ บรรยากาศนับว่าไม่เลว
อวี้ถังเม้มปากลอบยิ้ม คิดว่าชายหนุ่มคนนี้แม้ปกติจะชอบพูดจาข่มขวัญผู้คน แต่ช่วงเวลาสำคัญก็ยังไว้ใจได้ เป็นคนที่ฝากผีฝากไข้ได้คนหนึ่ง
นางจึงไม่ยืนเป็นอาหารให้แมลงตรงนั้นต่อ ลากซวงเถาเดินไปยังโถงด้านหน้าแทน
เผอิญนายท่านอู๋กลับมาจากการไปพบเผยเซวียนพอดี เขาร้อนจนเหงื่อแตกพลั่ก บ่นงึมงำว่ากระหายน้ำ
พอเขาเห็นอวี้ถังก็ทำตาลุกวาว จากนั้นดวงตาก็ยิ้มจนเป็นเส้นโค้ง เอ่ยอย่างยินดีว่า “แม่หนู ยินดีกับเจ้าด้วยจริงๆ ต่อไปกลับมาบ้านเก่าก็อย่าลืมไปเยี่ยมท่านป้าที่เรือนลุงอู๋ข้าบ้าง”
ก่อนหน้านี้ นางยังเคยวิ่งเต้นเรื่องงานแต่งของอวี้ถังช่วงหนึ่ง สองสามวันก็จะมาบอกเล่าผู้ที่เหมาะสมให้คนสกุลเฉินฟัง
อวี้ถังย่อกายคารวะนายท่านอู๋ด้วยกิริยาสง่าผ่าเผย จากนั้นก็กล่าวขอบคุณเขา
นายท่านอู๋หัวเราะดังลั่น รู้สึกว่าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แล้วหมุนคอไปคุยกับคนสกุลเฉินว่า “นายท่านรองเลือกฤกษ์ดีได้แล้ว เดี๋ยวคงส่งคนมาขอวันตกฟากของแม่หนู เอาไปให้ทางวัดดูว่าเหมาะสมหรือไม่ หากว่าใช้ไม่ได้ ก็ต้องไปเชิญคนมาแก้เคราะห์ หลายวันนี้เราต้องเตรียมสินเดิมของนางให้พร้อม เรื่องนี้ทั้งยิบย่อยและทรมานคนนัก ข้าจะให้คนที่เรือนมาช่วยอีกแรง หากว่าขาดเหลืออะไร ก็ไปหาที่ห้องคลังของข้าได้ ต่อไปหากมีโอกาส ก็ค่อยหามาใช้คืนก็พอ”
คนสกุลเฉินบอกปฏิเสธเป็นพัลวัน
นายท่านอู๋กลับเอ่ยว่า “แม่หนูอายุไม่น้อยแล้ว นายท่านสามยิ่งรอไม่ไหว ข้าคิดว่าหากงานแต่งนี้ตกลงกันเรียบร้อย สกุลเผยคงรีบมารับคนแน่ พวกเราต้องหาเวลามาจัดการข้าวของจุกจิกที่ใช้ออกเรือนอีก สำหรับเรื่องนี้ พวกเจ้าอย่าได้เกรงใจข้าเป็นอันขาด หากต่อไปสกุลข้าขาดเหลือสิ่งใด พวกเจ้าก็ต้องเปิดห้องคลังให้ข้าอย่างใจกว้างเช่นนี้ถึงจะถูก”
พูดไปพูดมา ก็เพราะกังวลว่าสกุลอวี้จะไม่มีเงินอยู่ดี
คนสกุลเฉินอยากจัดงานแต่งที่มีหน้ามีตาให้กับบุตรสาว จึงไม่คิดปฏิเสธอีก แต่กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปหารือกับนายท่านบ้านข้าก่อนเจ้าค่ะ”
นายท่านอู๋ไม่ได้เร่งเร้า เขายิ้มรับแล้วเอ่ยต่อว่า “ทำไมไม่เห็นฮุ่ยหลี่เลยล่ะ? เขายังไม่หายโกรธอีกรึ? อีกเดี๋ยวข้าก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าจะไปกล่อมเขาอีกแรงก็แล้วกัน”
รอยยิ้มของคนสกุลเฉินฝืดเฝื่อน เอ่ยเสียงอึกๆ อักๆ ฟังไม่ออกว่าพูดอะไร ยังคงเป็นคนสกุลหวังที่ตรงไปตรงมา นางเอ่ยว่า “ท่านอาบ้านข้าตอนนี้กำลังคุยกับนายท่านสามสกุลเผยอยู่ที่ห้องหนังสือ!”
“กับนายท่านสามสกุลเผย?” นายท่านอู๋อ้าปากค้าง
คนสกุลเฉินจึงเล่าเรื่องที่อวี้เหวินเชิญเผยเยี่ยนมาสนทนาด้วยให้นายท่านอู๋ฟัง
นายท่านอู๋นึกถึงดวงหน้าเย็นชาของเผยเยี่ยน หัวใจพลันเต้นตึกตัก เขารีบลุกแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือทันที “ข้าไปดูสักหน่อย ว่าจะไปขอน้ำชาจากฮุ่ยหลี่ดื่มสักถ้วยด้วย!”