ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 34 แผนรับมือ
ผู้ที่นอนไม่หลับอีกคนยังมีมารดาของเด็กที่ขโมยของผู้นั้น
เมื่อมารดาของเด็กคนนั้นได้ยินความเคลื่อนไหวของสกุลอวี้ นางก็จัดการตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วออกมาด้านนอก เห็นป้าเฉินกำลังกวาดลานบ้าน นางไม่ปริปากกล่าวอันใด หาไม้กวาดมาอันหนึ่งก็เริ่มทำความสะอาดทันที ป้าเฉินขัดขวาง นางจึงกอดไม้กวาดพลางวิงวอนอย่างขื่นขม “ท่านให้ข้าช่วยทำอะไรเพื่อพวกท่านบ้างเถิด มิเช่นนั้น ข้าคงไม่มีหน้าไปพบนายหญิงอวี้”
ป้าเฉินไม่อาจห้ามนางได้ จึงมอบงานกวาดลานบ้านให้นางอย่างรู้แล้วรู้รอดไป ส่วนตัวเองก็ไปยุ่งอยู่ในครัวแทน
มารดาของเด็กคนนั้นดีอกดีใจ ตั้งใจปัดกวาดลานอย่างขะมักเขม้น
อวี้ถังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ฟังเสียงกวาดพื้น ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนไปเคาะประตูห้องอาเสา
อาเสาหาวหวอดออกมาเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นอวี้ถังก็ตกใจพลันตื่นเต็มตาทันที รีบร้อนกล่าว “คุณหนู มีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”
อวี้ถังกล่าว “เจ้าเรียกขโมยผู้นั้นออกมา”
อาเสาจึงเข้าไปเรียกคน
บางทีอาจเป็นเพราะนอนไม่ค่อยหลับ เด็กคนนั้นจึงมีท่าทีเซื่องซึม ดวงตาแดงก่ำราวกับเมล็ดลูกท้อ
อวี้ถังชี้ไปยังหญิงที่กวาดลานบ้านอยู่ “เจ้าดูสิ เจ้าทำเรื่องงามหน้าไว้ กลับต้องให้มารดาช่วยเจ้าชดใช้ วันนี้ฟ้าไม่ทันสางนางก็ลุกขึ้นมาช่วยคนของข้ากวาดลานบ้านแล้ว”
เด็กคนนั้นน้ำตารื้นขึ้นมาทันที
อวี้ถังกล่าว “ท่านพี่ของข้าไปตามท่านพ่อแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบบอกข้าให้เร็วๆ เสีย มิเช่นนั้น หากรอให้ท่านพ่อสืบหาได้เอง เจ้าก็รอรับผลที่ตามมาได้เลย”
“ข้าพูดในสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว” เด็กคนนั้นน้ำตานอง สะอื้นกล่าว “จากนี้ข้าไม่กล้าทำอีกแล้วจริงๆ”
อวี้ถังเห็นว่าไม่อาจถามอะไรได้ ก็กำชับให้อาเสาดูคนให้ดี ก่อนจะไปหาคนสกุลเฉิน
คนสกุลเฉินก็นอนไม่ค่อยหลับเช่นกัน กำลังคลึงศีรษะไปมา
อวี้ถังเรียก ‘ท่านแม่’ ก่อนจะเข้าไปช่วยนวดขมับ กล่าวปลอบโยน “ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ท่านพี่ไปตามท่านพ่อแล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีคนมาขโมยของง่ายๆ อีก”
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด!” คนสกุลเฉินถอนหายใจ
อวี้ถังครุ่นคิดเล็กน้อย “เมื่อวานโชคดีที่เพื่อนบ้านช่วยเหลือไว้ ท่านว่าทำขนมไปส่งให้พวกเขาที่บ้านเพื่อขอบคุณเสียหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“จริงสิ” คนสกุลเฉินได้ฟังก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กล่าวชม “อาถังของพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ รู้จักมีมนุษย์สัมพันธ์เสียด้วย”
คนสกุลเฉินเผยท่าทีชื่นอกชื่นใจ
อวี้ถังอมยิ้ม
คนสกุลเฉินมีเรื่องให้ทำ จึงไม่นึกถึงเรื่องเมื่อวานอีกแล้ว
หลังจากกินข้าวเช้า นางและป้าเฉินก็ทำขนมไป๋ถังเกา[1]หนึ่งหม้อ ทั้งแบ่งใบชาในเรือนออกมา ก่อนจะนำไปให้แต่ละบ้านเพื่อแสดงความขอบคุณ รอจนส่งขนมเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดี
อวี้เหวินกลับมาโดยขี่ล่อของนายท่านอู๋
“แล้วอาหย่วนล่ะ?” คนสกุลเฉินถามอย่างแปลกใจ
อวี้เหวินเอ่ยอย่างอ้อมค้อม “ข้าให้เขาไปทำธุระนิดหน่อย อาหารเสร็จแล้วหรือ? อีกสักพักยังต้องเอาล่อไปคืนนายท่านอู๋ ทั้งต้องเตรียมของให้เป็นมารยาท เรื่องเมื่อวาน เขาช่วยไว้ไม่น้อย”
เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องปิดบังคนสกุลเฉิน
คนสกุลเฉินเห็นเขามีท่าทีไม่ค่อยดี จึงกำชับอวี้ถังไปช่วยป้าเฉินจัดโต๊ะในครัว ส่วนตัวเองก็ไปตักน้ำ ล้างหน้าสางผมให้อวี้เหวิน
อวี้เหวินผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา ก่อนจะถามคนสกุลเฉิน “ขโมยผู้นั้นกับแม่ของเขาล่ะ?”
คนสกุลเฉินกล่าว “อยู่ในโรงฟืน กลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า”
อวี้เหวินไม่ได้สนใจสองแม่ลูกคู่นั้น เพียงร่วมโต๊ะอาหารกับคนสกุลเฉินและอวี้ถังก่อนจะหิ้วขนมและน้ำชา ไปคืนล่อให้นายท่านอู๋ด้วยตัวเอง เวลานี้จึงค่อยได้นั่งลงดีๆ พูดคุยกับคนสกุลเฉินและอวี้ถัง “หลังจากข้าไปเรือนนายท่านอู๋ ก็ไปหาผู้นำหมู่บ้าน ตรอกชิงจู๋ของพวกเราไม่เคยมีคนลักเล็กขโมยน้อยมาตั้งหลายปี เด็กผู้นี้ปล่อยไว้ไม่ได้ แต่เห็นแก่หน้าเพื่อนบ้าน ข้าจะไม่ส่งเขาให้ทางการ มอบเขาให้ครอบครัวจัดการลงโทษกันเอง ผู้นำหมู่บ้านก็เห็นด้วย อีกสักพักเขาจะเข้ามาพาคนไป”
คนสกุลเฉินโล่งใจขึ้นมา “แบบนี้ก็ดี จะได้ไม่เสียชื่อเสียงของตรอกชิงจู๋พวกเราด้วย” จากนั้นนางก็ถามเรื่องของหลู่ซิ่น “กำหนดฤกษ์ฝังศพแล้วหรือยัง? มีอะไรให้พวกเราช่วยหรือไม่?”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ อวี้เหวินก็รู้สึกเศร้าโศก “เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า จะให้ดึงพวกเจ้าเข้าไปเกี่ยวได้อย่างไร ข้าและพระในวัดจะฝังศพเขาพรุ่งนี้ ถึงเวลานั้นให้อาหย่วนไปช่วยเสียหน่อยก็เพียงพอแล้ว พวกเจ้าพักผ่อนสบายๆ อยู่ที่เรือนเถิด ทำเรื่องของพวกเจ้าไป”
ระหว่างที่พูด อวี้หย่วนก็กลับมา
อวี้เหวินเอ่ยกับคนสกุลเฉิน “อีกเดี๋ยวข้าจะกลับไปที่วัด หลู่ซิ่นไร้บุตรธิดา คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเขา อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเตรียมเสื้อผ้าหนาๆ ให้ข้าสักตัวสองตัวเถิด ยามที่ข้าไปวัดจะพกไปด้วย”
คนสกุลเฉินตอบรับก่อนจะออกไป
อวี้เหวินเรียกอวี้ถังทันที “เจ้าตามข้าไปที่ห้องหนังสือ”
อวี้ถังตระหนักได้ว่าบิดาย่อมต้องถามเรื่องภาพนั้นเป็นแน่ ผงกศีรษะ ก่อนจะตามบิดาไปห้องหนังสืออย่างเงียบๆ
อวี้หย่วนก็อยู่เช่นกัน
ทั้งสามคนพูดคุยกันด้วยเสียงเบา
เวลานี้อวี้ถังจึงรู้ว่า ที่แท้อวี้หย่วนได้รับคำสั่งจากอวี้เหวินให้ไปบ่อนพนัน ผู้ดูแลบ่อนไม่ยอมรับว่าถูกคนไหว้วาน ยืนยันว่าตัวเองได้ยินมาว่าเรือนของพวกเขามีภาพวาดเช่นนี้อยู่ ทั้งไม่อยากเสียเงินซื้อ ดังนั้นจึงจ้างวานเด็กคนหนึ่งไปขโมยของที่เรือนพวกเขา
ผู้ดูแลบ่อนกล่าวเช่นนี้ อวี้หย่วนก็ไม่อาจให้เขาเป็นคนกลางได้
ส่วนการตายของหลู่ซิ่นกลับไม่ได้รับข้อมูลอะไร
อวี้เหวินกล่าวว่า “เวลานั้นข้าเพียงคิดอยากย้ายศพกลับมาให้เร็วที่สุดเท่านั้น คนไร้ลมหายใจ เขาตายเมื่อไร ก่อนตายมีอะไรแปลกๆ ทั้งทิ้งของต่างหน้าไว้หรือไม่ ข้าคิดว่าคนตายก็เหมือนตะเกียงที่มอดดับ จึงไม่ได้ถามให้มากความแต่อย่างใด”
เขากล่าวอย่างรู้สึกเสียดาย “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงถามให้ชัดเจนไปแล้ว”
เย็นวันนี้อวี้ถังครุ่นคิดมากมาย ในใจปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างเงียบๆ รอจนบิดาและญาติผู้พี่พูดจบแล้ว นางจึงค่อยกล่าวหยั่งเชิง “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าเรื่องนี้พวกเราต้องสืบให้แน่ชัด อย่าเพิ่งพูดถึงอย่างอื่นเลยแต่อย่างน้อยพวกเราก็ควรรู้ว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงจ้องจะเอาภาพนี้ให้ได้ แม้ว่าพวกเขาอยู่ที่ลับ พวกเราอยู่ที่แจ้ง พวกเราก็ควรหาวิธีจัดการกับอีกฝ่าย มิเช่นนั้นพวกเราคงจะถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะเหมือนหลู่ซิ่วไฉ…”
อวี้เหวินได้ฟัง ใบหน้าก็เขียวคล้ำขึ้นมา
อวี้ถังกล่าว “ท่านพ่อ ท่านพี่ ข้ามีวิธีหนึ่ง”
สายตาของอวี้เหวินและอวี้หย่วนพุ่งเป้าไปที่นาง
ยามนี้นางจึงเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้เถ้าแก่ถงพูดว่า ภาพ ‘คนตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ไม่ถึงกับปลอมทั้งหมด เป็นอาจารย์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมคนหนึ่งแกะกระดาษซวนจื่อ[2]ชั้นบนสุดออกไปแผ่นหนึ่ง เหลือชั้นด้านล่างเอาไว้ จากนั้นก็ลอกภาพวาดจากร่องรอยที่เหลือใหม่อีกครั้งไม่ใช่รึ? เถ้าแก่ถงยังพูดว่า กระดาษซวนจื่อมีหลายชั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็หาอาจารย์ที่มีฝีมือชำนาญ แกะภาพชั้นบนสุดนี้ออก ให้พวกเขาขโมยไป เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากพวกเราจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ ยังสามารถตรวจสอบอย่างละเอียดว่าภาพวาดนี้มีความลับอะไรกันแน่ ท่านว่าเป็นอย่างไร?”
ดวงตาของอวี้เหวินและอวี้หย่วนใสกระจ่างขึ้นมา อวี้เหวินไม่ปิดบังความดีใจของตัวเองแม้แต่น้อย ชื่นชมลูกสาว “อาถัง ตั้งแต่เล็กเจ้าก็หลักแหลมมีไหวพริบ เพื่อลูกอมไม่กี่เม็ด ความคิดพิเรนทร์อันใดก็ล้วนคิดออกมาได้ ในที่สุดวันนี้ความฉลาดของเจ้าก็ใช้อย่างถูกเรื่องเสียที เจ้าพูดมีเหตุผล แทนที่จะให้อีกฝ่ายสงสัยว่าพวกเราส่งภาพปลอมให้เขา สงสัยพวกเราว่าไม่ยินดีขายภาพให้เขา ยังมิสู้ทำอย่างที่เจ้าว่า พวกเราก็ทำของปลอมขึ้นมาอันหนึ่งก็เพียงพอแล้ว”
อวี้หย่วนกล่าว “อารอง อาถัง ก่อนหน้านี้ที่ข้าดูแลกิจการเครื่องลงรัก ได้รู้จักช่างเลียนแบบวัตถุโบราณคนหนึ่ง พวกเราไปถามเขาได้”
อวี้เหวินเอ่ยถาม “ไว้ใจได้หรือไม่? หากมีข่าวลืออะไรแพร่งพรายออกไป จะได้ไม่คุ้มเสีย”
อวี้หย่วนตอบด้วยรอยยิ้ม “คนผู้นั้นแซ่เฉียน อาศัยอยู่ที่เมืองหังโจว เพราะไม่ได้ค้าขายอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นจึงพักอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าตรอกสือจื้อ ที่นั่นเป็นสถานที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหังโจว ถนนสองข้างทางมีร้านค้าตั้งเรียงราย ไม่รู้ว่าทุกวันมีคนเข้าออกจำนวนมากมายเท่าใด ทั้งถนนหนทางก็เชื่อมต่อกันไปหมด ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง หากเกิดเรื่อง วิ่งออกจากตรอกไปก็หาตัวไม่เจอแล้ว ท่านวางใจเถิด ยามที่พวกเราไปก็เดินอ้อมไปอ้อมมา ระวังให้มากหน่อย ย่อมไม่อาจถูกคนพบเห็น”
อวี้เหวินเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง กล่าวพึมพำ “อยู่เมืองหังโจวนี่เอง!”
“ใช่แล้ว!” อวี้หย่วนคิดโน้มน้าวอวี้เหวิน “ท่านลองคิดดู คนที่ทำกิจการเช่นนี้ จะเร้นกายหลบอยู่บ้านนอกได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเมืองหังโจวก็อยู่ไม่ไกลจากพวกเรา นั่งเรืออย่างมากที่สุดครึ่งค่อนวันก็ถึงแล้ว ทั้งหากมีคนถามขึ้นมาก็รับมือง่าย นี่ไม่ใช่ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วหรือ? แค่เอ่ยว่าอยากไปซื้อข้าวของที่เมืองหังโจวเสียหน่อยก็จบแล้ว”
อวี้เหวินครุ่นคิดเล็กน้อยพร้อมตบโต๊ะ “เช่นนั้นก็เอาแบบนี้แหละ!”
อวี้ถังรีบขัด “ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าต้องไปหรือไม่? ข้าอยากไปกับพวกท่านด้วย ข้าเคยไปเมืองหังโจวตั้งแต่ยังเล็กเพียงครั้งเดียวเอง! ท่านก็พาข้าไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ”
อวี้เหวินลังเลไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจ “ได้ พาเจ้าไปด้วย แต่ว่าระหว่างทางไม่อนุญาตให้ก่อเรื่อง เบิกตาให้กว้าง ปิดปากให้สนิท แต่หากพบเจออะไรผิดปกติ ต้องรีบบอกข้าและท่านพี่ของเจ้าทันที”
นี่บิดาเชื่อมั่นในความสามารถของนางแล้วกระมัง!
อวี้ถังดีใจอย่างถึงที่สุด เดินเข้าไปกอดบิดา “ท่านใจดีจริงๆ”
อวี้เหวินกลับแสร้งทำหน้านิ่ง เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าอย่าเพิ่งประจบเร็วไป เรื่องนี้ต้องปิดบังแม่ของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่?”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” อวี้ถังรับประกัน
อวี้เหวินเผยยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นกับอวี้หย่วน “ทางพี่ชายและพี่สะใภ้ เจ้าก็อย่าได้แพร่งพรายอันใด พวกเขาสองคนจะได้ไม่เป็นห่วงพวกเรา”
“เข้าใจแล้วขอรับ!” อวี้หย่วนเอ่ยอย่างนอบน้อม
อวี้ถังวิ่งหายวับไปกับตา “ท่านพ่อ ข้าจะไปเก็บของแล้ว”
อวี้เหวินและอวี้หย่วนเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มทั้งส่ายศีรษะ
คนสกุลเฉินรู้ว่าอวี้เหวินจะพาอวี้ถังไปเมืองหังโจว ก็อดบ่นพึมพำไม่ได้ “แม้จะพูดว่าใกล้เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปซื้อของถึงเมืองหังโจวหรอกกระมัง? เมืองหลินอันขาดแคลนสิ่งใดกัน?”
อวี้เหวินยินดีพาอวี้ถังไปเที่ยวเล่นเมืองหังโจว แน่นอนว่านางดีใจ แต่ยามนี้ เงินในบ้านแทบไม่มี อวี้เหวินเป็นคนหนึ่งที่สุรุ่ยสุร่าย ยังมีอวี้ถัง เด็กคนนั้น แม้ออกจากบ้านไม่เจออะไรถูกใจ ก็ยังต้องซื้อลูกอมกลับมาสองสามเม็ด หากพวกเขาใช้เงินเช่นนี้ ช่วงเวลาครึ่งปีหลัง สกุลของพวกเขาจะผ่านไปได้อย่างไรเล่า?
อวี้ถังคาดเดาความคิดของมารดาได้อย่างเลือนราง นางนวดแขนให้มารดาอย่างแข็งขัน “ท่านแม่ ข้าไปกับท่านพ่อ ก็เพื่อคอยดูเขา ไม่ให้เขาซื้อของตามอำเภอใจ”
คนสกุลเฉินหัวเราะออกมา ลูบศีรษะของลูกสาว “เจ้าสามารถดูแลตัวเองได้ก็พอแล้ว เจ้ายังจะช่วยข้าควบคุมพ่อของเจ้าอีกหรือ?”
“จริงๆ นะเจ้าคะ!” อวี้ถังสาบาน “หากข้าซื้อของสุรุ่ยสุร่าย ก็ลงโทษไม่ให้ออกจากบ้านหนึ่งเดือน”
คนสกุลเฉินบิดจมูกลูกสาว ไม่ได้เชื่อคำพูดของนาง กระนั้นก็ไม่อยากขัดขวางลูกสาวและสามี เก็บความคิดไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้อะไร
หากเกิดเรื่องร้ายแรง ครึ่งปีหลังนางค่อยเอาเครื่องประดับไปจำนำสักชิ้นสองชิ้น
สองแม่ลูกนั่งเล่นพูดคุย ก่อนผู้นำหมู่บ้านจะพาคนจำนวนหนึ่งเข้ามา
อวี้เหวินต้อนรับพวกเขาอยู่ที่ห้องโถง
ดื่มชาไปครึ่งถ้วย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบไม่กี่คำ คนพวกนั้นก็พาเด็กคนนั้นและมารดาของเขาจากไป
ได้ยินว่า คนที่ตามผู้นำหมู่บ้านมาล้วนเป็นคนในสกุลเด็กคนนั้น ส่วนพวกเขาจะจัดการลงโทษแม่ลูกคู่นี้อย่างไร ก็จะต้องขึ้นอยู่กับชะตาแล้ว
ฝังศพหลู่ซิ่นแล้ว อวี้เหวินก็เก็บซ่อนภาพไว้ พาอวี้หย่วนและอวี้ถังไปยังเมืองหังโจว
ที่ท่าเรือเสาซี พวกเขาพบกับเผยเยี่ยนและโจวจื่อจิน
———————————————–
[1]ไป๋ถังเกา เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าและน้ำตาลทรายขาว เนื้อขนมเป็นสีขาวฟู
[2]กระดาษซวนจื่อ กระดาษที่ใช้เขียนอักษรและวาดภาพในสมัยโบราณ