ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 302 ใจอ่อน
ท่านแม่เฒ่าเผยได้ฟัง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาอยู่บ้าง
นางนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ยามนี้จึงค่อยเอ่ยว่า “คุณหนูสกุลใดบ้างที่ก่อนจะออกเรือนก็เข้าใจสกุลสามีอย่างทะลุปรุโปร่ง? ไม่ใช่ว่าหลังจากแต่งงานกันแล้ว ตัวเองก็ค่อยๆ คลำหาทางเองหรอกรึ?”
ลูกสะใภ้ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ลูกชายก็ตั้งใจเตรียมการให้นางเสียแล้ว
นางคิดว่าลูกชายคนเล็กผู้นี้ของตัวเองจืดชืดเย็นชา แตกต่างกับพี่ชายทั้งสองของเขา ผลปรากฏว่า นอกจากจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ยังเปลี่ยนไปยิ่งกว่าเดิม กลัวว่านางจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ต้องการให้นาง ‘เข้าเรียน’ ล่วงหน้า
ใต้หล้านี้ยังมีหลักการเช่นนี้ด้วยรึ?
ท่านแม่เฒ่ายกถ้วยชาด้านข้างขึ้นมา ดื่มไปหนึ่งคำอย่างเรียบนิ่ง รู้สึกว่าชานี้ขมปร่า ไม่มีรสชาติดีอะไร อดขมวดคิ้วเอ่ยกับเฉินต้าเหนียงที่รับใช้อยู่ด้านข้างไม่ได้ “ใครเป็นคนชงชานี้? แม้จะกล่าวว่าอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะกินชาเย็นชืดเช่นนี้หรอก รีบให้คนไปเปลี่ยนเสีย”
เฉินต้าเหนียงรีบรับถ้วยชา ใช้นิ้วมือจิ้มดูอย่างว่องไว พบว่าอุณหภูมิชากำลังดี ทราบว่าคงเป็นเพราะคำพูดของเผยเยี่ยน ท่านแม่เฒ่าจึงไม่พอใจ นางรีบมองเผยเยี่ยนไปที ก็ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนทราบความนัยของนางหรือไม่ ยามนี้จึงค่อยค้อมศีรษะรับคำสั่ง ถอยออกไปชงชามาใหม่
ไม่จำเป็นต้องให้เฉินต้าเหนียงเตือน เผยเยี่ยนก็รู้แล้วว่ามารดาไม่พอใจ
ตามหลักแล้ว มารดาเขาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลหรือใจแคบ แต่ครั้งนี้กลับคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ เขาคาดว่า อาจเป็นเพราะเงามืดที่พี่ชายทั้งสองทิ้งเอาไว้ โดยเฉพาะพี่ใหญ่ ปีนั้นเพื่อพี่สะใภ้ใหญ่ ก็มีเรื่องขัดแย้งกับมารดาไม่น้อย ยามนั้นเขาเคยสาบานว่า ภายหลังหากแต่งสะใภ้เข้ามาย่อมไม่อาจให้มารดาต้องเป็นกังวล คาดไม่ถึงว่าพอถึงทีของเขา ก็ยังคงทำให้มารดาไม่สบายใจ
เขาจึงคุกเข่าเบื้องหน้าของมารดา วางมือทั้งสองข้างบนเข่านาง เงยหน้ามองมารดา เอ่ยเสียงแผ่วว่า “สกุลอวี้มีชาติกำเนิดธรรมดา ข้าก็ไม่อยากน้อยหน้าใคร ไม่อยากให้คนอื่นขบขันข้า เรื่องนี้ นอกจากท่านแม่แล้ว ข้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ นอกจากท่านแม่ ก็ไม่มีใครให้ฝากฝังได้ อย่างไรขอท่านแม่ช่วยข้าเถิด”
ตั้งแต่ยังเล็กเผยเยี่ยนก็เป็นเด็กที่รูปงามคนหนึ่ง คล้ายกับเด็กรับใช้ของเทพเซียน อายุได้สามขวบ ไม่ทันสูงเท่าโต๊ะ ท่านผู้เฒ่าอบรมสั่งสอนเขาหลังโต๊ะหนังสือ เขาก็ถกเถียงอย่างเด็กๆ กับท่านผู้เฒ่าเสียแล้ว ท่าทีที่เถียงคอเป็นเอ็นนั้น พาให้คนที่เห็นต่างก็เอ็นดู ยามนั้นท่านผู้เฒ่าหัวเราะเอ่ยกับนางว่า ‘ดูเจ้าคารมคมคายคนนี้สิ ภายหลังก็ไม่รู้ว่าจะไปสร้างปัญหาให้คุณหนูสกุลใดเข้า’ ต่อมาเมื่อเขาเริ่มโตขึ้น ออกไปข้างนอกก็มีแต่เด็กผู้หญิงมาเล่นหูเล่นตากับเขา ไม่เป็นผลไม้สดใหม่ ก็เป็นขนมลูกอมที่เอากลับมา ท่านผู้เฒ่ากลัวว่าเขาจะอาศัยเรื่องที่ตัวเองหน้าตาดีทำเรื่องเกินงาม จึงเข้มงวดกวดขันขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เชื่อฟัง ไม่เคยไปแทะโลมทำเรื่องไม่เหมาะสมกับผู้หญิง เห็นพี่ใหญ่โกรธเคืองนาง ก็รู้จักโกรธเคืองแทนนาง ทำหน้าถมึงทึงกล่าวว่าจะระบายโทสะแทนนาง
เวลาชั่วพริบตา เด็กน้อยก็เติบใหญ่ จะแต่งภรรยาคลอดบุตรแล้ว แต่ในสายตาของมารดา ยังคงเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ยิ่งโตยิ่งหล่อเหลา ยังคงต้องการให้แม่ปกป้อง
ชั่วขณะนั้นดวงตาของท่านแม่เฒ่าพลันมีหยาดน้ำเอ่อขึ้นมา
นางลูบผมดำขลับที่เรียบลื่นของลูกชายเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “ได้! แม่จะช่วยเจ้า แต่ไหนแต่ไรลูกสามของพวกเราก็โดดเด่นเหนือใคร ลูกสะใภ้ก็ย่อมต้องยอดเยี่ยมกว่าคนอื่นเช่นกัน”
เผยเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงโล่งใจ
เขาไม่อยากให้มารดาเสียใจจริงๆ ยิ่งไม่อาจให้มารดาและอวี้ถังมีช่องว่างระหว่างกัน
เรื่องที่ให้มารดาช่วยชี้แนะอวี้ถัง เขานั้นคิดได้วันนี้หลังจากที่ไปพบอวี้เหวิน
แต่เหมือนว่าเขาจะเริ่มให้อวี้ถังไปอยู่เป็นเพื่อนมารดามาตั้งนานแล้ว หรือในใจของเขา จะมีความกังวลเช่นนี้มานานแล้วเหมือนกัน?
ความคิดพวกนี้วาบขึ้นมาในใจแต่ไม่นานก็ถูกสลัดทิ้งไปด้านหลัง เขาผุดลุกขึ้นมาแล้วกอดมารดาทั้งรอยยิ้ม เอ่ยว่า ‘ท่านแม่’ อย่างออดอ้อน
ดีใจขนาดนี้เชียว!
ไม่รู้ว่าเพราะนางตอบรับคำขอของเขา หรือเพราะนางยินดีที่จะช่วยเหลือลูกสะใภ้ในอนาคต?
ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจของท่านแม่เฒ่า ก่อนจะถูกนางกดเอาไว้อย่างรวดเร็ว นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่ให้ข้าช่วยทำให้สะใภ้ในอนาคตของเจ้าคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในสกุล เจ้ามีการวางแผนอย่างไร?”
เผยเยี่ยนไม่เคยทำเรื่องที่ตัวเองไร้ความมั่นใจอยู่แล้ว ในเมื่อเขามีความคิดเช่นนี้ ย่อมมีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่เขาเป็นประเภทที่ฉลาดเป็นกรด รับรู้ถึงความขุ่นมัวของมารดาทันที เขาจึงแสร้งเปลี่ยนฐานะจากเจ้าบ้านเป็นแขก มอบอำนาจของเรื่องนี้ให้กับมารดาแทน
“ข้าก็เพิ่งนึกได้เมื่อครู่” เขาบอก “ประเด็นหลักต้องทำอย่างไรบ้าง ข้ายังไม่มีแผนในใจเป็นขั้นเป็นตอน ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังต้องดูท่านอีกว่าเห็นด้วยหรือไม่?”
เขาพูดจบ ก็ส่งยิ้มอย่างขัดเขินให้มารดา เอ่ยว่า “ท่านแม่ เรื่องในเรือนไม่มีใครคุ้นเคยเท่าท่านอีกแล้ว ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรจะทำอย่างไรดี?” พูดจบ เขายังกล่าวเสริมเป็นเด็กๆ “อย่างไรก็ไม่อาจให้คนสกุลซ่ง สกุลอู่หาเรื่องอะไรมาจับผิดได้!”
เด็กคนนี้!
ท่านแม่เฒ่าใจอ่อนทันที นางเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ดูนิสัยอยากเอาชนะนี้ของเจ้าสิ ก็ไม่รู้ว่าเหมือนใคร? ข้าและพ่อของเจ้าล้วนไม่ใช่คนเช่นนั้น”
นางจะให้สกุลซ่งและสกุลอู่เห็นเรื่องขำขันของลูกชายนางได้อย่างไร?
ท่านแม่เฒ่าขบคิดเล็กน้อย เอ่ยกับลูกชายว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ มอบให้ข้าก็พอแล้ว!”
เผยเยี่ยนขานว่า ‘อื้ม’ อย่างดีใจ ไม่ถามการวางแผนของท่านแม่เฒ่าต่อ ก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดีเช่นนี้
ท่านแม่เฒ่าอดส่ายศีรษะไม่ได้ เอ่ยกับเฉินต้าเหนียงที่รินชาใหม่อีกครั้งว่า “เจ้าว่าเขาใจกว้าง รู้จักหนุนหลังให้คนสกุลอวี้ หรือคิดว่าเขาละเอียดรอบคอบ ถึงได้เดินไป ทิ้งคนสกุลอวี้ไว้ให้ข้าเช่นนี้!”
ไม่มีใครจะรู้ใจท่านแม่เฒ่าไปกว่าเฉินต้าเหนียงอีกแล้ว
นางยื่นชาให้ท่านแม่เฒ่าด้วยรอยยิ้ม นวดไหล่ให้นางทั้งเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลไปพลาง “นายท่านสามจะเป็นคนสะเพร่าได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านดูสิเจ้าคะ หลังจากเขารับช่วงต่อสกุลเผย มีเรื่องไหนบ้างที่ไม่ได้จัดการเสียดิบดี เขาเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเชื่อใจท่านหรือเจ้าคะ? เชื่อว่าท่านจะช่วยเขา เชื่อว่าท่านจะจัดการได้ดี เชื่อว่าท่านมีแผนของตัวเอง พูดโดยสรุปแล้ว นายท่านสามให้ความสนิทสนมท่านมากที่สุด มีเรื่องอะไรล้วนกล้าพูด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าให้ท่านช่วยเหลือ!”
ความนัยของวาจานี้คือ เทียบกับนายท่านใหญ่ที่ฟังความข้างเดียวในปีนั้น ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายหญิงใหญ่ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ล้วนจะถามออกมาอย่างชัดเจน เทียบกับนายท่านรองที่ไม่ถามไม่ใส่ใจอะไร ทั้งไม่เคยเอ่ยขอร้องอันใดมาก่อน นายท่านสามทำเช่นนี้ย่อมนับว่าให้ความสนิทสนมอย่างแท้จริง
ท่านแม่เฒ่าเข้าใจความหมายของเฉินต้าเหนียง พยักหน้าทั้งขบคิด
ไม่นานเผยเยี่ยนก็รู้เรื่องทางนั้น
เขาอดโล่งใจกับความหัวไวของตัวเองไม่ได้
การเข้ากันระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ นับว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่งจริงๆ ให้เขาแสดงบางครั้งบางคราวยังพอไหว แต่หากให้เขาทำเช่นนี้ทุกวัน เขาคงรับไม่ไหว เรื่องเช่นนี้ทำได้เพียงมอบให้อวี้ถังไปคิดหาทางเองเท่านั้น
หวังเพียงแค่ว่านางจะมีความสามารถรับมือกับมารดาเขาได้
อวี้ถังยังไม่ทันได้แต่งเข้ามา เขาก็เริ่มปวดศีรษะเสียแล้ว
แต่เทียบกับสกุลเผยที่มีเรื่องราวสลับซับซ้อน สกุลอวี้กลับดูเรียบง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
—
อวี๋ป๋อดูแลจัดการงานเลี้ยงด้วยตัวเอง เรียกอวี้หย่วนเข้ามา วางแผนจะขอบคุณนายท่านอู๋ดีๆ
อวี้เหวินถูกคนสกุลเฉินดึงไปเปลี่ยนชุด คนสกุลเฉินอดตำหนิอวี้เหวินไม่ได้ “เจ้าก็อย่าได้ทำเรื่องจนเกินงาม! นายท่านสามเห็นเจ้าเป็นผู้อาวุโส เจ้าก็ควรทำตัวเป็นผู้อาวุโส กลับนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนตรงนั้น ให้นายท่านอู๋เป็นคนส่งแขกแทน นี่มันเป็นการแสดงออกอะไรกัน? เจ้าไม่กลัวว่านายท่านสามจะลอบขบขันสกุลของพวกเราหรอกรึ?”
“เขากล้ารึ!” อวี้เหวินเอ่ยคอตั้ง “พ่อตาของสกุลใดไม่วางท่าเช่นนี้กับลูกเขยบ้างเล่า หรือเขาไม่ใช่ว่าที่ลูกเขยของข้า? ข้าให้คนอื่นไปส่งแทนข้าจะเป็นไรไป?”
“หัวโบราณ!” คนสกุลเฉินหว่านล้อมเขาไม่ได้ ก็โมโหตำหนิออกมา
อวี้เหวินเดินออกมาอย่างผ่าเผย เมื่อถึงห้องโถงที่จัดงานเลี้ยงให้นายท่านอู๋ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มทันที เอ่ยเรื่องเรือสินค้าของเจียงเฉาผู้นั้นขึ้นมา “ก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงอย่างราบรื่นหรือไม่ หากกำหนดงานแต่งของลูกสาวอยู่ปลายเดือนเก้า จะมาทันจัดการเรื่องสินเดิมให้ลูกสาวทันหรือไม่ทัน”
นี่ก็หมายความว่าจะนำกำไรที่ได้จากการค้ามอบให้เป็นสินเดิมของลูกสาวทั้งหมด
นายท่านอู๋รู้สึกว่าสมแล้วที่อวี้เหวินเป็นคนที่เรียนหนังสือมาก่อน มีความรับผิดชอบ มีความกล้า ไม่เห็นด้วยก็ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเห็นด้วยกับงานแต่งครั้งนี้แล้ว กลับสามารถตัดสินใจได้อย่างเฉียบไวออกหน้าให้ลูกสาว เป็นคนที่ควรค่าให้ความสนิทสนม
เขายกนิ้วโป้งขึ้นมา เอ่ยว่า “หากเจ้าไม่วางใจ มิสู้พวกเราไปหนิงปัวสักเที่ยวหนึ่ง”
ก่อนทั้งสองคนจะพูดปรึกษาเรื่องสินเดิมของอวี้ถังอย่างไม่หยุดหย่อน
อวี้ถังกลับคิดว่าไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้น
นางเป็นคุณหนูสกุลเช่นไร ต่อให้มีสินเดิมมากมายกว่านี้ คนอื่นก็รู้อยู่ดี ไม่จำเป็นต้องฝืนเขย่งเกินตัว นางหว่านล้อมมารดาและป้าสะใภ้ใหญ่ที่เป็นธุระเรื่องพวกนี้ให้นาง “ทำเหมือนยามที่พวกคุณหนูบ้านใกล้เรือนเคียงแต่งออกไปก็เพียงพอแล้ว คนอื่นจะได้ชมพวกเราแค่ว่ารู้จักอยู่ในความพอดี”
เดิมทีคนสกุลเฉินและคนสกุลหวังก็ไม่ฟัง อวี้ถังจึงหวังให้คนสกุลเซียงและหม่าซิ่วเหนียงช่วยเกลี้ยกล่อม ใครจะรู้ว่า จู่ๆ เฉินต้าเหนียง คนข้างกายของท่านแม่เฒ่าจะมาขอเข้าพบ เอ่ยกับคนสกุลเฉินและคนสกุลหวังด้วยความเกรงใจอย่างยิ่ง “อากาศร้อนขึ้นแล้ว ท่านแม่เฒ่าต้องการพาพวกคุณหนูไปพักผ่อนหลบร้อนที่เรือนด้านนอก ปีก่อนคุณหนูอวี้ก็ไปด้วยกัน ปีนี้ท่านแม่เฒ่ายังอยากเชิญคุณหนูอวี้ไปอีก ไม่รู้ว่านายหญิงทั้งสองคิดว่าอย่างไร?”
แม่สามีในอนาคตมาเชิญ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้ายหรือดี แต่สกุลอวี้จะปฏิเสธได้รึ?
คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังรีบตอบรับอย่างนอบน้อม หลังจากส่งเฉินต้าเหนียงไปแล้วกลับเริ่มกังวลขึ้นมา พากันคาดเดาว่าท่านแม่เฒ่ามีจุดประสงค์อันใด
อวี้ถังทนเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองคนกังวลใจไม่ได้ จึงให้ซวงเถาลอบไปพบจี้ต้าเหนียงเป็นการส่วนตัว
จี้ต้าเหนียงทราบเรื่องของสองสกุลแล้ว ย่อมเผยท่าทีกระตือรือร้นกับซวงเถามากกว่าเมื่อก่อน นางบอกกับซวงเถาด้วยรอยยิ้มว่าไม่จำเป็นต้องกังวล ท่านแม่เฒ่าเพียงอยากชวนอวี้ถังไปหลบร้อนพักผ่อนด้วยกันจริงๆ ทั้งยังสัญญาว่า หากอวี้ถังมีเรื่องอะไร นางย่อมส่งคนไปบอกสกุลอวี้ทันที
คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังทราบเรื่อง จึงค่อยสบายใจเล็กน้อย ช่วยอวี้ถังจัดเก็บเสื้อผ้ามือไม้ยุ่งเป็นพัลวัน เมื่อถึงเวลาที่ตกลงไว้กับสกุลเผย ก็ส่งอวี้ถังไปยังจวนสกุลเผย
ในใจอวี้ถังรู้สึกสงบอย่างยิ่ง
นางและเผยเยี่ยนแตกต่างกันอย่างมาก ความแตกต่างเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะอาศัยสินเดิมหรือสิ่งอื่นมาเติมเต็มได้ สิ่งที่นางทำได้เพียงอย่างเดียวคือ หลังจากแต่งไปสกุลเผยก็ดูแลจัดการเรื่องชีวิตคู่กับเผยเยี่ยนดีๆ ทำให้คนอื่นค่อยๆ รับรู้ถึงความดีของนาง
ยามที่ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ นางอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ ความจริงคนอื่นไม่รับรู้ถึงความดีของนางก็ไม่เป็นไร เผยเยี่ยนรู้ว่านางดี ท่านแม่เฒ่ารู้ว่านางดีย่อมเพียงพอแล้ว
ชาติก่อนยามที่นางอยู่ในสกุลหลี่ คิดจะประจบประแจงอย่างนั้นอย่างนี้ ผลปรากฏว่าใครก็ล้วนไม่สนใจ รอจนนางและสกุลหลี่เป็นปรปักษ์ต่อกัน ไม่อาจประจบประแจงได้อีก ทุกคนต่างก็คิดว่านางไม่อาจรังแกได้ ล้วนไม่มีคนอยากหาเรื่องนาง ไม่อยากล่วงเกินนาง ทั้งยังเกรงใจต่อนางมากขึ้น
ยามที่นางทำดีกลับทำไม่สำเร็จ พอปั้นหน้าแข็งขึ้นมากลับสำเร็จเสียอย่างนั้น
อวี้ถังไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าด้วยรอยยิ้มเหมือนเมื่อก่อน
ดูท่านแม่เฒ่าแล้วก็ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากยามปกติ ถามเรื่องสุขภาพของผู้ใหญ่ในเรือนนาง ถามว่าหลายวันมานี้นางทำอะไรบ้าง ก่อนจะยกชาส่งแขก ให้นางไปเที่ยวหาพวกคุณหนูสกุลเผยแทน “พวกนางได้ยินว่าปีนี้เจ้าจะขึ้นเขาเหมือนปีก่อนกับพวกเราเช่นกัน พวกนางดีใจอย่างยิ่ง เอาแต่ถามว่าเจ้าจะมาเมื่อใด”