ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 318 ยอมรับตัวเอง
อย่างไรบ้านหลักสกุลหลี่ก็ควบคุมเรื่องราวต่างๆ ในสกุลหลี่ จําต้องทําเป็นตัวอย่างแก่ เครือญาติวงศ์สกุลทั้งหมด แม้จะกล่าวว่าบ้านของหลี่ตวนแยกสายสกุลแล้ว แต่ยามนี้ย่อมไม่ อาจตอกยํ้าซํ้าเติม ทําให้ผู้อื่นซุบซิบนินทา เมื่อรู้ว่าหลี่ตวนกลับบ้านเกิดมากับหลินซื่อ ผู้นําสกุล ก็พาลูกชายคนโตไปสกุลหลี่ด้วยตัวเอง
เนื่องจากไม่มีคนในสกุลหลี่คอยช่วยเหลือดูแล บ่าวรับใช้ของบ้านหลี่ตวนที่คิดไม่ซื่อจึง หอบทรัพย์สินในสกุลหลี่วิ่งหนีไปนานแล้ว ผู้ที่ยังหลงเหลืออยู่ล้วนเป็นบ่าวรับใช้หลายชั่วอายุ คนที่มีความจงรักภักดี แต่คนเช่นนี้นับว่ามีน้อย ศาลาพลับเพลาที่เคยวิจิตรตระการตาในอดีต ยามนี้ล้วนจับฝุ่นสกปรก ปรากฏภาพเสื่อมโทรมให้เห็นอย่างชัดเจน
ผู้นําของสกุลหลี่ยืนอยู่ในลานเรือนก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง สกุลหนึ่งจําต้องใช้ความพยายามถึงหลายชั่วอายุคน ยามที่ ตกตํ่ากลับใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
เขาถามหลี่ตวน “มีอะไรต้องการให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่?”
หลี่ตวนไหนเลยจะมีหน้าขอให้บ้านหลักช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นปีนั้นบ้านหลักและพวก เขาก็แยกสายสกุลกันอย่างน่าผิดแปลก เขาสงสัยมาตลอดว่าภายในนี้มีคนยุยงอะไรหรือไม่ เพียงแต่ภายหลังมัวกังวลกับเรื่องทางเมืองหลวง จึงไม่มีโอกาสไปตรวจสอบ และยามนี้เขายิ่ง ไม่อาจตรวจสอบ…สกุลพวกเขาตกตํ่าลงแล้ว หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนในวงศ์สกุลของตัวเอง ย่อมเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น กระตุ้นคนที่มีเจตนาร้ายต่อสกุลพวกเขาฉวยโอกาสซํ้าเติม ทํา ให้สกุลพวกเขาตกสู่สถานการณ์ยากลําบาก หากเป็นคนนอก เดาไปเดามา ก็มีเพียงไม่กี่สกุล แม้ว่าจะเป็นยามที่สกุลพวกเขารุ่งโรจน์ก็ยังหลบหลีกสกุลพวกนั้น นับประสาอะไรกับยามนี้ที่ แค่รักษาตัวเองยังเป็นเรื่องยากลําบาก
เหมือนกับที่บิดาของเขาพูด ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะชําระบัญชีแค้น ขอเพียงแค่เขาบาก บั่นเรียนหนังสือ ฟื้นฟูสกุลขึ้นมาใหม่ บัญชีเหล่านี้จึงจะสามารถสะสางได้
หลี่ตวนคํานับให้นายท่านใหญ่ผู้นําสกุลอย่างนอบน้อม เอ่ยว่า “เรื่องในเรือนข้ายังพอ รับมือได้ หากมีอุปสรรคตรงไหน จะขอร้องท่านอีกที แค่ท่านมาดูพวกเราในยามนี้ได้ พวกเราก็ ซาบซึ้งเป็นที่สุดแล้ว”
อย่างไรเขาก็เป็นจวี่เหริน ไม่แน่ว่าอาจมีวันใดที่สกุลรํ่ารวยขึ้นมาได้
นายท่านใหญ่ปลอบใจหลี่ตวนเป็นพิธี ก่อนจะมอบเงินจํานวนหนึ่งให้หลี่ตวน “เป็น นํ้าใจเล็กน้อยของข้าเอง เจ้ารับไว้เถิด รอภายหลังมีแล้ว ค่อยคืนให้ข้าก็ไม่สาย”
หลี่ตวนขาดแคลนเงินทองจริงๆ ทั้งมั่นใจว่าตอนแรกบ้านหลักสกุลหลี่ต้องทําเรื่องรู้สึก ผิดต่อสกุลพวกเขา กล่าวเป็นมารยาทไม่กี่คํา ก่อนจะรับไว้
นายท่านใหญ่บ้านหลักของสกุลหลี่ค่อยพาลูกชายบอกลาออกไป
หลินซื่อถูกสาวใช้พยุงออกมาจากในห้องโถง เอ่ยว่า “ของมีค่าในเรือนล้วนถูกขโมย ออกไป ยังมีของบางอย่างที่บรรพบุรุษเหลือไว้ใช้ในยามเข้าตาจน ข้าเก็บออกมาแล้ว”
แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบหน้านางอย่างสลัว พาให้รอยย่นที่หางตานั้นเด่นชัดขึ้น เทียบกับตอนที่ออกจากหลินอันนับว่าดูชราลงเกือบสิบปี ยามที่ยืนก็ไม่ได้หลังตรงผ่าเผยอีก แล้ว
หลี่ตวนเข้ามาประคองหลินซื่ออย่างรู้สึกสงสารอยู่บ้าง เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ท่านแม่ เรื่อง พวกนี้ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเอง เย็นวันนี้ท่านพักผ่อนดีๆ เสีย เช้าตรู่พรุ่งนี้พวกเราก็จะ ไปแล้ว”
ไม่อาจให้คนหลินอันรู้ว่าพวกเขากลับมา
หลินซื่อกลับไม่อยากพักอยู่ที่นี่นานแม้แต่หนึ่งเค่อ เอ่ยว่า “พวกเราเดินทางคืนนี้เลย ขึ้น เรือไป เรื่องในเรือนพวกนี้จัดการเรียบร้อยแล้วกระมัง? สิ่งที่ควรทิ้งก็ทิ้งไปเสีย ไม่ต้องเสียดาย เงินทองล้วนเป็นของนอกกาย ไม่ตายย่อมสามารถหากลับมาใหม่ได้”
สีหน้าของนางเยือกเย็นยิ่งกว่าแต่ก่อน
หลี่ตวนผงกศีรษะ เอ่ยว่า “ไหว้วานหลี่ซื่อหมดแล้ว สกุลพวกเราเกิดเรื่อง เขายังให้คน นําเงินยี่สิบตําลึงมาให้สกุลพวกเรา”
หลี่ซื่อเป็นเครือญาติคนหนึ่งในสกุลหลี่ของพวกเขา เป็นลูกของอนุภรรยา หลังจาก แยกตัวออกไปอยู่ข้างนอกก็บังเอิญได้เป็นนายหน้า การจํานําภายในสกุลหลี่ล้วนต้องเรียกหา เขาเป็นส่วนใหญ่
หลินซื่อพยักหน้า เอ่ยอย่างดุดันว่า “ลุงของเจ้าช่างใจดําจริงๆ ตอนแรกไม่รู้ว่าได้รับ ประโยชน์จากสกุลพวกเราไปเท่าใด ครั้งนี้เห็นสกุลพวกเราประสบเคราะห์ กลับยืนดูดาย ภายหลังหากเจ้ารํ่ารวยแล้ว อย่าได้ไปมาหาสู่กับเขาอีกเชียว”
หลี่ตวนลังเลไปพักใหญ่ ก่อนจะผงกศีรษะขานว่า ‘เข้าใจแล้ว’ กลับจุดประกายความ ไม่พอใจของหลินซื่อขึ้นมา “สิ่งที่ข้าพูดตกลงเจ้าฟังเข้าหูหรือไม่? ข้าไม่ได้พูดเพราะโกรธ แต่คน เช่นนี้เดิมทีก็ไม่ควรคบค้าสมาคม ยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นสกุลลุงของเจ้า ยามที่ได้ประโยชน์ เข้า มาพึ่งพา ยามที่พบเรื่องราวกลับหลบหลีกออกไปไกล หากข้ารู้ว่าเจ้าติดต่อกับพวกเขาอีก ระวัง ข้าจะไม่นับเจ้าเป็นลูกชายเถิด” “เข้าใจแล้ว” หลี่ตวนตอบรับ ในใจกลับกระวนกระวายอยู่บ้าง ตอนแรก เขานําเงินก้อนใหญ่ของสกุลเผิงมา ทั้งยังทําเรื่องที่ไม่ดีอยู่บ้างให้สกุลเผิง… แต่ว่า พวกเขาเร้นกายในหังโจว ทั้งหังโจวยังเป็นสถานที่ที่สกุลใหญ่ของเจียงหนาน อาศัยอยู่ สกุลเผิงย่อมไม่อาจทําอะไรบุ่มบ่าม หลี่ตวนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลินซื่อ “เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางในคืนนี้เถิด” หลินซื่อผงกศีรษะ สองแม่ลูกนําสิ่งของที่จําเป็นห่อใส่สัมภาระย้ายไปไว้ในรถล่อ ฉวยยามที่เมืองหลินอัน ยังไม่ถึงเวลาห้ามออกจากเคหะสถาน ไปยังท่าเรือเสาซีอย่างเงียบเชียบ แต่ว่าเส้นทางที่ไปยังท่าเรือเสาซีจําต้องผ่านตรอกชิงจู๋
ตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงบ บนกําแพงบ้านเรือนสีชมพูอ่อนนั้นเผยให้เห็นต้นไผ่สีเขียว สดใส
หลี่ตวนอดมองดูหลายครั้งไม่ได้
ก่อนจะเห็นเกี้ยวสองหลังหยุดอยู่ท้ายตรอกชิงจู๋ ม่านเกี้ยวถูกแหวกออก เผยเยี่ยน และอวี้ถังเดินลงมาจากเกี้ยวทั้งสอง
หลี่ตวนบีบมือแน่น เกาะขอบหน้าต่างรถ
เห็นเพียงเผยเยี่ยนดึงมือของอวี้ถัง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับอวี้ถัง อวี้ถังเผยสีหน้าขวยเขิน ก้ม ศีรษะลง เผยเยี่ยนคล้ายราวกับพอใจ ยังลูบผมด้านข้างของอวี้ถังเบาๆ
นอกจากอวี้ถังจะไม่โกรธ ยังเงยหน้าถลึงตามองเผยเยี่ยนอย่างคาดโทษ
หลี่ตวนทรุดตัวลงนั่งในรถล่อ
หลินซื่อถามอย่างกังวล “เป็นอะไรรึ?”
หลี่ตวนส่ายศีรษะ เงียบไปพักใหญ่
เผยเยี่ยนและอวี้ถัง…เรื่องราวมากมายที่เขาไม่เข้าใจ ชั่วพริบตานั้นล้วนกระจ่างแจ้ง ขึ้นมา
เขาสั่นสะท้านไปหมด
ไม่แปลกใจที่คนพูดกันว่า พิษของงูเขียวไผ่ เหล็กไนของต่อ ล้วนสู้จิตใจของหญิงสาว มิได้
นี่นางคงทําเพื่อล้างแค้นให้เด็กสกุลเว่ยผู้นั้นกระมัง?
หลี่ตวนรู้สึกว้าวุ่นในใจ หวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากรู้จักอวี้ถัง ไม่รู้ว่าทําเรื่องไหน ผิดไป ทั้งไม่รู้ว่าผิดตรงไหน จึงได้มีสถานการณ์ดั่งเช่นทุกวันนี้ได้
หากเขาเสียใจตอนนี้ จะยังทันหรือไม่?
ทั้งควรจะเริ่มปรับปรุงแก้ไขตั้งแต่ยามใด?
หลี่ตวนไม่รู้กระทั่งเรื่องนี้
หลินซื่อเห็นจู่ๆ เขาก็มีสีหน้าซีดเผือด เดิมทีย่อมไม่เชื่อคําพูดของเขา ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะออกคําสั่งกับคนขับรถ “ย้อนกลับไป ข้าอยากจะเห็นว่า เป็นเรื่องอะไรที่ทําให้เจ้าสติ หลุดลอยเช่นนี้?”
ประโยคสุดท้ายนั้นถามหลี่ตวน
หลี่ตวนละลํ่าละลักเอ่ย “ไม่มีอะไร ข้าเพียงนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ ท่านอย่าย้อนกลับไปให้ เปลืองแรงเลย พวกเรายังต้องทําเวลาออกจากเมือง รีบกลับหังโจวกันเถิด! พวกเราใช้เวลา เดินทางนานเช่นนี้ ทางหังโจวก็มีเรื่องราวมากมายรอพวกเราอยู่เช่นกัน พวกเราไม่จําเป็นต้อง มาชักช้าที่หลินอัน”
แต่คนขับรถเป็นคนสนิทของหลินซื่อ หลินซื่อเผยสีหน้าถมึงทึง เขาจะกล้าไม่ฟังได้ อย่างไร
คล้อยหลังหลินซื่อก็เห็นเผยเยี่ยนส่งอวี้ถังขึ้นเกี้ยว เผยเยี่ยนยังบีบมืออวี้ถัง รอจนเกี้ยว ของอวี้ถังหายลับไปจากท้ายตรอกชิงจู๋ ยามนี้เผยเยี่ยนจึงค่อยนั่งเกี้ยวจากไป
“นังแพศยา!” หลินซื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไม่แปลกใจที่พ่อของเจ้าจะถูกคุมขัง! ข้าจะฆ่า นาง!”
หลี่ตวนไม่ปริปากอันใด
หลินซื่อบีบแขนหลี่ตวนด้วยใบหน้าดุดัน แผดเสียงก้อง “เจ้าได้ยินหรือไม่? ข้าอยาก ให้นังแพศยานั่นตาย! เจ้าได้ยินหรือไม่!”
หลี่ตวนรู้สึกเจ็บปวด กลับไม่แสดงอาการใด ขานรับว่า ‘อืม’ เสียงเบา
รถล่อของสกุลหลี่เดินทางไปถึงท่าเรือเสาซีอย่างโอนเอน หลี่ตวนพยุงหลินซื่อขึ้นเรือที่จ้างมา
ทางเผยเยี่ยนทราบถึงข่าวนี้ทันที
“ยังกลับเมืองหังโจวไปแล้ว?” เขาวางพู่กันในมือลง ถามเผยชี “ไม่ใช่กล่าวว่าทรัพย์สิน ที่หังโจวขายไปหมดแล้วอย่างนั้นรึ? พวกเขาพักอยู่ที่ใด? เป็นใครที่ช่วยเหลือพวกเขา?”
“เป็นอาจารย์เสิ่น” เผิงชีกล่าวทั้งขมวดคิ้ว “อาจารย์เสิ่นใช้ชื่อตัวเองในการเช่าซื้อเรือน ริมนํ้าสองหลังไม่ไกลจากถนนเสี่ยวเหอให้สกุลหลี่”
เผยเยี่ยนแค่นหัวเราะ รับผ้าเช็ดหน้าที่เด็กรับใช้ส่งมา เอ่ยว่า “หมายความว่า เสิ่นซ่าน เหยียนยังหวังให้หลี่ตวนรํ่าเรียนหนังสือเป็นขุนนาง ฟื้นฟูสกุลขึ้นมาอีกครั้ง? ช่วงนี้เขาคงจะว่าง เกินไปกระมัง? เจ้าไปเรียกหูซิ่งเข้ามา”
ให้หูซิ่งหาเรื่องให้เขาทําเสียหน่อย เขาจะได้ไม่มีเวลามายุ่งเรื่องพวกนี้
เผยชีรับคําสั่งจากไป เผยเยี่ยนก็ไม่มีอารมณ์จะเขียนแผนกิจการอีกแล้ว
ช่วงหน้าร้อนนี้ ยามที่เขาอยู่หลินอัน นอกจากจัดการเรื่องยิบย่อยในสกุลเผย ยังไป สํารวจศึกษาในร้านค้าของสกุลอวี้ ไม่เพียงเข้าใจทักษะเครื่องลงรักแกะสลักสีแดง ยังช่วย สกุลอวี้แก้ไขจุดที่ไม่เหมาะสมมากมาย นอกจากทําให้สกุลอวี้ทําแม่พิมพ์ใหม่ออกมาอย่าง ราบรื่น ยังวางแผนจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่งมอบให้คนของสกุลอวี้ศึกษา สกุลอวี้มีหนังสือเล่มนี้ ย่อมสามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถแถวนี้ให้ฝากตัวกับพวกเขา เช่นนี้แล้ว โรงงานของ สกุลอวี้ก็จะมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ทั้งรับคําสั่งซื้อได้มากขึ้นเช่นกัน
เขาผลักบานหน้าต่างออกไป สูดลมหายใจเข้าอย่างเงียบๆ คิดว่าตัวเองควรไปเอา ความดีความชอบต่อหน้าอวี้ถังเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นสาวน้อยผู้นี้ย่อมลืมเขาไว้ด้านหลัง
นางกลับไปสองวันแล้ว กลับไม่เขียนจดหมายให้ตัวเองสักฉบับ ดูท่างานแต่งของเขา จัดเร็วหน่อยคงเป็นเรื่องดีแล้ว กู้ฉ่างแต่งวันที่ยี่สิบหกเดือนเก้า พวกเขากําหนดวันที่หกเดือนสิบก็เพียงพอแล้ว เซ่น ไหว้บรรพบุรุษแล้วออกเรือน สกุลพวกเขายังสามารถฉลองปีใหม่ได้อย่างสบายๆ ดีอะไรเช่นนี้! เผยเยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ายอดเยี่ยม ก่อนจะพลิกปฏิทินโหราศาสตร์ด้วยตัวเอง เพียงแค่เขาเปิดดูไม่กี่หน้า หูซิ่งก็เข้ามา
เผยเยี่ยนไล่บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกายออกไป ก่อนจะวางแผนเรื่องสกุลหลี่กับหูซิ่ง “ข้าหลวงอูที่มาใหม่เป็นคนซื่อชวน คงไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกับใต้เท้าเสิ่น แต่เจ้าก็ไป ตรวจสอบเสียหน่อย ช่วงนี้ตําบลซินเฉียวไม่ใช่ว่าเกิดคดีลูกสะใภ้ฆ่าแม่สามีหรอกรึ? ใต้เท้าเสิ่น เป็นผู้ทรงธรรมของยุค ทั้งเป็นอาจารย์ของสํานักศึกษาประจําอําเภอ ควรจะรับผิดชอบในการ สั่งสอนคุณธรรมให้ชาวบ้านได้สิ เรื่องในสํานักศึกษาสามารถปล่อยไปได้ ส่วนทางสกุลหลี่ ครอบครัวเพื่อนบ้านนั้นจะไม่สนใจว่าลูกชายของขุนนางทุจริตมาอาศัยอยู่ใกล้ๆ เรือนเชียวรึ? ยังมีจวนในหลินอันของสกุลหลี่ ขนาดใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังประสบเคราะห์หนัก ฮวงจุ้ยคงไม่ค่อยดี เท่าใด ย่อมไม่อาจขายได้ง่ายๆ หรอกกระมัง?” หูซิ่งเข้าใจทันที รับคําสั่งด้วยรอยยิ้มก่อนจะออกไป เผยเยี่ยนนําหนังสือที่ยังเขียนไม่เสร็จออกมาอ่านอีกครั้ง เมื่อไม่พบจุดผิดพลาดอันใด ก็กลับห้องไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะไปหาท่านแม่เฒ่า ท่านแม่เฒ่าเพิ่งจะกลับจวน กําลังฟังผู้ดูแลรายงานขั้นตอนในเทศกาลไหว้พระจันทร์ เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “ไฉนไม่รั้งคุณหนูอวี้ให้อยู่ช่วยท่านล่ะ?” ท่านแม่เฒ่าคว้าหนังสือในมือลูกชายมาพลิกดูไม่กี่หน้าอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ ออก เอ่ยว่า “เคยเห็นคนลําเอียง แต่ไม่เคยเห็นเจ้าลําเอียงเช่นนี้มาก่อน เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างให้ ข้าช่วยสั่งสอนนาง หรือนางยังจะทําไม่เป็นอีกรึ?”
เผยเยี่ยนหน้าหนา เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์จะให้นางได้ฝึกฝนพอดีอย่าง นั้นหรือ? เมื่อถึงยามขึ้นปีใหม่ ท่านก็ไม่จําเป็นต้องยุ่งเรื่องพวกนี้แล้ว สนใจแค่เพียงแทะเมล็ด แตงโม คุยเล่นกับพวกอาสะใภ้อี้ก็พอ ไม่ใช่ว่าจะอยู่ได้อย่างสบายๆ หรอกหรือ!”