ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 42 ภาพที่ถูกประกบ
อวี้หย่วนกลับมาโรงเตี๊ยมในยามพลบค่ำ มือซ้ายหอบซาลาเปาใบบัว[1] มือขวาถือโถแก้วใบหนึ่ง เห็นอวี้เหวินลงหมากอยู่ในโถงรับแขกก็ถลาเข้าไปทันที ยกของในมือให้ดูด้วยรอยยิ้ม “ท่านอา ท่านดูสิ ข้าเอาอะไรกลับมา?”
ยามที่เขาเข้ามาใกล้ อวี้เหวินก็ได้กลิ่นของพะโล้ เขาสูดดมอย่างเต็มปอด “หัวหมูตุ๋นของร้านเจิ้นเป่ยเฉิง”
อวี้หย่วนหัวเราะเสียงดัง “ท่านอา จมูกท่านดีจริงๆ”
“แน่อยู่แล้ว!” อวี้เหวินกล่าวยิ้มๆ “เจ้าก็ไม่คิดเสียบ้าง ครั้งแรกที่เจ้ากินหัวหมูตุ๋น ใครเป็นคนซื้อจากหังโจวกลับไปให้? หากกระทั่งร้านหัวหมูตุ๋นของเขา ข้ายังดมไม่ออก ยังจะเรียกว่าตะกละตะกลามได้อย่างไร?” ขณะที่พูด เขาก็ชี้ไปที่โถแก้วในมืออวี้หย่วน “นี่คืออะไร? ใช้โถแก้วบรรจุไว้ โถนี้คงหลายตำลึง เจ้าไปได้จากไหนมา?”
อวี้หย่วนและเถ้าแก่ทักทายกัน ยอบตัวนั่งลงที่ม้านั่งยาวด้านข้างอย่างโอ้อวดอยู่บ้าง “อันนี้ท่านเดาไม่ได้หรอกรึ? นี่คือเหล้าองุ่น เหยาซานเอ๋อร์ให้ข้ามา”
“เหล้าองุ่น?” อวี้เหวินขมวดคิ้ว “เหยาซานเอ๋อร์?”
“ก็ลูกชายคนที่สามสกุลเหยาที่อยู่เฉิงเป่ย ตั้งแต่เด็กก็เติบใหญ่มาพร้อมข้า ภายหลังทำการค้าขายตามอาของเขาผู้นั้นอย่างไร” อวี้หย่วนกล่าวอย่างดีใจ “บ่ายวันนี้ข้าไปเที่ยวเล่นที่เฉิงเป่ย คาดไม่ถึงว่าจะพบเขา ตอนนี้เขาเป็นเถ้าแก่ เปิดร้านขายของชำอยู่ที่ประตูอู่หลิน พอรู้ว่าข้าและท่านมาด้วยกัน เดิมทีเขาอยากจะมาทักทายท่านเสียหน่อย แต่ที่ร้านกลับมีของเข้ามิอาจปลีกตัวมาได้ จึงให้เหล้าองุ่นโถนี้แก่ข้ามา กล่าวว่ามาจากทางอาหรับ ตอนนี้ผู้มั่งคั่งร่ำรวยในเมืองหังโจวต่างก็ส่งของสิ่งนี้ให้เป็นของขวัญกันทั้งนั้น และเพื่อแสดงความเคารพต่อท่าน อยากให้ท่านอยากชิมดู หัวหมูตุ๋นจากร้านเจิ้นเป่ยเฉิงก็เป็นเขาที่ซื้อมาเช่นกัน เขาเตรียมจะมาเยี่ยมเยียนท่านในวันพรุ่งนี้”
อวี้เหวินนึกขึ้นได้ “ที่แท้ก็เป็นเขา! ปีนั้นเขาสูญเสียทั้งพ่อและแม่ เจ้ามักจะให้เงินช่วยเหลือเลี้ยงข้าวเขาบ่อยๆ คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังจำเจ้าได้ นี่คงเป็นโชคชะตาแล้ว”
อวี้หย่วนพยักหน้าติดต่อกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ยามนี้เขาไม่เลวเลยจริงๆ ยังซื้อเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งที่ประตูชิ่งชุน แต่งหญิงสาวในเมืองหังโจวเข้าบ้าน ลงหลักปักฐานในเมืองหังโจวแล้ว”
อวี้เหวินผงกศีรษะ เชิญเถ้าแก่มาดื่มสุราด้วยกันกับเขา “ยากที่พวกเราจะถูกชะตากันเช่นนี้ เจ้าก็อย่าเกรงใจเลย พวกเรามาชิมด้วยกันเถิดว่าเหล้าองุ่นนี้จะรสชาติเป็นอย่างไร”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมและอวี้เหวินคบค้าสมาคมกันมาหลายครั้งแล้ว รู้ว่าเขาเป็นคนที่ใจกว้าง รวมทั้งช่วงนี้เหล้าองุ่นก็มีชื่อเสียงจนทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็น จึงไม่คิดเกรงใจ ให้เถ้าแก่เนี้ยไปยกอาหารมาเพิ่มไม่กี่อย่าง ก่อนจะย้ายไปที่ลานด้านนอกพร้อมกับอวี้เหวินและอวี้หย่วน เทหัวหมูตุ๋นใส่จาน ดื่มสุรากัน
อวี้หย่วนถือกา
พอรินสุรานี้ลงในแก้ว อวี้เหวินก็ได้กลิ่นหอมของผลไม้ แตกต่างกับสุราที่เขาดื่มยามปกติอย่างสิ้นเชิง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะก้มลงดูในแก้วเครื่องเคลือบสีขาว สุรานั้นกลับแดงช้ำราวกับสีเลือด เขาตกใจเสียยกใหญ่ “ไฉนจึงเป็นสีนี้?”
อวี้หย่วนรีบกล่าว “เป็นสีนี้มิผิด ก่อนหน้านี้เหยาซานเอ๋อร์ยังกำชับข้าเป็นพิเศษ หากไม่ใช่สีนี้ นั่นก็เป็นสุราปลอมแล้ว”
อวี้เหวินพยักหน้า ฝืนดื่มไปหนึ่งคำ
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบถาม “เป็นอย่างไร? รสชาติดีหรือไม่?”
อวี้เหวินปิดปากเงียบ ก่อนจะกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “สุรานี้เหมือนกับชา รสชาติขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ข้าว่ารสชาติไม่เลว เจ้าอาจจะคิดว่าแย่ ย่อมต้องชิมดูจึงจะรู้เอง”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมคิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผลจึงยกแก้วขึ้นดื่มหนึ่งคำ…จากนั้น ก็นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
อวี้หย่วนเห็นว่าผิดปกติ กล่าวอย่างร้อนรน “เป็นอย่างไร? ผิดปกติตรงไหนหรือไม่?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมมองอวี้เหวินไปแวบหนึ่ง กลืนสุราในปากลงไป เวลานี้จึงค่อยกล่าวกับอวี้หย่วน “เจ้าชิมดูก็จะรู้”
อวี้หย่วนมองทั้งสองคนอย่างสงสัย ลองดื่มดู เพียงแต่สุรานี้ยังไม่ทันลงคอก็ถูกเขาพ่นออกมาก่อน
“นี่มันรสชาติอะไรกัน?” เขาขมวดคิ้ว “ไม่ใช่กล่าวว่ามีชื่อเสียงมากหรอกรึ?”
อวี้เหวินและเถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เวลานี้อวี้เหวินจึงค่อยกล่าวตรงๆ “สุราชื่อดังอะไรกัน? ไม่เห็นจะเทียบกับสุราจินหวา[2]ของพวกเราได้? แต่ว่า ลองชิมครั้งแรกก็พอใช้ได้ ลองเอาไปให้น้องเจ้าชิมสักแก้วสิ ยากที่จะมาเยือนหังโจว เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่ๆ จึงจะนับว่าคุ้มค่า!”
อวี้หย่วนกะพริบตาก่อนจะยกสุราไปให้อวี้ถัง
อวี้ถังมองอวี้หย่วนอย่างสงสัย “ไม่ใช่กล่าวว่าให้ข้างดอาหารหรอกหรือเจ้าคะ?”
“สุรานี้มีชื่อเสียงไม่น้อย เจ้าลองดมดู ชิมดูคำหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าดื่มหมดแก้วเลยหรืออย่างไร!” อวี้หย่วนกล่าว
อวี้ถังไม่เคลือบแคลงอันใด ดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง
ทั้งขมทั้งเปรี้ยว นี่มันสุราอะไรกัน!
อวี้ถังหยัดกายขึ้นเตรียมจะลงไม้ลงมือกับอวี้หย่วน
อวี้หย่วนวิ่งวุ่นอยู่รอบโต๊ะเป็นวงกลม “ท่านอาให้ข้ายกมาให้เจ้าชิม”
“แต่ท่านก็ไม่ควรทำเช่นนี้!”
ทั้งพี่น้องกำลังตะลุมบอนวุ่นวาย เด็กของโรงเตี๊ยมก็เคาะประตูอยู่ข้างนอก “คุณชายอวี้ มีคนมาหาขอรับ!”
อวี้ถังไม่อาจจัดการกับเขาอีกแล้ว อวี้หย่วนจัดเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง กล่าวถามไปพลาง “เป็นใครกัน?”
เด็กคนนั้นตอบ “เป็นเด็กอายุประมาณสิบสองสิบสามคนหนึ่ง กล่าวเพียงว่ามาหาท่าน ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใครขอรับ”
อวี้หย่วนกล่าวอย่างงุนงง “ใครกัน?” จากนั้นก็กล่าวกับอวี้ถัง “ข้าไปดูเสียหน่อยแล้วจะกลับมา”
อวี้ถังพยักหน้า ส่งอวี้หย่วนออกจากประตู
ไม่นานอวี้หย่วนก็ย้อนกลับมา เขากระซิบข้างหูอวี้ถัง “อาจารย์เฉียนส่งคนมาตามข้า รอท่านอากลับมา เจ้าก็บอกกล่าวกับเขาหน่อยเถิด”
เวลานี้อวี้เหวินกำลังดื่มสุรากับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม
อวี้ถังกล่าวอย่างกังวล “ไม่ได้บอกหรือว่าเรื่องอะไร?”
อวี้เหวินส่ายศีรษะ “เจ้าวางใจ หากมีเรื่องอะไร ข้าจะให้คนส่งจดหมายมารายงานพวกเจ้าทันที”
อวี้ถังจะกังวลใจอย่างไรก็ทำได้เพียงปล่อยเขาไป
ยามที่กลองตีบอกเวลายามสอง อวี้เหวินก็ออกมาจากวงสุรา เขาเข้ามาดูอวี้ถัง “เจ้าดีขึ้นหรือยัง?”
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ!” อวี้ถังประคองบิดาให้นั่งลงบนตั่ง ก่อนจะรินชาร้อนให้เขา
อวี้เหวินเห็นงานเย็บที่อวี้ถังทำทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งบนโต๊ะ ก็อดยกขึ้นมาส่องใกล้ตะเกียงดูไม่ได้ “ไอหยา คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำมันได้ แมลงตัวเล็กนี้ทำได้สมจริงไม่น้อย จุดดำเจ็ดแห่งที่หลังล้วนไม่เลวเลย ไม่เลวเลยจริงๆ!”
อวี้ถังชำนาญในการทำแมลงเป็นอย่างมาก นอกจากเต่าทอง ยังมีแมลงปอ ตั๊กแตน ผึ้ง…นางล้วนทำได้เสมือนจริง
อวี้เหวินกล่าว “ดอกไม้นี้ก็ทำได้ดี ข้ามองแล้วเหมือนดอกไป๋โถวเวิง[3]รอเจ้ากลับไป ก็ทำให้แม่เจ้าใส่สักอัน”
นี่นับว่าเป็นการชมเชยและยอมรับจากบิดา
อวี้ถังดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าวางแผนแล้วว่าจะทำดอกโบตั๋นให้ท่านแม่เจ้าค่ะ”
อวี้เหวินกลับกล่าว “ข้าคิดว่าแม่เจ้าสวมดอกไห่ถัง[4]ไม่ก็ดอกติงเซียงจะเหมาะกว่า”
หรือว่าในใจของท่านพ่อ มารดานั้นคล้ายดอกไห่ถังไม่ก็ดอกติงเซียง?
อวี้ถังพยักหน้า เผยยิ้มเริงร่า ก่อนจะบอกเรื่องอวี้หย่วนกับอวี้เหวิน
อวี้เหวินกังวลใจไม่น้อย แต่ไม่กล้าแสดงออกมาให้อวี้ถังเห็น กล่าวเรียบง่ายหนึ่งประโยค “ข้าเข้าใจแล้ว” ก่อนจะกำชับอวี้ถัง “เจ้านอนเร็วหน่อยเถิด พรุ่งนี้ก็ทำปิ่นดอกไม้ให้แม่เจ้า พวกเราลองพูดว่าซื้อมาจากเมืองหังโจว ดูสิว่าแม่เจ้าจะแยกออกหรือไม่”
อวี้ถังตอบรับทั้งรอยยิ้ม
กลางดึกนางกลับนอนพลิกตัวไปมา ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ
ฟ้ายังไม่สว่าง อวี้หย่วนก็กลับมา
ยามที่เขาเข้ามาในห้องก็ทำให้อวี้ถังที่พะว้าพะวังอยู่ห้องด้านข้างตกใจตื่นเช่นกัน นางค่อยๆ สวมเสื้อคลุมก่อนจะออกไปห้องบิดา
อวี้หย่วนมาเปิดประตู
อวี้เหวินสวมเสื้อคลุม เผยสีหน้าเรียบนิ่ง ยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เห็นอวี้ถังเข้ามาก็ไม่ได้พูดอะไร
รอจนอวี้ถังเดินเข้ามาใกล้ เวลานี้จึงพบว่าบนโต๊ะหนังสือมีภาพวาดสามแผ่นที่ยังไม่ได้เอาเข้าม้วนภาพ สองภาพในนั้นสามารถมองออกว่าเป็นภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ยังมีอีกภาพที่ดูเหมือนภูเขาทั้งคล้ายกับทะเล ด้านบนยังมีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ทำให้คนดูไม่เข้าใจ
อวี้เหวินกล่าวอย่างเงียบเชียบ “อาถัง เจ้าเดาถูกจริงๆ ด้วย ในภาพนี้มีเงื่อนงำอยู่!”
ไม่จำเป็นต้องให้บิดาพูด อวี้ถังก็มองออกแล้ว นางมองไปทางอวี้หย่วน
สีหน้าของอวี้หย่วนก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ากันเท่าไร เขากดเสียงเบา “นี่เป็นภาพสามแผ่นที่อาจารย์เฉียนแกะออกมา ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ อยู่ชั้นบนและล่าง ส่วนตรงกลางไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด กระทั่งอาจารย์เฉียนล้วนไม่ทันได้ใส่ม้วนภาพก็เอากลับมาให้พวกเราดูก่อนเสียแล้ว”
เห็นได้ว่าอาจารย์เฉียนก็มองออกว่าภายในมีสิ่งผิดปกติ
อวี้ถังชี้ไปที่ภาพซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร “นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ?”
อวี้หย่วนส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
อวี้เหวินจ้องภาพที่ไร้ชื่อ พ่นสองคำออกมาด้วบใบหน้าอึมครึม “แผนที่!”
“อะไรนะ?!” อวี้ถังและอวี้หย่วนร้องเสียงหลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
อวี้เหวินกล่าวอธิบาย “เป็นภาพภูมิประเทศภูเขาแม่น้ำ เมื่อก่อนทำศึกสงคราม ทำชลประทาน ล้วนต้องใช้แผนที่เช่นนี้จึงจะสามารถรู้ได้ว่าบริเวณรอบๆ เป็นภูเขาหรือแม่น้ำ เป็นป่าเขาหรือเป็นพื้นที่ราบ”
อวี้ถังนึกถึงตัวเองเมื่อครั้งไปวัดเจาหมิง ไม่มีคนนำทางล้วนไม่รู้ว่าควรจะไปอย่างไร ชั่วขณะนั้นคิดว่าคนที่สามารถวาดเช่นนี้ออกมาได้คงจะเป็นที่ได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนไม่น้อย ทั้งย่อมต้องเสียกำลังคนกำลังทรัพย์เป็นอย่างมากเช่นกัน มีคุณค่าอย่างแน่นอน นางกล่าว “หรือสิ่งที่พวกเขาหาก็คือภาพแผ่นนี้”
อวี้เหวินและอวี้หย่วนไม่ได้เอ่ยขัด ยอมรับคำพูดของนางโดยปริยาย เป็นนานกว่าอวี้เหวินจะเอ่ย “แผนที่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าและหายาก หากไม่อยู่ในการดูแลของกรมกลาโหมก็คงเป็นกรมโยธาธิการ คนทั่วไปล้วนไม่อาจได้ครอบครอง เมื่อก่อนที่แม่ทัพออกรบ ต้องเป็นขุนนางขั้นสามหรือขุนนางขั้นผู้ใหญ่จึงจะสามารถนำเอกสารราชการจากกรมกลาโหมไปเอาแผนที่จากกรมโยธาธิการได้ ทำศึกสงครามเสร็จแล้ว แผนที่ก็ควรคืนกลับสู่ที่เดิม นี่เป็นสิ่งที่ข้าบังเอิญได้ฟังมาจากหลู่ซิ่น”
อวี้หย่วนได้ฟังก็อดหวาดกลัวขึ้นมาบ้างไม่ได้ “ภาพนี้รั่วไหลมาจากที่ใดกัน? ตกลงเป็นใครกันที่ตามหาภาพนี้? เขารู้ได้อย่างไรว่าในภาพนี้มีสิ่งนี้ซ่อนอยู่? ไฉนเขาจึงไม่มาขอซื้อที่สกุลเราอย่างตรงไปตรงมาเลยล่ะ?”
คำถามพวกนี้ใครก็ไม่อาจตอบได้
อวี้เหวินก็ดี อวี้ถังก็ดี ไม่เคยตระหนักได้อย่างชัดเจนเท่าเวลานี้มาก่อน สกุลของพวกเขากำลังประสบปัญหาใหญ่แล้ว
อวี้หย่วนกล่าว “เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี?”
อวี้เหวินทรุดนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรงบนเก้าอี้โบราณที่อยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ “เจ้าให้ข้าครุ่นคิด ให้ข้าได้คิด…แม้ข้าจะมองออกว่านี่คือแผนที่ แต่ภาพนี้เป็นภูมิลักษณ์ของที่ใดกันแน่ มีประโยชน์อย่างไรกลับไม่รู้แม้แต่น้อย…หากอยากรู้คงทำได้เพียงต้องตามหาคนที่เคยเห็นแผนที่ หรือกระทั่งคนที่เข้าใจและคุ้นเคยกับแผนที่ประเภทต่างๆ เป็นอย่างดี…” ขณะที่กล่าว เขาก็ชี้ที่เส้นคลื่นในภาพวาด ซึ่งแทนความหมายของน้ำ “ไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลย เดิมก็ไม่รู้ว่าเป็นแม่น้ำทางเหนือหรือทางใต้ พวกเราถือภาพนี้ไว้ ก็เหมือนกับเด็กที่ถือมีดเล่มใหญ่ ไม่เพียงข่มขู่คนอื่นไม่ได้ แต่ยังจะเป็นภัยต่อตัวเอง”
คนที่เคยเห็นแผนที่ คนที่เข้าใจและคุ้นเคยกับแผนที่เป็นอย่างดี…ในหัวอวี้ถังพลันปรากฏใบหน้าของเผยเยี่ยนขึ้นมา
“ท่านพ่อ!” อวี้ถังอ้ำอึ้ง “ไม่อย่างนั้น พวกเราไปหานายท่านสามดีหรือไม่?”
อวี้เหวินหันมามองนางทันที
ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ร้อนใจอย่างแปลกประหลาด รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คล้ายถูกคนฉีกชุดด้านนอกอย่างไรอย่างนั้น “ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้น ไปหาโจวจ้วงหยวนก็ได้ พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีความรู้ ย่อมต้องรู้ว่าภาพนี้วาดอะไรไว้…”
———————————
[1] ซาลาเปาใบบัว เป็นซาลาเปาที่มีลักษณะคล้ายใบบัว ข้างในใส่ไส้เนื้อสัตว์ต่างๆ
[2] สุราจินหวา สุราที่มีชื่อเสียงของเจ้อเจียง
[3] ดอกไป๋โถวเวิง เป็นดอกสีม่วง เกสรด้านในสีเหลือง มีขนอ่อนขึ้นตามลำต้น ใบ และดอก
[4] ดอกไห่ถัง ดอกบีโกเนีย