ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 303 ในจวน
อวี้ถังทำราวกับไม่รู้เรื่องที่สกุลเผยกำลังจะเกี่ยวดองกับสกุลอวี้เสียอย่างนั้น เอ่ยขอบคุณท่านแม่เฒ่าอย่างนอบน้อม ก่อนจะตามจี้ต้าเหนียงออกไป
ด้านเฉินต้าเหนียงส่งนางออกจากประตูด้วยตัวเอง ยามที่ย้อนกลับมาก็เอ่ยชมอวี้ถังกับท่านแม่เฒ่าว่า “อายุเพียงเท่านี้กลับสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่ง เหมือนตอนที่ท่านยังสาวอยู่บ้างนะเจ้าคะ”
ท่านแม่เฒ่าแค่นเสียงหัวเราะ เอ่ยว่า “นี่เจ้าถูกสยากวงจ้างมากระมัง?”
ดูภายนอกคล้ายจะเยือกเย็น กลับไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองอย่างจริงจัง
เฉินต้าเหนียงรู้ว่าตัวเองไม่ได้พูดผิด รีบทำท่าประหนึ่งเรียกร้องความเป็นธรรม “ท่านว่าข้าเช่นนี้ ข้าไม่ยอมรับหรอกนะเจ้าคะ! แม้ข้าจะพูดเข้าข้างนายท่านสาม นั่นก็เพราะนายท่านสามดีต่อท่านที่สุด!”
มุมปากของท่านแม่เฒ่าอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เอ่ยกำชับเฉินต้าเหนียงด้วยเสียงนุ่มนวล “ผู้ที่มารับใช้นางในครั้งก่อนชื่ออะไรนะ? หลิ่วซวี่หรือหลิ่วเซา? เจ้าจัดการเสียหน่อย ครั้งนี้ก็ให้คนเดิมไปดูแลรับใช้นาง”
สกุลอย่างสกุลอวี้นั้นเห็นได้ชัดว่า ไม่อาจส่งสาวใช้สินเดิมเข้ามามากมาย แม้ว่าจะส่งเข้ามา ก็ไม่อาจสู้พวกหญิงรับใช้ที่เติบโตมาในสกุลของพวกเขาตั้งแต่ยังเล็กทั้งยังคุ้นเคยกฎระเบียบได้หรอก
หากสาวใช้พวกนั้นเป็นคนหัวไว รออวี้ถังแต่งเข้ามาแล้ว ก็ย่อมโยกย้ายไปคอยรับใช้ในห้องของเผยเยี่ยนได้
เฉินต้าเหนียงกระจ่างใจ นึกถึงคำฝากฝังของจี้ต้าเหนียง เอ่ยว่า “ข้างกายของจี้ต้าเหนียงมีสาวใช้คนหนึ่งชื่อเล่ยจือ ข้าว่ายอดเยี่ยมไม่น้อย ไม่อย่างนั้นส่งเล่ยจือไปรับใช้ข้างกายคุณหนูอวี้อีกสักคนดีหรือไม่เจ้าคะ? อาศัยเพียงพวกหลิ่วซวี่ไม่กี่คน กลัวว่าจะดูแลไม่ทั่วถึง”
หลิ่วซวี่ก็อายุสิบห้าสิบหกแล้ว ยามนี้ยังเป็นเพียงสาวใช้ขั้นสามที่รับใช้ในห้องรับแขก เห็นได้ชัดว่าความสามารถมีจำกัด
ท่านแม่เฒ่าเชื่อมั่นในตัวเฉินต้าเหนียงไม่น้อย ฟังจบก็เอ่ยว่า “เจ้าจัดการเองก็เพียงพอแล้ว” จากนั้นก็เอ่ยเรื่องยิบย่อยที่จะไปพักผ่อนที่เรือนนอกขึ้นมา
—
ด้านอวี้ถัง ตามจี้ต้าเหนียงไปพักผ่อนในห้องพักรับรองแขกที่จัดเตรียมไว้ให้นาง ก่อนจะพบพวกหลิ่วซวี่อีกครั้ง เพราะยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ของท่านผู้เฒ่า เรื่องที่เผยเยี่ยนสู่ขออวี้ถัง นอกจากคนสนิทข้างกายท่านแม่เฒ่าไม่กี่คน เผยเซวียนนายท่านรองและพวกนายหญิงรองที่รู้เรื่องแล้ว กระทั่งทางนายหญิงใหญ่ล้วนยังไม่ทราบ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่นๆ ในเรือน พวกหลิ่วซวี่ยังคงปฏิบัติกับอวี้ถังเหมือนเมื่อก่อน พูดคุยหัวเราะกัน ช่วยซวงเถาจัดการสัมภาระอวี้ถังอย่างว่องไว อวี้ถังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ก่อนจะพาซวงเถาไปหาคุณหนูห้า
จี้ต้าเหนียงเห็นว่าทางนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ไปส่งข่าวให้ท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าถามนางทันที “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เห็นได้ชัดว่ารอนานอย่างยิ่ง
จี้ต้าเหนียงเป็นคนข้างกายของท่านแม่เฒ่า ทั้งนับว่าเป็นคนที่รู้รายละเอียดของเรื่องราวคนหนึ่ง ย่อมรู้ว่าท่านแม่เฒ่าถามถึงใคร นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังคงเหมือนเมื่อก่อนเจ้าค่ะ” ขณะที่พูด ก็นำกระเป๋าเหอเปาเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา เปิดให้ท่านแม่เฒ่าดู “ท่านดูสิเจ้าคะ เหมือนกับปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน”
ท่านแม่เฒ่าเห็นแท่งเงินเล็กๆ ที่สลักคำว่าว่านซื่อหรูอี้ (สมปรารถนา) อยู่ห้าคู่
ยามนี้ใจของท่านแม่เฒ่าที่แขวนกลางอากาศจึงค่อยตกลงมา อดระบายกับพวกนางไม่ได้ “ข้ากังวลว่านางจะอวดตัวทั้งกลัวว่านางจะหวั่นเกรง เป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยก็นับว่าผ่านครึ่งหนึ่ง”
จี้ต้าเหนียงรู้ว่าท่านแม่เฒ่าชอบนายท่านสามที่สุด ก็เร่งเอ่ยว่า “ท่านควรเชื่อมั่นในสายตาของนายท่านสามนะเจ้าคะ คนที่เขาเลือก ย่อมไม่อาจผิดพลาด”
ท่านแม่เฒ่าเผยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ให้เม็ดทองเล็กๆ แก่เฉินต้าเหนียงและจี้ต้าเหนียงคนละหนึ่งถุงเป็นรางวัล
เฉินต้าเหนียงและจี้ต้าเหนียงต่างก็หยอกเย้าอยู่ด้านข้าง “ไอหยา ท่านแม่เฒ่าของพวกเราใกล้จะได้ดื่มชาของสะใภ้ กระทั่งคนที่รับใช้ข้างกายอย่างพวกเราก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย”
“เหนียง (แม่) จะดื่มชาลูกสะใภ้ของใคร?” ด้านนอกประตูพลันปรากฏเสียงนุ่มนวลของนายหญิงใหญ่ดังขึ้นมา
คนผู้นี้เข้ามาได้อย่างไร?
คนที่เฝ้ายามด้านนอกล้วนเป็นคนตายหรืออย่างไร?
ยังมีคำว่า ‘เหนียง’…แต่งมาสกุลเผยจะยี่สิบปีแล้ว ยังไม่เปลี่ยนคำเรียกอีก จะต้องเรียกนางว่า ‘เหนียง’ ให้ได้ นางฟังแล้วรู้สึกเหลือทนอย่างยิ่ง
ใบหน้าของท่านแม่เฒ่าดูไม่ดีขึ้นมาทันที
เฉินต้าเหนียงรีบไปแหวกม่าน ปากก็เอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “นายหญิงใหญ่มาหรือเจ้าคะ! รีบเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ ท่านแม่เฒ่ากำลังนึกถึงท่านอยู่พอดี กล่าวว่าปีนี้อากาศร้อนเป็นพิเศษ ท่านแม่เฒ่าจะขึ้นเขาไปหลบร้อน บ้านหลักคงเหลือท่านอยู่ในจวนเพียงคนเดียว เรื่องงานแต่งของคุณชายใหญ่ ก็ต้องรบกวนท่านแล้ว”
ท่านแม่เฒ่าได้ฟังก็กลอกตาไปที
—
ยามนี้อวี้ถังถึงที่พักของคุณหนูห้าแล้ว นางเพิ่งเข้าเรือนมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานดังแว่วมากจากห้องเซียงฝางของคุณหนูห้า
ขณะนั้นใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มขึ้นตาม ถามอาซันที่มาต้อนรับนาง “ไฉนจึงคึกคักเพียงนี้? พวกคุณหนูเผยคนอื่นๆ ก็อยู่ด้วยกันรึ?”
อาซันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “นอกจากพวกคุณหนูสกุลเผย คุณหนูใหญ่สกุลหยางก็เข้ามาเช่นกันเจ้าค่ะ” ยังกลัวว่านางจะไม่รู้จัก เอ่ยว่า “ลูกติดมารดาเลี้ยงของสกุลอาเขยรอง กลับมาจากเมืองหลวงเพราะได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ในเรือน ตั้งใจเอาของฝากมามอบให้คุณหนูรองโดยเฉพาะเจ้าค่ะ คุณหนูรองจึงพานางเข้ามาน้อมทักทายนายหญิงรอง”
อวี้ถังผงกศีรษะ ตามอาซันไปห้องเซียงฝางของคุณหนูห้า
ทุกคนเห็นนาง ต่างก็พากันตาเป็นประกาย
อวี้ถังในวันนี้ งดงามกว่าในความทรงจำของพวกนางเสียอีก
เสื้อกั๊กยาวผ้าหยาบสีเขียวน้ำทะเล ต่างหูไข่มุกสีขาว เสียบดอกมะลิอย่างเรียบง่าย กลับเผยความสง่างาม ดวงตาที่แบ่งขาวดำอย่างชัดเจนคล้ายอัญมณีที่จมดิ่งอยู่ในน้ำ ยามมองไปรอบๆ นั้นดูระยิบระยับราวกับเพชรที่ถูกขัดเกลา เปล่งประกายพร่างพราว
คุณหนูห้าตะโกนขึ้นมาคนแรก “พี่อวี้ เจ้ากินอะไรรึ? หรือพอกอะไรมา? ไฉนจู่ๆ ใบหน้าจึงดูดีขึ้นเพียงนี้? เจ้าต้องบอกพวกเรา ไม่อาจเก็บเป็นความลับเชียว”
อวี้ถังชะงักไป ลูบหน้าตัวเองอย่างสงสัย “ช่วงนี้ข้าก็เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น? ใช้ขี้ผึ้งพอกก็เป็นพวกเจ้าที่แนะนำครั้งก่อน ยามที่ข้าและคุณหนูสวีไปหังโจว เห็นว่ามีขาย พวกเราจึงซื้อมากันเล็กน้อย หรือเป็นเพราะขี้ผึ้งพวกนั้น?”
คุณหนูสี่เอ่ยอย่างอิจฉา “พวกเราก็พอกขี้ผึ้งพวกนั้น ไฉนจึงผลลัพธ์ไม่ดีเหมือนพี่อวี้เล่า? พี่อวี้ ไม่ได้ เจ้าต้องเลี้ยงข้าวแล้ว! หากไม่ใช่ว่าพวกเราแนะนำเจ้า เจ้าจะใช้ขี้ผึ้งได้ผลดีขนาดนี้ได้อย่างไร เจ้าต้องเชิญพวกเราไปกินของอร่อยๆ”
อวี้ถังยิ้มอย่างสดใส เอ่ยว่า “ได้ เจ้าจะกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง!”
พวกคุณหนูสกุลเผยตั้งแต่เด็กก็มีสาวใช้แม่นมอยู่ข้างกายจำนวนมากแล้ว อาหารการกินย่อมพิถีพิถันทั้งเน้นเรื่องสุขภาพ ไหนเลยจะให้พวกนางกินของเรื่อยเปื่อยได้ รอพวกนางออกเรือนแล้ว ทั้งแต่งไปสกุลที่สมฐานะ ของบางอย่าง เกรงว่าพวกนางอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ อาหารที่กินได้ มีจำกัดอยู่บ้างจริงๆ
คุณหนูสี่กลอกตาไปมาอยู่ค่อนวัน กลับคิดไม่ออกว่าจะให้อวี้ถังเลี้ยงอะไรนางดี แต่ก็ไม่อยากจะละทิ้งโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป ดึงหญิงสาวแปลกหน้าที่ใบหน้ากลมมน เอ่ยว่า “พี่หยาง เจ้ามีความคิดดีๆ อะไรหรือไม่?”
อวี้ถังเดาว่าคุณหนูผู้นี้คงเป็นคุณหนูใหญ่สกุลหยาง จึงพยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้ม
คุณหนูหยางก็เป็นคนร่าเริงคนหนึ่ง เห็นเช่นนั้นจึงแนะนำตัวเองกับอวี้ถังทันที
คุณหนูสามถลึงตาใส่คุณหนูสี่ไปที ตระหนักว่าพวกนางควรจะแนะนำคุณหนูหยางให้อวี้ถังตั้งแต่ยามที่อวี้ถังเดินเข้าประตูมาแล้ว กลับให้แขกเป็นคนแนะนำตัวเอง เสียมารยาทเกินไปแล้ว
คุณหนูสี่แลบลิ้นอย่างเขินอาย
อวี้ถังกลับไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ลำดับอายุกับคุณหนูใหญ่สกุลหยาง นางอายุมากกว่าคุณหนูใหญ่สกุลหยางสองปี จึงเป็นพี่
คุณหนูใหญ่สกุลหยางจึงเสนอความเห็นว่า “ไม่อย่างนั้นรอไปที่เรือนนอกแล้วค่อยว่ากัน ข้าได้ยินว่าเรือนนอกนั้นมีแม่น้ำเล็กๆ พวกเราสามารถไปตกปลา นำปลามาปิ้งกันได้!”
อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่สกุลหยางก็จะตามพวกนางขึ้นเขาเช่นกัน
คุณหนูสามจึงลอบกระซิบนาง “คุณหนูใหญ่สกุลหยางอยากยืมเรือนนอกของพวกเราเพื่อนัดดูตัว อีกฝ่ายเป็นญาติผู้พี่คนหนึ่งของทางท่านย่าข้า”
นี่ก็คือการเกี่ยวดองระหว่างญาติพี่น้อง
แต่ว่าสกุลในเจียงหนานที่นับได้ว่าเป็นสกุลใหญ่ก็มีเพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไรก็ล้วนสามารถเกี่ยวดองได้ จึงค่อนข้างซับซ้อนอยู่บ้าง
นางแย้มยิ้ม คุณหนูรองเชิญอวี้ถังนั่งด้านข้างนางด้วยใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยถึงเรื่องอารามดับทุกข์ขึ้นมา “คุณหนูใหญ่สกุลหยางทราบเรื่องก็รู้สึกว่าดีอย่างยิ่ง นางอยากช่วยเหลือเช่นกัน ข้ากล่าวว่าเรื่องนี้มีเจ้าเป็นผู้นำ ต้องถามเจ้าเสียก่อน”
คุณหนูใหญ่สกุลหยางได้ยินคุณหนูรองเอ่ยถึง ก็ส่งยิ้มให้อวี้ถัง
ทำกุศลกรรม แน่นอนว่ายิ่งคนเข้าร่วมมากเท่าใดก็ดีเท่านั้น
อวี้ถังย่อมยินดีอย่างยิ่ง
คุณหนูใหญ่สกุลหยางเอ่ยขอบคุณกับอวี้ถัง ก่อนคุณหนูรองจะกล่าวทั้งถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ครั้งนี้พี่กู้ไม่อาจตามพวกเรามาขึ้นเขาด้วยกันได้”
ทุกคนเริ่มพูดคุยเรื่องกู้ซีขึ้นมา
“คาดไม่ถึงว่าพี่กู้จะแต่งเข้ามาในสกุลพวกเรา เห็นได้ชัดว่าพี่กู้มีวาสนาต่อสกุลพวกเรา”
“ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยว่าไม่ไปพักผ่อนที่เรือนนอก แปดถึงเก้าในสิบส่วนย่อมต้องรั้งตัวอยู่ในสกุลเตรียมงานแต่งระหว่างพี่กู้และญาติผู้พี่ถง เช่นนั้นอีกไม่นานพี่กู้ก็คงแต่งเข้ามาในสกุลพวกเราแล้วกระมัง?”
“ข้าได้ยินว่าป้าสะใภ้ใหญ่อยากซื้อจวนหลังหนึ่งให้ญาติผู้พี่ถงที่หังโจว ไม่รู้ว่าท่านแม่เฒ่าจะมอบจวนของตัวเองที่อยู่หังโจวนั้นให้ญาติผู้พี่ถงหรือไม่?”
ทุกคนพูดคุยซุบซิบกัน อวี้ถังทำเพียงรับฟังด้วยรอยยิ้มอยู่ด้านข้าง กลับเป็นคุณหนูใหญ่สกุลหยางที่นั่งอยู่ตรงข้ามนาง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไปหลายครั้ง
อวี้ถังนึกได้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลหยางผู้นี้ว่ากันว่าตั้งแต่เด็กก็ตามบิดามารดาไปเมืองหลวงเติบโตที่นั่น คาดว่าหากคุณหนูใหญ่สกุลหยางไม่รู้จักหลานสาวสกุลมารดานายหญิงใหญ่ที่มีใจให้กันตั้งแต่เด็กกับเผยถงผู้นั้น ก็คงทราบเรื่องที่คุณหนูสกุลหยางผู้นั้นเกือบจะได้แต่งงานกับเผยถง
หลังจากนางไปน้อมทักทายนายหญิงรอง ก็รั้งตัวอยู่กับคุณหนูใหญ่สกุลหยางและพวกคุณหนูสกุลเผย กินข้าวเย็นในห้องของคุณหนูห้า ยามนี้จึงค่อยกลับที่พักของตัวเอง
คาดไม่ถึงว่าที่พักของนางจะมีไฟสว่างจ้า ชิงหยวนกำลังออกคำสั่งกับพวกหลิ่วซวี่ให้เปลี่ยนเครื่องเรือนในห้องโถงใหม่
“แจกันลายครามนั้นย้ายออกมาจากที่ใด? ภาพเก่าสิบปีนั้น ไปเปลี่ยนเป็นของใหม่ปีที่แล้ว ยังมีที่รองนั่งนี่ ไม่เห็นหรือว่าสีแดงด้านในแทบจะเป็นสีม่วงแล้ว? เอากุญแจคลังสินค้าของข้าไปหาสีแดงเลือดหมูเข้ามาหนึ่งชุด…”
พวกหลิ่วซวี่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงออกมา
เห็นอวี้ถังกลับมา จึงค่อยถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ร้องว่า ‘คุณหนูอวี้’ อย่างขอความช่วยเหลือ
อวี้ถังเดาว่าชิงหยวนอาจจะเข้ามาเพราะคำสั่งของเผยเยี่ยน มีเพียงชายผู้นี้เท่านั้น แค่ความไม่เป็นธรรมเล็กน้อย ก็ไม่อยากรับไว้แล้ว
นางไม่อยากให้เรื่องวุ่นวาย แต่ก็ไม่อาจทำลายความปรารถนาดีของชิงหยวน
อวี้ถังจึงเอ่ยไกล่เกลี่ยทั้งสองฝั่ง “ห้องรับรองแขกทางนี้มีความคุ้นชินในการต้อนรับเช่นนี้อยู่แล้ว เจ้าอยากให้พวกนางอำนวยความสบายให้ข้า แต่แม่บ้านที่เก่งกาจยากจะทำอาหารโดยไม่มีข้าว[1] ส่วนข้า คิดว่าพักที่นี่แค่คืนเดียว ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว กลับต้องให้พวกเจ้ารีบเร่งทำงานกัน”
แม้ชิงหยวนจะไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนและอวี้ถังกำลังจะหมั้นหมายกัน แต่ก็รับรู้จากท่าทีที่เผยเยี่ยนมีต่ออวี้ถังว่าเขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง นี่ย่อมเพียงพอให้นางรู้ว่าตัวเองควรจะใช้ท่าทีอย่างไรปฏิบัติต่ออวี้ถังแล้ว
นางเผยยิ้มคำนับให้อวี้ถังอย่างนอบน้อม เอ่ยว่า “เป็นนายท่านสาม ได้ยินว่าในเรือนยังมีแขกผู้หญิง กลัวว่าท่านต้องใช้ห้องทางนี้รับแขก ดังนั้นจึงให้ข้ามาจัดการปรับแต่งห้องของท่าน”
อวี้ถังนวดขมับ
———————
[1]แม่บ้านที่เก่งกาจยากจะทำอาหารโดยไม่มีข้าว อุปมาว่า หากทำเรื่องที่มีข้อจำกัดด้านเงื่อนไข ย่อมยากจะสำเร็จผล เหมือนกับแม่บ้านที่เก่งกาจ หากไม่มีข้าวก็ย่อมไม่อาจทำอาหารออกมาได้ดี