ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 309 ตกปลา
ไส้เดือน?!
ไอ้หนอนสีน้ำตาลเข้มที่ดิ้นกระแด่วๆ ไม่หยุดน่ะรึ?!
อวี้ถังคิดแล้วก็ขนลุกซู่ คนก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ น้ำเสียงสั่นเครือเบาๆ “ไส้เดือน? ทำไมต้องใช้ไส้เดือน? ปลาไม่ได้กินรำข้าวรึ?”
เผยเยี่ยนหันมามองอวี้ถังอย่างดูแคลน “ใครบอกเจ้าว่าปลากินรำข้าว? ที่กินรำข้าวคือหมูต่างหาก”
เป็นอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังไม่ค่อยกระจ่างนัก แน่นอนว่าไม่อาจโต้เถียงเขาได้
แต่นางรับไม่ได้ที่ต้องใช้พวกไส้เดือนอะไรนั่น
นางไม่อยากแสดงความกลัวออกไป จึงแสร้งก้าวถอยหลังต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างศาลาเหมันต์ เอ่ยถามจากที่ไกลๆ ว่า “ในแม่น้ำนั่นมีปลาด้วยรึ? เป็นปลาชนิดไหนบ้าง?” พูดจบ ก็มองสำรวจทัศนียภาพรอบๆ เห็นว่าไม่ไกลออกไปคล้ายมีต้นเฟิง[1]อยู่หลายต้น นางรีบชี้นิ้วเอ่ยขึ้นว่า “นั่นคือต้นเฟิงรึ? พอถึงฤดูใบไม้ร่วง ทิวทัศน์ตรงนี้ต้องงดงามมากแน่ ใบไม้แดงสดเหมือนบุปผาเดือนสอง ช่วงฤดูใบไม้ร่วงมีคนมาชมทิวทัศน์ที่นี่เยอะหรือไม่เจ้าคะ?”
เผยเยี่ยนมองนางที่พยายามเบี่ยงประเด็นเพื่อปกปิดความกลัว คิดว่านางช่างขี้ขลาดนัก เหมือนกับแมวน้อยที่ถูกคนจับไปอาบน้ำไม่มีผิด ทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน แต่เขาไม่แข็งใจพอจะแกล้งนางต่อได้ จึงลุกยืนขึ้นแล้วตบเสื้อผ้าเบาๆ เดินไปหยุดข้างกายนาง แล้วมองไล่ตามสายตาของนางไป จำได้ว่านั่นเป็นต้นเฟิงที่เขาปลูกเอาไว้ตั้งแต่เด็ก ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “พวกนั้นคือต้นเฟิงจริงๆ ตอนนั้นข้ายังเล็ก เป็นครั้งแรกที่ปีนขึ้นเขาอู่ไถเพื่อไปวัดเฟิงหลินกับบิดา แล้วได้พบเห็นระหว่างทาง ข้าคิดว่ามันหายากเหลือเกิน จึงให้คนขนกลับมาหลายต้น ตอนนั้นท่านแม่ข้ากำลังซ่อมแซมจวนพอดี คนสวนไม่รู้จะปลูกไว้ตรงไหน ท่านพ่อข้าจึงให้เอามาปลูกแถวนี้”
มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?
อวี้ถังสนอกสนใจมาก วิ่งเข้าไปดูทันที
เผยเยี่ยนหัวเราะแล้วเดินตามไป ถามนางว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคือต้นเฟิง? คนทั่วไปไม่ค่อยมีใครรู้จัก”
อวี้ถังตอบอย่างได้ใจว่า “ในบ้านมีข้าเป็นเด็กเพียงคนเดียว ท่านพ่อเป็นคนรักเด็กมาก จึงชอบอุ้มข้าขี่คอไปไหนมาไหน แต่เพราะกลัวคนอื่นจะนินทา จึงแต่งตัวข้าให้เหมือนเด็กผู้ชาย พาข้าไปร่วมชุมนุมกลอนอยู่บ่อยๆ แต่พอเขาได้ต่อกลอนก็มักลืมข้า ปล่อยให้ข้าวิ่งเล่นกับเด็กรับใช้ไปทั่ว ดังนั้นข้าไม่เพียงรู้จักต้นไม้หลากหลาย ยังมีความรู้เรื่องดอกไม้อีกต่างหาก” พูดถึงตรงนี้ นางก็นึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ “ข้าเห็นว่าในเรือนท่านไม่ค่อยจะมีต้นไม้ดอกไม้เท่าไร ท่านไม่ชอบดอกไม้หรือเจ้าคะ?”
ต้นไม้ดอกไม้ไร้ความรู้สึก เดิมก็ไม่อาจรับรู้ความสุขหรือความเจ็บปวดได้!
เพราะบิดาที่ล่วงลับไปทำให้เขาไม่ชอบเรือนที่เต็มไปด้วยดอกไม้มีสีสัน ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่อ่อนไหวเพียงนี้!
หรือเขาจะเป็นเหมือนคำที่ว่า ‘คนที่ดูไร้หัวใจมักจะอ่อนไหวมากที่สุด?’
อวี้ถังครุ่นคิด มองดวงหน้าหล่อเหลาแฝงความเย็นชาที่ยิ่งทำให้คนใจเต้นแรงกว่าเก่า จู่ๆ หัวใจพลันละลายยวบ
“ไม่แน่นี่อาจเป็นเพราะท่านชอบต้นไม้มากก็ได้” อวี้ถังอดจะหาข้ออ้างแทนเขาไม่ได้ “ท่านดูเรือนที่ท่านอาศัยอยู่ แล้วดูศาลาเหมันต์ที่ท่านเลือก ล้วนแต่มีต้นไม้เชียวชอุ่มทั้งสิ้น”
คนแก่มักชอบพูดว่า ผู้ที่ชอบภูเขาเป็นคนเปี่ยมคุณธรรม ผู้ที่ชอบสายน้ำเป็นคนอ่อนไหว
แล้วเผยเยี่ยนเป็นคนเช่นไรหนอ?
สายตาที่อวี้ถังใช้มองเขาปิดความหลงใหลไว้ไม่มิด
เผยเยี่ยนคล้ายจะสัมผัสมันได้
การได้รับสายตาชื่นชมจากหญิงงามที่เปิดเผยจริงใจอย่างอวี้ถังเดิมก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นคนที่อยู่ในใจเขาด้วย
เผยเยี่ยนรู้สึกเหมือนตัวเบาจนแทบลอยได้
เหมือนครั้งแรกที่ได้รับคำชมจากบิดาว่าเขียนเรียงความได้ดี ครั้งแรกที่ร่วมสอบหน้าพระพักตร์ ครั้งแรกที่สวมชุดขุนนาง…มิน่าคนอื่นมักเอาลำดับชื่อบนป้ายทองกับคืนเข้าหอมาเปรียบเทียบกัน
เขาเลิกคิ้วสูงแล้วหัวเราะออกมา “ต่อไปเดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้วมิใช่รึ?”
หัวใจของอวี้ถังเต้นกระหน่ำ
พอคนที่ไม่ชอบยิ้มได้เผยยิ้มออกมา ทั่วร่างคล้ายสว่างไสวไปหมด ทำให้คนมองแทบรับไม่ไหว
นางลืมตอบคำถามของเผยเยี่ยน ได้แต่ยิ้มส่งให้อย่างโง่งม
เด็กคนนี้ ไม่รู้จักเก็บอาการเลยสินะ
เผยเยี่ยนอมยิ้มมุมปาก หน้าตาชื่นบานยิ่ง ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มของตนอ่อนโยนเพียงไหน ในใจเพียงนึกว่าโชคดีที่เขาพาอวี้ถังมาตกปลาเพียงลำพัง ไม่อย่างนั้นหากคนอื่นมาเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง จะต้องเดาความรู้สึกของคนทั้งคู่ออกหมดแน่
เขาลอบชื่นชมตัวเองอีกครั้งที่ตัดสินใจให้อวี้ถังคอยมาเรียนรู้การดูแลเรื่องในสกุลกับมารดาของเขาก่อน พวกเขาจะได้ใช้เวลาร่วมกันด้วย
อวี้ถังกับเผยเยี่ยนคนหนึ่งยืนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างศาลาเหมันต์ แม้จะเงียบงันไร้เสียงแต่ก็เคียงข้างกันอย่างสุขใจ หากมิใช่อาหมิงเกี่ยวไส้เดือนใส่ตะขอเบ็ดเสร็จแล้วตะโกนเรียกเผยเยี่ยน สองคนก็อาจอยู่ในความเงียบเช่นนั้นไปเรื่อยๆ
เสียงตะโกนของอาหมิงไม่เพียงทำลายความสงบของคนทั้งคู่ ทั้งยังพาอวี้ถังกลับสู่อารมณ์ย่ำแย่ก่อนหน้านี้ด้วย
นางขมวดคิ้วจนชนกัน
เผยเยี่ยนเหลือบมองนางอย่างขบขัน เดินไปทรุดตัวนั่งบนตั่งเตี้ยริมแม่น้ำ จากนั้นก็กวักมือเรียกว่า “เจ้าก็มาตกปลาด้วยกัน”
อวี้ถังเพิ่งเห็นว่า ขั้นบันไดของศาลาเหมันต์ริมน้ำมีตั่งเตี้ยสองตัวโผล่ขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ ตะกร้าไม้ไผ่ที่นางอุ้มมาก็ถูกเชือกมัดเอาไว้ปล่อยลอยอยู่กลางแม่น้ำ เด็กรับใช้แปลกหน้าหลายคนคอยยืนดูแลอยู่ข้างๆ แต่นางกลับไม่เห็นไส้เดือน และหาเหยื่อล่ออื่นๆ ไม่เจอสักอย่าง
นางเดินเข้าไปริมน้ำแล้วชะโชกคอมอง
บนผิวน้ำไม่มีอะไรทั้งสิ้น
แล้วจะตกปลาอย่างไร?
อวี้ถังงึมงำในใจ พลันเห็นเด็กรับใช้เหวี่ยงเบ็ดตกปลาลงน้ำ จากนั้นค่อยส่งคันเบ็ดให้เผยเยี่ยนที่นั่งอยู่บนตั่งไม้ เผยเยี่ยนยื่นมือออกไปรับคันเบ็ด ดวงตาสองข้างจับจ้องที่ปลาตัวขาวซึ่งว่ายน้ำไปมา ระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง
นี่ นี่ก็คือตกปลารึ?
อวี้ถังมองเสื้อผ้าสีขาวดุจหิมะของเผยเยี่ยน
คิดว่าตัวเองคงจะเดาได้ถูกต้องแล้ว
นางยื่นคอมองรอบด้านอีกครั้ง เห็นว่าเด็กรับใช้สองคนกำลังสุมหัวกันเพื่อเกี่ยวบางอย่างกับตะขอเบ็ด
ที่แท้ นี่ก็คือสิ่งที่เผยเยี่ยนเรียกว่าตกปลาอย่างนั้นรึ?
นางคงประเมินเผยเยี่ยนสูงเกินไป
มารน้อยในตัวอวี้ถังได้แต่กุมขมับ รู้สึกว่าเผยเยี่ยนทำให้นางได้ ‘เปิดหูเปิดตา’ อีกครั้งแล้ว
แต่เผยเยี่ยนกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตะโกนเรียกนางว่า “รีบมานั่งเร็วเข้า ข้าให้คนเผาไล่แมลงไปหมดแล้ว พระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะพอดี ส่องไม่โดนเจ้าหรอก ถ้าเจ้าตกปลาได้สองตัวก็จะเริ่มติดใจแล้ว”
เกรงว่านางคงไม่อาจลิ้มรสชาติของคำว่าตกปลาไปตลอดชีวิต
อวี้ถังได้แต่งึมงำคนเดียวเงียบๆ หย่อนตัวนั่งบนตั่งข้างๆ เผยเยี่ยน
เด็กรับใช้ขว้างเบ็ดออกไปแล้ว อาหมิงวิ่งมารับไว้ ก่อนจะส่งให้อวี้ถัง
พออวี้ถังถือมันไว้ในมือก่อนพบว่าเบ็ดตกปลานี้น้ำหนักไม่เบาเลย นางถือได้พักเดียวก็รู้สึกเมื่อย คิดจะเปลี่ยนท่าถือใหม่
เผยเยี่ยนเหมือนมีตาหลัง เขาสั่งเด็กรับใช้ข้างกายว่า “เจ้าไปช่วยคุณหนูอวี้ถือหน่อย”
เด็กรับใช้รีบวิ่งมาหา และช่วยอวี้ถังถือเบ็ดตกปลาเอาไว้
สองมืออวี้ถังว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้นางทำ
นางลองชวนเผยเยี่ยนคุย “ท่านมาตกปลาบ่อยหรือเจ้าคะ?”
ไม่คิดว่าเผยเยี่ยนจะทำเสียง “ชู่ว” ใส่นาง บุ้ยใบ้ว่าห้ามส่งเสียง ก่อนจะกระซิบว่า “ระวังปลาจะตกใจหนีไปหมด”
จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาจับจ้องผิวน้ำต่อไป
พวกนางมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?
ให้นั่งนิ่งๆ อยู่แบบนี้รึ?
อวี้ถังใช้ข้อศอกสองข้างค้ำหัวเข่านั่งเท้าคาง รู้สึกว่าการตกปลาช่างน่าเบื่อหน่าย
แต่ตอนที่พรรคพวกของบิดานางออกไปตกปลากลับสรวลเสเฮฮา บรรยากาศคึกคัก ออกจะน่าสนุกนี่นา!
บางทีอาจเป็นเพราะมากับเผยเยี่ยน การตกปลาถึงเป็นเรื่องจืดชืดเพียงนี้
อวี้ถังเบะปาก ตัดสินใจว่าครั้งหน้าจะไม่มาตกปลากับเผยเยี่ยนอีกแล้ว แต่จู่ๆ เด็กรับใช้ที่ถือคันเบ็ดให้นางก็วิ่งเข้ามาหานางสองก้าว
นางตกใจสะดุ้งโหยง
เพราะเอนตัวไปด้านหลัง ทำให้นางเกือบหงายท้อง…จากนั้นนางก็เห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจของเด็กรับใช้ที่ถือคันเบ็ด…ปลาขนาดใหญ่หนึ่งฉื่อกำลังลอยอยู่เหนือผิวน้ำ…
“ไม่เลวๆ!” เผยเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ลุกยืนขึ้นพลางกล่าวชมอวี้ถัง “ไม่คิดว่าแค่เหวี่ยงเบ็ดลงไปเจ้าก็ตกปลาได้ทันที”
ทันใดนั้นเด็กรับใช้ก็วิ่งมาหา ในมืออุ้มตะกร้าไม้ไผ่ที่นางถือมาก่อนหน้านี้
ปลาถูกจับใส่ตะกร้าแล้ว จากนั้นก็ปล่อยตะกร้าลงแม่น้ำอีก
พวกเด็กรับใช้รีบเกี่ยวเหยื่อล่อใหม่ เหวี่ยงคันเบ็ดลงน้ำ ช่วยนางถือคันเบ็ดไว้…
นี่ก็คือการตกปลาของเผยเยี่ยน
เอาเถอะ!
นางไม่ควรคาดหวังอะไรกับคนที่รักความสะอาดเกินขั้นอย่างเผยเยี่ยนตั้งแต่แรก
ไม่นานหลังจากนั้น อวี้ถังก็สามารถนั่ง ‘ตกปลา’ อย่างสงบใจได้
นางคิดว่าทัศนียภาพที่นี่งดงามมากเลยทีเดียว
หากนั่งมองจากตรงนี้ ก็จะเห็นแสงสะท้อนผิวน้ำและสีสันต่างๆ ของภูเขา
แต่อวี้ถังก็อดจะชวนเผยเยี่ยนคุยไม่ได้อยู่ดี “ช่วงฤดูใบไม้ร่วงท่านมาทำอะไรที่นี่? ตอนนั้นไม่น่าใช่ช่วงที่เหมาะกับการตกปลานี่เจ้าคะ?”
บิดาของนางมักจะออกไปตกปลาช่วงหน้าร้อน
นางคิดถึงม้วนภาพที่เสียบอยู่ในกระถางดินเผาใบใหญ่ในห้องหนังสือของเผยเยี่ยน “ท่านชอบวาดภาพหรือไม่? แล้วมาวาดภาพที่ศาลาเหมันต์นี้ได้หรือเปล่า?” จากนั้นก็นึกเรื่องที่เขาวาดแบบดอกไม้ให้ร้านเครื่องลงรักของสกุลนาง “ข้าได้ยินมาว่าการวาดดอกไม้จะต้องชื่นชมดอกไม้ให้มาก จะได้รู้ว่าดอกไม้เบ่งบานตอนไหน เช่นนี้ก็จะสามารถวาดดอกไม้ออกมาได้ทุกรูปแบบ ท่านวาดดอกไม้ออกมาได้สวยงามปานนั้น คงเพราะคอยสังเกตและชื่นชมดอกไม้มาเป็นเวลานานแล้วใช่หรือไม่?”
เสียงเจื้อยแจ้วจอแจ แม้จะน่าฟังเสนาะหู แต่เหมือนมีนกขมิ้นเหลืองร้อยตัวมาร้องข้างหูเขา
เผยเยี่ยนค่อนข้างหงุดหงิดใจ
ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยเก็บคำพูดเขามาใส่ใจอย่างอวี้ถังอีกแล้ว
เขาบอกไปแล้วว่าไม่ให้นางส่งเสียง เพราะจะทำให้ปลาหนีหมด นางก็เงียบเสียงได้เพียงครู่เดียว…
เผยเยี่ยนหันหน้ามามอง เห็นว่าสายตาของนางเปล่งประกายยิ่งกว่าปกติด้วยความอยากรู้อยากเห็น คำพูดทั้งหมดจึงหายลงคอไปทันที
อวี้ถังยังถามต่ออีกว่า “ข้ารู้ว่าทางนี้มีห้องอุ่น แล้วเรือนที่ท่านพักมีห้องอุ่นหรือไม่?”
เผยเยี่ยนข่มใจอดทน แต่สุดท้ายก็ตอบไปว่า “มีห้องเดียว แต่เล็กกว่าที่นี่ ห้องอุ่นที่ใหญ่สุดของจวนสกุลเผยอยู่ที่ด้านหลังเรือนท่านแม่เฒ่า ท่านย่าทวดของข้าชอบปลูกดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ ห้องอุ่นคล้ายว่าจะมีมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เพิ่งมาขยายใหญ่ตอนรุ่นท่านย่าทวดข้า ภายหลังท่านแม่แต่งเข้ามา เพราะท่านตาก็ชอบปลูกดอกไม้ จึงให้พันธุ์ไม้หายากล้ำค่ามาจำนวนมาก จนต้องขยายห้องให้ใหญ่อีกรอบหนึ่ง เรือนที่หังโจวซึ่งเจ้าเคยไปพักก่อนหน้านี้ก็มีห้องอุ่นเหมือนกัน ท่านตาข้าเป็นคนสร้างเอาไว้ ตอนที่ท่านตาสุขภาพไม่ดี เขากลัวว่าคนจะละเลยไม่มีใครคอยดูแลดอกไม้ ถึงได้ย้ายดอกไม้มากกว่าครึ่งมาไว้ที่ห้องอุ่นสกุลข้า หากว่าเจ้ามีเวลา ก็ลองไปดูได้ แค่ดอกกล้วยไม้ ในห้องอุ่นนั้นก็มีไม่ต่ำกว่าหกร้อยชนิด ถ้าเกิดเจ้าชอบ ถึงเวลานั้นค่อยย้ายบางส่วนไปปลูกที่ห้องอุ่นของเรือนเรา”
อะไรคือ ‘เรือนเรา’!
อวี้ถังหน้าแดงเถือก ไม่กล้ามองหน้าเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนงุนงงไปชั่วขณะ ผ่านไปพักหนึ่งถึงเข้าใจ แต่รอให้เขาได้สติกลับมา ก็เหลือเพียงความรู้สึกหวานล้ำแล้ว
เหมือนว่าการแต่งงานก็น่าสนุกไม่เลวทีเดียว
อย่างน้อยก็คงสนุกกว่าตกปลาแน่
เขาหยัดตัวนั่งตรง มองผิวน้ำเรียบนิ่งไร้คลื่น “อาถัง เจ้าชอบเรือนที่ข้าอยู่ตอนนี้ไหม? อยากจะเปลี่ยนไปอยู่เรือนหลังอื่นหรือเปล่า? หรือไม่ข้าจะไปพูดกับมารดา ตอนวันตวนอู่ที่ไปชมเรือมังกร พวกเรากลับไปพักที่จวนสักหลายวัน เจ้าจะได้ลองเดินชมดูว่าชื่นชอบเรือนแบบไหน ถึงเวลานั้นพวกเราก็ค่อยย้ายเข้าไปอยู่เรือนหลังนั้น”
———————————————————–
[1]ต้นเฟิง คือ ต้นเมเปิ้ล