ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 301 รางวัล
คนสกุลเฉินคิดว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง รั้งนายท่านอู๋ว่า “นี่ท่านมีเรื่องเร่งด่วนอะไรรึ? นายท่านสามเข้าไปพักหนึ่งแล้ว ข้าคาดว่าอีกไม่นานพวกเขาก็คงพูดกันเสร็จสรรพแล้ว ท่านต้องการดื่มชาอีกถ้วยอย่างนั้นรึ อีกเดี๋ยว…”
นายท่านอู๋ตัดบทคนสกุลเฉินอย่างใจร้อน เอ่ยกระทืบเท้าว่า “ข้าไหนเลยจะไปขอชาดื่มจากฮุ่ยหลี่จริงๆ? นี่ไม่ใช่ว่าข้ากลัวทั้งสองคนจะทะเลาะกันขึ้นมาหรอกรึ?”
คนสกุลเฉินได้ฟังก็ร้อนใจขึ้นมา คนสกุลหวังเร่งรัดเขาทันที “เช่นนั้นท่านรีบไป! รีบไปดูเร็วๆ เถิด!”
นายท่านอู๋ขานว่า ‘อืม’ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากห้องโถง
อวี้ถังเห็นก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอ่ยว่า “แม้นายท่านสามจะโมโหง่ายขนาดไหน ก็ไม่อาจทะเลาะกับท่านพ่อขึ้นมาได้หรอกเจ้าค่ะ!” ยิ่งไปกว่านั้นนางเพิ่งจะแอบฟังที่มุมกำแพงมา แม้ท่าทีของเผยเยี่ยนจะพูดไม่ได้ว่าพินอบพิเทา แต่ก็ไม่ถึงกับเก้ๆ กังๆ เหมือนลูกเขยที่เพิ่งเข้าเรือนพ่อตาครั้งแรก
คนสกุลเฉินเอ่ยตำหนิ “เจ้าจะรู้อะไร? นิสัยนั้นของพ่อเจ้า หากมองรื่นหูรื่นตา อะไรก็ย่อมดีไปหมด แต่หากขัดหูขัดตา ก็แตกต่างกันแล้ว ปีนั้นหลู่ซิ่วไฉผู้นั้น ไม่ใช่ว่าถูกชะตาพ่อเจ้าพอดีอย่างนั้นรึ พ่อของเจ้าจึงเชื่อฟังเขาอย่างยิ่ง ในสกุลไม่มีเงิน แม้จะต้องยืมเงินก็ยังช่วยเหลือหลู่ซิ่วไฉผู้นั้นข้ามผ่านอุปสรรค กลัวก็แต่ว่าพ่อของเจ้าจะมีอคติกับนายท่านสาม!”
ขณะที่นางพูด ก็ร้อนใจยิ่งกว่าอะไรดี
อวี้ถังปลอบมารดาหลายประโยค นอกจากไม่สามารถกำจัดความกังวลของคนสกุลเฉิน กลับยังถูกคนสกุลเฉินพร่ำบ่น “เจ้ารู้จักพ่อของเจ้า? หรือข้ารู้จักพ่อของเจ้ามากกว่ากันแน่? นายท่านสามเป็นคนมีเหตุผล แต่พ่อของเจ้าไม่ใช่เช่นนั้น!”
บิดาของนางกลายเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อใดกัน?
อวี้ถังมองมารดาที่เอาแต่เป็นห่วงเผยเยี่ยน ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
ดีที่ผ่านไปไม่นานนายท่านอู๋ก็เดินออกมาจากเรือนด้านหลังเป็นเพื่อนเผยเยี่ยน
พวกคนสกุลเฉินรีบวิ่งมาดูที่หน้าต่าง
นายท่านอู๋เผยรอยยิ้มทั่วทั้งใบหน้า เอ่ยกับเผยเยี่ยนอย่างนอบน้อมทั้งไม่ลืมความเหมาะสม ส่วนเผยเยี่ยน จากเมื่อก่อนที่เคยเย็นชากลับพูดคุยหัวเราะกับนายท่านอู๋ บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนดูกลมเกลียวกันอย่างยิ่ง ทั้งเข้ากันได้ดีไม่น้อย
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังมองหน้ากัน “อาถัง พ่อเจ้าล่ะ?”
นายท่านอู๋ส่งเผยเยี่ยนออกจากประตูด้วยรอยยิ้ม ยังยืนอยู่หน้าประตูพักหนึ่ง รอจนเผยเยี่ยนเดินไปไกล ยามนี้จึงค่อยย้อนกลับมา
พวกคนสกุลเฉินและคนสกุลหวังเบียดตัวเข้ามาทันที แย่งกันพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“นายท่านของพวกเราล่ะ? ไฉนเขาไม่มาส่งแขก?”
อวี้ถังเขย่งเท้าฟังอยู่ด้านข้าง กลับถูกอาเสาที่ไม่รู้ว่าแอบเข้ามาตั้งแต่ยามใดดึงชายเสื้อ เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่ นายท่านสามเผยกล่าวว่า เขารอท่านอยู่ที่ด้านหลังเรือนของพวกเรา หากไม่ได้พบย่อมไม่ไปไหน!”
นางเผยสีหน้าแดงก่ำ
อาเสาวิ่งไปแทบไม่เห็นเงาแล้ว
อวี้ถังกำลังลังเลว่าจะเล่นตัวสักพักแล้วค่อยไป หรือว่าไปถามให้กระจ่างใจเลย กลับได้ยินนายท่านอู๋เอ่ยทั้งถอนหายใจขึ้นมาก่อน “สมแล้วที่สกุลเผยเป็นสกุลบัณฑิตทั้งยังทำไร่นาควบคู่กันไป ดูการควบคุมอารมณ์ ดูนิสัยนั่นสิ นับว่าหาได้ยากจริงๆ! ไม่อย่างนั้นข้าจะพยายามสุดกำลังให้งานแต่งครั้งนี้สำเร็จได้อย่างไร? ลูกสาวของพวกเจ้า ก้าวตกลงไปในรังแห่งความสุขเสียแล้ว” ขณะที่พูด เขาก็เริ่มเอ่ยถึงเรื่องที่เผยเยี่ยนและอวี้เหวินพบหน้ากัน “…ฮุ่ยหลี่ไม่มีความเกรงใจสักนิด เรียกร้องเงื่อนไขไม่น้อย นายท่านสามกลับแทบไม่ขมวดคิ้ว นอกจากจะรับปากทั้งหมดแล้ว ยังเผยท่าทีอ่อนน้อม แทบจะปฏิบัติกับฮุ่ยหลี่เป็นผู้อาวุโสโดยสิ้นเชิง น้ำเสียงก็ให้ความเคารพ…ลำพังฮุ่ยหลี่ยังวางมาดเป็นพ่อตาอย่างได้ใจ ยามที่นายท่านสามเดินออกมา เขาก็นั่งโบกมือราวกับเป็นคนใหญ่คนโตอยู่ตรงนั้น…ข้าเห็นว่าไม่ค่อยดีเท่าใด จึงช่วยเขาส่งแขก”
คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังได้ยินก็ด่ากราดอวี้เหวินทันที “ดูเขาเหิมเกริมสิ! ไฉนจึงไม่เห็นแก่หน้าลูกสาวบ้าง! แม้ว่าจะเป็นลูกเขยธรรมดาก็ไม่ควรจะปฏิบัติเช่นนี้ นายท่านสามเขายังเป็นบัณฑิตจิ้นซื่ออีกเชียว!”
นายท่านอู๋เอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ!”
แม้จะพูดเช่นนั้น ในน้ำเสียงกลับปกปิดความอิจฉาไม่มิด
คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังเห็นก็รู้สึกอิ่มเอมใจ
คนสกุลเซียงถึงกับใช้แขนรั้งตัวอวี้ถังเข้ามา เอ่ยทั้งแฝงรอยยิ้ม “ยามนี้เจ้าก็คงวางใจแล้วกระมัง!”
อวี้ถังพึมพำ “ข้าไม่เคยกังวลเสียหน่อย”
คนสกุลเซียงไม่เชื่อ
ด้านอวี้ถังคิดว่าท่าทีของเผยเยี่ยนดีไม่น้อย จึงตัดสินใจจะชื่นชมเผยเยี่ยน
ยามที่ไปพบเผยเยี่ยนก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าคลุมถุงอิงเถาเล็กๆ เอาไว้ เมื่อเห็นเผยเยี่ยนก็ส่งให้ ยังเอ่ยว่า “ให้! รางวัลของเจ้า”
เผยเยี่ยนรับมาอย่างมึนงง ดูว่าเป็นของสิ่งใด ทั้งยังเอ่ยไปพลาง “รางวัลอะไรรึ? ข้าทำอันใดให้ควรค่ากับรางวัลของเจ้า?”
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รางวัลที่เจ้าไม่ได้พูดจาเหลวไหลต่อหน้าท่านพ่อของข้า”
เผยเยี่ยนเห็นว่าเป็นอิงเถาถุงหนึ่ง กลับไม่เห็นเป็นของหายากอะไร แต่ตระหนักได้ว่านี่เป็นของที่อวี้ถังมอบให้เขาเป็นครั้งแรก เขาจึงรู้สึกดีไม่น้อย รับไว้ ก่อนจะยื่นให้อาหมิงที่อยู่ด้านข้าง ยามนี้ค่อยเอ่ยกับอวี้ถัง “นี่ไม่ใช่ว่าข้าเห็นแก่หน้าเจ้าหรอกรึ? เจ้าบอกให้ข้าเคารพนอบน้อมกับพ่อเจ้าหน่อย”
อวี้ถังแย้มยิ้ม ภายใต้แสงอาทิตย์ในฤดูร้อนคล้ายกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง “ดังนั้นจึงได้ให้รางวัลเจ้า!”
“ให้รางวัลข้าเพราะอะไร? รางวัลที่ข้าเชื่อฟังเจ้า?” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่พอใจ
อวี้ถังยิ้มมุมปาก คิดว่าเผยเยี่ยนคิดเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ภายหลังหากยัง ‘เชื่อฟัง’ เช่นนี้ นางก็จะให้รางวัลเขาอีก
เผยเยี่ยนขุ่นเคืองอยู่บ้าง รู้สึกว่าอวี้ถังทำเช่นนี้กับตัวเองไม่ค่อยดีเท่าใด…คล้ายปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นสุนัขที่ตัวเองเลี้ยงไว้ เชื่อฟังก็ให้ของกินเป็นรางวัล ไม่เชื่อฟังก็จะขังไว้ข้างนอก
ชั่วขณะนั้นใบหน้าก็ดำคล้ำราวกับก้นหม้อ
อวี้ถังกลับรู้สึกว่าเผยเยี่ยนที่เป็นเช่นนี้ไม่มีความหวานซึ้งเอาเสียเลย
แต่…ก็น่าขบขันไม่น้อย
นางอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
เผยเยี่ยนเห็นดวงตาที่แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจนของนางโค้งเป็นเสี้ยวราวกับดวงจันทร์จรัสแสง ชั่วพริบตานั้นก็ใจอ่อนอย่างยิ่ง รู้สึกว่านางมีความสุขก็เพียงพอแล้ว บางเรื่องไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับนางในตอนนี้
ไม่ใช่มีประโยคที่ว่า ‘สั่งสอนบุตรต่อหน้า อบรมภรรยาลับหลัง’ หรอกรึ?
อวี้ถังยังไม่ใช่ภรรยาของเขา รอนางกลายเป็นภรรยาเขาแล้ว เขาค่อยๆ สั่งสอนนางก็เพียงพอแล้ว
เผยเยี่ยนอารมณ์ดีตามขึ้นมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเป็นมิตรเช่นกัน
อวี้ถังลอบด่าว่า ‘นิสัยไม่ดี’ ในใจ คิดว่านิสัยนี้ของเขา คาดว่าชั่วชีวิตนี้คงต้องใช้วิธีนี้ออดอ้อนแล้ว นางจึงอดใช้น้ำเสียงอ่อนโยนไม่ได้ “วันนี้ต้องขอบคุณเจ้า ข้ารู้ว่าปกติเจ้าเป็นคนเรียบนิ่ง เพื่อข้า จึงได้ปฏิบัติกับท่านพ่อข้าดีเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าชอบกินอิงเถาหรือไม่ แต่ยามนี้ผลไม้ที่อร่อยที่สุดของสกุลพวกเราก็คืออิงเถา ไม่อย่างนั้น เจ้าก็บอกข้ามาว่าเจ้าชอบกินอะไร? ครั้งหน้าข้าจะได้ซื้อให้เจ้า หรือเจ้าต้องการรางวัลอย่างอื่น ครั้งหน้าข้าก็จะเตรียมให้เจ้าใหม่”
ริมฝีปากของนางแดงฉ่ำ เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ เผยน้ำเสียงใสกังวาน พาให้คนนึกถึงนกจาบฝนที่ขับร้องลำนำ นกขมิ้นที่เสียงหวานละมุน ดูน่ารักอย่างยิ่ง!
เผยเยี่ยนอดกลืนน้ำลายไม่ได้ เอ่ยว่า “เช่นนั้นครั้งหน้าเจ้าร้องเพลงให้ข้าฟัง?”
อวี้ถังเบิกตาค้างอย่างตกตะลึง
ร้องเพลง นั่นไม่ใช่เรื่องของนักสังคีตหรอกรึ?
เผยเยี่ยนให้นางทำเรื่องของนางละครที่ร่ายรำทำเพลงอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนางก็เข้าใจ
หากเผยเยี่ยนเหน็บแนมนาง คงไม่แต่งนางเป็นภรรยาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้หรอก เขาพูดเช่นนี้ อาจะเพราะว่าอยากได้ยินเสียงร้องของนางเท่านั้น เหมือนตอนนางยังเด็ก ยามที่ความทรงจำยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ยังคงเคยเห็นบิดาของนางช่วยมารดาเขียนคิ้ว
เหมือนว่าหลังจากนั้นยังบังเอิญเคยเห็นบิดาจุมพิตมารดา
บางทีนี่ก็อาจจะเป็นความชอบส่วนตัวระหว่างสามีภรรยา
นึกถึงเรื่องพวกนี้ ภาพบิดาและมารดาในความทรงจำของนาง จู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นนางและเผยเยี่ยน…
นางใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ไม่กล้ามองเผยเยี่ยนแม้แต่น้อย
ด้านเผยเยี่ยน เพิ่งจะพูดจบก็รู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไป
อวี้ถังเป็นคนที่เขาต้องการแต่งเข้าสกุลอย่างเป็นทางการ ไฉนเขาถึงกล่าวคำพูดเหลาแหละเช่นนั้นออกมาได้?
เขาลอบเสียใจ มองอวี้ถังอีกครั้ง กลับเห็นใบหน้านางแดงก่ำราวกับจะไหลเป็นหยดเลือด
เผยเยี่ยนลนลานอยู่บ้าง
เขาควรทำอย่างไร?
จะขอโทษหรือว่า…ขอโทษ?
มุมปากของเผยเยี่ยนสั่นเล็กน้อย ยามที่ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร ข้างหูกลับมีเสียงอ่อนหวานของอวี้ถังดังขึ้นมาก่อน “ได้!”
“อะไรนะ?” เผยเยี่ยนเบิกตากว้าง
อวี้ถังรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมา มองเผยเยี่ยนด้วยดวงตากลมโตใสกระจ่าง พูดเสียงดังอีกครั้งว่า “ได้” ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “รอครั้งหน้าข้าพบเจ้า จะร้องเพลงให้เจ้าฟัง” พูดจบ ก็ยากจะควบคุมตัวเองไม่ให้เขินอาย หมุนกายวิ่งหนีไปทันที
เผยเยี่ยนทอดมองแผ่นหลังของอวี้ถัง ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยดึงสติกลับมาได้ เพิ่งเข้าใจว่าอวี้ถังพูดอะไร
มุมปากของเขาอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ในใจคล้ายกับดื่มน้ำผึ้งที่หวานล้ำ
ไม่แปลกใจที่คนอื่นล้วนอยากแต่งภรรยา แต่งภรรยาเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยจริงๆ กระทั่งคำขอร้องที่ไร้สาระเช่นนี้ก็ยังถูกยินยอม
เช่นนั้นครั้งหน้ายามที่พบกัน ก็สามารถฟังอวี้ถังร้องเพลงได้แล้ว
เขาควรจะเป่าขลุ่ยเซียวหรือขลุ่ยตี๋จื่อ ไม่ก็เล่นผีผาหรือกู่ฉินดี?
ดูเหมือนว่าขลุ่ยตี๋จื่อและผีผาจะเหมาะสมกว่า
อย่างไรก็เป็นเพียงความสำราญระหว่างสามีภรรยา ไม่จำเป็นต้องจริงจังถึงขนาดนั้น
เผยเยี่ยนครุ่นคิด จวบจนตัวเองยกเท้าก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนสกุลเผย ยามนี้จึงตระหนักได้ว่าตัวเองยังไม่ได้พูดเรื่องที่ต้องการจะบอกให้อวี้ถังฟังเลย
เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้
ในสายตาของคนอื่นกลับดูเยือกเย็นขึ้นไม่รู้ตั้งเท่าใด
ด้วยเหตุนี้พวกบ่าวรับใช้ถึงกับลอบซุบซิบนินทาว่า ไม่รู้ว่าวันนี้เขาไม่พอใจเรื่องอะไรมา
ท่านแม่เฒ่าย่อมทราบข่าวอย่างฉับไว นางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเรียกลูกชายเข้ามา ถามเขาไปตามตรง “วันนี้เจ้าไปสกุลอวี้มารึ? ได้ยินว่านายท่านอวี้เรียกเจ้าเข้าไป?”
เผยเยี่ยนขมวดคิ้วยิ่งกว่าเก่า รู้สึกว่าคนที่ปากมากในสกุลจะมีเยอะไปอยู่บ้าง หูซิ่งที่เป็นพ่อบ้านผู้นี้มีความสามารถไม่เพียงพอเสียแล้ว
“ใช่แล้ว!” เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างสบายๆ พยักหน้าให้ท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าเอ่ยว่า “สกุลพวกเขาพูดอะไรบ้าง?”
“ไม่ได้พูดอะไร!” เผยเยี่ยนไม่ชอบให้คนอื่นซักไซ้เรื่องของเขา ทั้งไม่อยากตอบคำถามเช่นนี้เท่าใด “ไฉนท่านจึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา?”
ท่านแม่เฒ่าถอนหายใจ “ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาจากสกุลอวี้ ดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไร ดังนั้นจึงได้ถามเจ้า”
เผยเยี่ยนขมวดคิ้วแน่น เอ่ยอย่างแปลกใจ “ข้าอารมณ์ไม่ดี?”
ท่านแม่เฒ่าเห็น ชั่วขณะนั้นก็นวดขมับหัวเราะขึ้นมา เอ่ยว่า “เอาเถิด! ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเสีย! ข้าไม่ถามเรื่องพวกนี้กับเจ้าแล้ว”
ไฉนนางจึงฟังคำพูดเหลวไหลของพวกบ่าวรับใช้กัน?
ในสายตาของพวกเขา เผยเยี่ยนมียามที่อารมณ์ดีด้วยหรือ?
เผยเยี่ยนกลับไม่ไป แต่ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ เอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาท่าน”
ท่านแม่เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าว่ามาเถิด!”
เผยเยี่ยนลังเลไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ” ความจริงคือยังไม่ได้พูดกับอวี้ถัง “ข้าคิดเช่นนี้” หากอวี้ถังไม่เห็นด้วย ก็ยังมีทางให้ถอย “คุณหนูอวี้ทราบเรื่องราวในสกุลของพวกเราแค่เพียงผิวเผิน ข้าคิดว่าก่อนที่นางจะแต่งเข้ามา ข้าอยากให้ท่านช่วยชี้แนะแนวทางให้นาง ทั้งเมื่อนางแต่งเข้ามาแล้ว จะได้คุ้นเคยกับกฎระเบียบธรรมเนียมของสกุลพวกเราอยู่บ้าง”