ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 48 ไหวพริบ
ไม่มีใครเห็นว่าเย็นวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไม่รู้ว่าออกไปตอนไหน ไม่รู้ว่าตายเมื่อไร ไม่รู้ว่าก่อนที่เขาตายได้พบเจอกับเรื่องอันใด อาศัยจากที่เห็นศพของเขาลอยขึ้นมาในน้ำ ทั้งข้างลำธารที่ทิ้งอุปกรณ์จับปลาเอาไว้ ก็ตัดสินว่าเขาไม่ทันระวังจึงจมน้ำตาย
อวี้ถังฟังจบ ผ่านไปค่อนวันก็ยังไม่อาจลุกขึ้นยืนได้
อาเสาเห็นท่าทีของนาง คิดว่านางคงหวาดกลัวไม่น้อย ถามอย่างระวัง “เช่นนั้น คุณหนู ข้า ข้ายังต้องไปสืบต่อหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง!” ในใจของอวี้ถังราวกับมีกองไฟสุมอยู่ข้างใน ทั้งคล้ายถูกน้ำเย็นแทรกซึมเข้ามาเช่นกัน
ผู้ที่อาศัยใกล้ๆ ที่นาของสกุลเว่ยล้วนเป็นคนคุ้นเคยของสกุลเว่ย อาเสาเป็นคนแปลกหน้า หากมีคนสงสัย ไม่นานก็ย่อมสืบความได้ว่าอาเสาเป็นใคร นางไม่อาจทำให้สกุลเว่ยตกใจ ทำให้คนในสกุลเว่ยเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เรื่องนี้ หยุดที่นางก็เพียงพอแล้ว
ก็ให้คนในสกุลเว่ยคิดว่าเขาจมน้ำตายไป
ความจริงเป็นอย่างไร นางจะสืบหาให้กระจ่างเอง
หากเขาตายเพราะถูกวางแผนจริงๆ ไม่ว่าจะเพราะอะไร ใครเป็นคนทำ นางจะพยายามอย่างสุดชีวิต หาความเป็นธรรม คืนความยุติธรรมให้เขา
อวี้ถังหยัดกายขึ้นจากโต๊ะอย่างช้าๆ ผลักหน้าต่างออก
ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว
ดอกกุ้ยฮวาก็บานสะพรั่งขึ้นมาตามลำดับ
กลิ่นหอมฟุ้งลอยแตะจมูก
นี่เป็นเทศกาลหนึ่งที่ครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนควรจะมีความสุขกันถึงจะถูก
อวี้ถังนั่งทำปิ่นดอกไม้อยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาตรงลานบ้าน
ครั้งนี้นางทำดอกซานฉา รูปแบบหลากหลาย วัสดุแต่ละประเภท ทั้งสีที่แตกต่างกันไป รอจนผ่านสองสามเดือน นางก็สามารถทำใส่ได้หลายกล่องแล้ว ถึงเวลานั้นนอกจากมารดา ป้าสะใภ้ใหญ่ และพวกหม่าซิ่วเหนียงแล้ว นางก็วางแผนจะให้พวกสตรีสกุลเว่ยด้วย
อวี้ถังก้มหน้าก้มตา ค่อยนำกลีบดอกกำมะหยี่ที่ตัดไว้ดีแล้วเย็บร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ไม่นานก็ทำออกมาเป็นดอกหนึ่ง จากนั้นแต่งเติมใบสีเขียวเข้าไป ไม่ก็ใช้ไข่มุกทำเป็นน้ำค้าง หรือใช้เศษผ้าทำเป็นผึ้งเกาะอยู่ด้านบน ดูแล้วเหมือนของจริงเป็นอย่างยิ่ง
ผ้ากำมะหยี่นั้นส่วนมากจะเป็นสีแดงช้ำ มีขนอ่อนเล็กๆ ลูบแล้วก็คล้ายเป็นกลีบดอกของดอกซานฉาจริงๆ นุ่มละเอียดทั้งรับรู้ถึงเนื้อสัมผัส
ไม่รู้ว่ามีหยดน้ำจากที่ใดตกลงมา ทำให้ผ้าลู่โฉว[1]ที่นางตัดเป็นใบไม้ในมือเปียกชื้น
อวี้ถังขมวดคิ้ว
เมื่อเงยหน้ากลับพบว่าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆบดบัง
หยดน้ำมาจากที่ไหนกัน
นางแปลกใจ รู้สึกถึงความเหนอะหนะบนใบหน้า เมื่อลองลูบดู ก็พบว่ามือเปียกไปด้วยน้ำ
อวี้ถังงุนงงอยู่บ้าง ข้างหูกลับปรากฏเสียงร้องอย่างตกใจของซวงเถา “คุณหนู เกิดเรื่องอะไรเจ้าคะ? ไฉนท่านจึงร้องไห้ขนาดนี้? ข้า ข้าจะไปเรียกนายหญิงเดี๋ยวนี้…”
นางรีบคว้าซวงเถาเอาไว้ “ข้าร้องไห้รึ?”
ซวงเถามองนางอย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง ชี้ไปที่หน้าของนาง กล่าวเสียงเบา “ใบหน้าท่านมีแต่น้ำตา”
“อย่าให้ท่านแม่รู้” อวี้ถังกล่าว “เจ้าไปตักน้ำมาให้ข้าล้างหน้าล้างตาหน่อยเถิด”
ซวงเถาก็กลัวว่าจะทำให้คนสกุลเฉินตกใจ จึงรีบไปตักน้ำ
อวี้ถังจึงกลับเข้าไปในห้อง ส่องดูตัวเองในกระจก
เป็นดั่งที่ซวงเถาว่าจริงๆ ดวงตานางแดงก่ำ น้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั้งหน้า
อวี้ถังนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกพักใหญ่ ในหัวคิดว้าวุ่น นางไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ รอจนซวงเถาตักน้ำเข้ามา ล้างหน้าเปลี่ยนชุดใหม่อีกครั้ง จู่ๆ อาเสาก็เข้ามารายงาน กล่าวว่าเว่ยเสี่ยวชวนต้องการพบนาง “เขารออยู่ที่ประตูหลังขอรับ”
“ข้าจะไปดู” นางหยัดกายขึ้นก่อนจะไปด้านหลังเรือน
เว่ยเสี่ยวชวนถือตะกร้าใส่ตำรา พิงกำแพงด้านหลังเรือนของพวกเขาทั้งเตะก้อนหินเล็กๆ ใต้เท้าอย่างเบื่อหน่าย
เมื่อเห็นอวี้ถัง เขาก็ยืดตัวตรงขึ้นมาทันที “คุณหนูอวี้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าตามลำพัง”
อวี้ถังผงกศีรษะ ให้เขาเข้ามา ก่อนจะไล่ซวงเถาและอาเสาออกไป
เว่ยเสี่ยวชวนถามนาง “เหตุใดอาเสาจึงมาสืบเรื่องพี่รองของข้า? สกุลพวกเจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังพวกเราใช่หรือไม่? อีกอย่าง ครั้งที่แล้ว มาถามเรื่องพวกนั้นถึงสำนักศึกษาของข้าตกลงมันคืออะไรกันแน่?”
อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าเว่ยเสี่ยวชวนจะฉลาดเกินวัย มีไหวพริบถึงขนาดนี้ นางครุ่นคิดหาข้ออ้าง ตั้งใจจะปกปิดเว่ยเสี่ยวชวน นึกไม่ถึงว่าเว่ยเสี่ยวชวนจะเอ่ยว่า “หากเจ้าพูดความจริงกับข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจช่วยเจ้าได้ หากเจ้าโกหกข้า ข้าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ทั้งสองสกุล”
“หา!” อวี้ถังเบิกตาโต
เว่ยเสี่ยวชวนเผยสีหน้าลำพองใจ “เจ้าอย่าคิดว่าข้าอายุน้อย ไม่รู้เรื่องอะไร เจ้าแอบมาเจอข้าที่สำนักศึกษา ผู้ใหญ่ที่เรือนของเจ้าย่อมไม่รู้เรื่อง อาเสาก็เป็นไปได้ว่ามาตามคำสั่งของเจ้า ข้าเตือนให้เจ้ากล่าวตามตรงดีกว่า อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้วิธีข่มขู่”
ต่อให้อวี้ถังจะรู้สึกโศกเศร้าเท่าใดก็แทบหายไปเพราะคำพูดนี้ของเว่ยเสี่ยวชวน
นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เจ้าอายุเท่านี้ คาดไม่ถึงว่าจะมาข่มขู่ข้า เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะไปรายงานกับสกุลเจ้ารึ?”
“ควรจะเป็นเจ้าที่กลัวข้ารายงานมากกว่ากระมัง?” เว่ยเสี่ยวชวนแค่นเสียง “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ หากเจ้าอยากให้ผู้อาวุโสของสกุลข้ารู้ ก็คงส่งคนไปถามตรงๆ ตั้งนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าทำเรื่องมีลับลมคมใน” กล่าวต่อ “ข้าก็ไม่ได้จะข่มขู่เจ้า เป็นเจ้าที่ทำเรื่องบกพร่องเกินไป หลังจากข้ากลับไปก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด เจ้าสอบถามเรื่องพวกนั้นของพี่รองข้า ล้วนวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่าพี่รองข้าตายอย่างไร” เขาพูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าเล็กก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ในแววตาปรากฏความเศร้าโศก
“ข้าก็รู้สึกว่าพี่รองข้าไม่ใช่คนสะเพร่าขนาดนั้น ข้ายังคิดว่าเป็นข้าเองที่คิดมากไป…เจ้าต้องรู้อะไรมาแน่ๆ” เขามองอวี้ถังอย่างขอร้อง “เจ้า เจ้าบอกข้าเถิด! แม้ข้าต้องติดค้างน้ำใจเจ้า แต่ภายหลังข้าย่อมจะตอบแทนเจ้าแน่นอน”
อวี้ถังตกตะลึง
เว่ยเสี่ยวชวนกลับแน่ใจว่านางรู้เบื้องหลังอะไรบางอย่าง มองนางอย่างดื้อรั้น คล้ายกับว่าหากนางไม่พูด เขาก็จะไม่ยอมง่ายๆ
อวี้ถังถอนหายใจยาว
หากนี่เป็นกรรม เช่นนั้นเดิมทีกรรมนี้นางก็เป็นคนก่อ นางเป็นคนนำมา หรือหากนางจะปกปิดก็สามารถปกปิดไว้ได้แล้วรึ? ทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น?
เวลาไม่คอยนาง ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้นางต้องการให้คนช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
“ได้!” อวี้ถังแทบจะตัดสินใจในทันที นางกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าบอกเจ้าได้ แต่เจ้าต้องสาบาน จะไม่มีคนที่สามรู้เห็นกับเรื่องนี้”
ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร นางจะรับผิดชอบเอง
เว่ยเสี่ยวชวนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะสาบาน
อวี้ถังเล่าความกังวลใจของตัวเองให้เว่ยเสี่ยวชวนฟัง แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องภาพวาด นางกลัวว่าเว่ยเสี่ยวชวนหรือสกุลเว่ยจะถูกติดร่างแหไปด้วย พูดแค่เพียงว่าสงสัยว่าจะมีคนก่อศึกชิงรักหักสวาท
“ข้าเดาไม่ผิด ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ” เว่ยเสี่ยวชวนพึมพำ “ข้าว่าแล้ว พี่รองข้าเป็นคนที่เชื่อฟังถึงขนาดนั้น อีกวันจะไปเจรจาเรื่องงานแต่งแล้ว ไฉนกลับออกไปข้างนอกโดยไม่บอกไม่กล่าว แม่น้ำลำธารใกล้ๆ ที่นาของข้าก็เหมือนเรือนหลังของพี่รอง พี่รองข้าจะไปจับปลาแล้วตกน้ำตกท่าได้อย่างไร เวลานั้นเป็นยามที่กุ้งหอยปูปลาอุดมสมบูรณ์ เด็กๆ ในที่นา หากมีเวลาว่างย่อมพากันออกมาจับกบจับปลา เหตุใดกลับไม่มีคนเห็นพี่รองข้าแม้แต่คนเดียว…”
เด็กยังไม่ทันโตดี มีท่าทีขวัญหายก็ทำให้คนเอ็นดูเป็นพิเศษ
อวี้ถังอยากจะปลอบเขาสักคำสองคำ เขากลับเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน จ้องมาที่อวี้ถังอย่างแน่วแน่ “คุณหนูอวี้ เป็นสกุลหลี่ใช่หรือไม่!”
เด็กคนนี้ ฉลาดเกินไปแล้ว!
อวี้ถังอ้าปากค้างกว่าค่อนวัน
เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวอย่างเคืองโกรธ “ข้าเดาว่าเป็นพวกเขา นอกจากสกุลพวกเขาแล้ว ก็ไม่ได้มีสกุลอื่นอยากแต่งกับเจ้า”
อวี้ถังมีท่าทีลำบากใจ ขอโทษเสียงเบา “ขอโทษด้วย ข้ายังไม่มีหลักฐาน ไม่รู้ว่าเป็นพวกเขาทำหรือไม่…”
“เจ้ามีอะไรให้ขอโทษกัน” เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวอย่างไม่พอใจ “หากจะพูดว่าผิด ก็เป็นความผิดของพวกเขา หรือเพราะว่าเจ้าหน้าตางดงาม พวกเขาต่างละโมบโลภมาก ก็ผลักภาระนี้ไว้ที่เจ้าได้อย่างนั้นรึ? เจ้าไม่ต้องขอโทษข้า ทั้งไม่ต้องขอโทษกับใคร”
“เว่ยเสี่ยวชวน!” อวี้ถังกล่าวอู้อี้ จู่ๆ ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนเป็นเลือนรางอยู่บ้าง
ชาติก่อน หลี่จวิ้นตายแล้วก็ดี หลี่ตวนอยากครอบครองนางก็ดี คนสกุลหลินมักกล่าวว่าเป็นความผิดของนาง แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยแตก[2]นางใช้เวลาไปมากมายจึงค่อยเข้าใจ บางครั้ง เหตุผลก็ยืนอยู่ข้างคนส่วนน้อย
นางไม่ได้ผิด ผู้ที่ผิดคือคนจิตใจสกปรกพวกนั้น
ตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับนางอย่างแน่วแน่ว่า นางไม่ใช่คนผิด
อวี้ถังน้ำตาพรั่งพรูออกมา
เว่ยเสี่ยวชวนกลับเผยใบหน้ารังเกียจ “หญิงสาวอย่างพวกเจ้าชอบร้องไห้เสียจริง! เรื่องใหญ่ร้องไห้ เรื่องเล็กร้องไห้ ยามที่ดีใจร้องไห้ ยามที่เสียใจก็ร้องไห้ มีเรื่องหรือไม่มีเรื่องล้วนร้องไห้ เจ้าไม่ร้องไม่ได้รึ เจ้าทำเช่นนี้น่ารำคาญไม่น้อย เจ้ารู้หรือไม่?”
แม้ปากเขาจะก่นว่า ทว่าหูกลับแดงก่ำ
อวี้ถังหัวเราะทั้งน้ำตา ลองลูบศีรษะของเขา “ข้าทำไม่ถูกเอง ภายหลังจะไม่ร้องเช่นนี้แล้ว”
เว่ยเสี่ยวชวนบิดศีรษะหลบมือนาง “เช่นนั้นข้าไปแล้ว รอหากมีข่าวคราวจะมาบอกเจ้าอีกที”
อวี้ถังกลัวว่าเขาจะทำซี้ซั้ว รีบดึงเขาไว้ “เรื่องนี้พวกเราต้องสืบให้ชัดเจนก่อน ขอเพียงแค่สืบกระจ่างแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ ข้าล้วนมีแผนที่จะจัดการกับพวกเขา เจ้าอย่าได้ทำอะไรพลการ ทำเสียเรื่องของข้า”
“รู้แล้ว รู้แล้ว” เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “แม้ว่าข้าจะอยากทำอะไร ก็ไร้หนทางจะลงมือในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงจำเป็นต้องหาผู้ช่วยอย่างไรเล่า!”
ที่แท้นางคือคนที่ถูกเว่ยเสี่ยวชวนเลือกให้เป็นผู้ช่วย!
ในที่สุดอวี้ถังก็เข้าใจขึ้นมาบ้างว่า เหตุใดเว่ยเสี่ยวชวนจึงมาหานาง ทั้งพูดเช่นนี้ออกมา
แต่ว่า นางก็ต้องการผู้ช่วย หากมีเว่ยเสี่ยวชวนคอยช่วย ย่อมมีประโยชน์กว่าอาเสา
อวี้ถังให้ซวงเถายัดกล่องขนมให้เว่ยเสี่ยวชวน “เจ้าอยู่ในวัยกำลังโต เอาไปกินในหอเรียนเสีย หากกินไม่หมด ก็ให้สหายร่วมห้องของเจ้ากินด้วย”
ชีวิตความเป็นอยู่ของสกุลเว่ยไม่นับว่าแย่มากมาย แต่อย่างไรก็เป็นคหบดีชนบท ลูกชายมาก ภาระหนัก วันปกติธรรมดา พวกเด็กๆ ย่อมไม่คุ้นชินที่จะกินขนมของว่าง นับประสาอะไรกับการแบ่งปันสหายร่วมห้อง ยามที่อยู่หอเรียนเขาเป็นคนที่เก็บตัวอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าเขาผูกสัมพันธ์คนอื่นไม่เป็น แต่ประเด็นหลักอยู่ที่การคบค้าสมาคมกับผู้คนนั้นต้องใช้เงิน เขาสงสารพ่อแม่ ไม่อยากเสียเงินเพราะเรื่องนี้
เขากลับไม่อยากได้ขนมของอวี้ถัง กลอกตา คิดจะยัดกลับไป อวี้ถังกลับเอ่ยว่า “ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าช่วยข้าสืบข่าว”
เว่ยเสี่ยวชวนรับรู้ถึงความปรารถนาดีของนาง ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรับขนมไว้ คิดว่าภายหลังหากตัวเองเป็นขุนนางใหญ่แล้ว ค่อยซื้อคืนให้นางเป็นแปดเท่าสิบเท่า ตอบแทนน้ำใจนางก็เพียงพอแล้ว
อวี้ถังทอดมองแผ่นหลังของเว่ยเสี่ยวชวนที่เดินจากไปคนเดียว เผยยิ้มทั้งสั่นศีรษะ รู้สึกว่าเด็กผู้นี้ฉลาดเกินวัยจนทำให้คนรู้สึกเอ็นดู
—
ไม่ถึงสองวัน อวี้หย่วนก็กลับมา
อวี้เหวิน อวี้ถังและอวี้หย่วนก็หลบคนสกุลเฉินมาพูดคุยในห้องหนังสืออีกครั้ง
“อาจารย์เฉียนซาบซึ้งเป็นอย่างมากที่พวกเราตั้งใจไปบอกกล่าวกับเขา” อวี้หย่วนกล่าวเสียงเบา “เขากล่าวว่า ยามที่เขาเพิ่งจะเห็นภาพนั้นก็สงสัยว่าเป็นแผนที่เดินเรือ เพียงไม่อยากข้องเกี่ยวไปด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร เขาก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ วางแผนจะไปหลบอยู่กับศิษย์พี่ของเขาสักสองสามปี หากทำการค้าขายทางนั้นได้ดี เขาก็จะไม่กลับมา ให้พวกเราไม่ต้องกังวล เขายังพูดอีกว่า หากพวกเราตัดสินใจไปฝูเจี้ยน เขามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ทางนั้น ตอนเยาว์วัยชอบศึกษาเรื่องแผนที่เป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะรู้จัก เขายังบอกที่อยู่คนผู้นั้นกับข้าทั้งให้พวกเราลองไปดู”
อวี้เหวินและอวี้ถังฟังจบก็โล่งใจในเวลาเดียวกัน อดดีใจขึ้นมาไม่ได้
“เช่นนั้นก็ดี!” อวี้เหวินกล่าว “จะเห็นได้ว่าคำกล่าวของบรรพบุรุษนั้นมีเหตุผล ทำดีก็ย่อมได้รับสิ่งดีๆ ตอบ พวกเราเพียงช่วยตักเตือนอาจารย์เฉียน อาจารย์เฉียนกลับให้ความช่วยเหลือเช่นนี้แก่พวกเรา พอดีเชียว ข้าก็ไม่ต้องไปสืบว่าสกุลใดมีคนทำการค้าอยู่ที่ฝูเจี้ยนบ้าง แค่ไปหาคนที่อาจารย์เฉียนแนะนำมาก็เพียงพอแล้ว”
อวี้ถังพยักหน้ารับ
คนสกุลเฉินเคาะประตูอยู่ด้านนอก บ่นว่า “ไฉนพวกเจ้าลงดาลประตูอีกแล้ว? ข้ามีเรื่องจะพูด พวกเจ้ารีบเปิดประตูหน่อย”
พวกอวี้เหวินสามคนต่างมองหน้ากัน อวี้ถังรีบไปเปิดประตู
คนสกุลเฉินเดินขมวดคิ้วเข้ามา “ฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็นสบาย พวกเจ้ามีเรื่องอะไรไยไม่พูดในลานบ้าน กลับมาหลบกันในห้องหนังสือ?”
อวี้เหวินรีบเบี่ยงประเด็น “เจ้ามาหาพวกเรามีเรื่องด่วนอันใดรึ?”
คนสกุลเฉินกล่าว “มีแม่สื่อมาหา…”
ในใจของอวี้ถังมีโล่กำบังตั้งขึ้นมาทันที
เรื่องของสกุลหลี่ยังไม่ทันแก้ไข เวลานี้นางพูดคุยเรื่องงานแต่งกับสกุลใดล้วนเป็นการทำร้ายทั้งนั้น!
“ท่านแม่ เรื่องงานแต่งของข้า ท่านพักไว้ชั่วคราวก่อนเถิด!” นางกล่าวอย่างร้อนรน “ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว หลังจากผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปก็เป็นเทศกาลฉงหยาง[3] อย่างไรรอถึงเดือนสิบแล้วค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ!”
คนสกุลเฉินฟังก็หัวเราะขึ้นมา “หากข้าดึงดันจะกำหนดงานแต่งให้เจ้าจนได้เล่า?”
อวี้ถังอ้าปากค้าง กลับมองเห็นความหยอกล้อในสายตาของมารดา
“ท่านแม่!” นางกล่าวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
คนสกุลเฉินหัวเราะก่อนจะเขกศีรษะนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มหรืออย่างไร? ผู้ที่มาสกุลเราจะทาบทามเจ้าเพียงคนเดียวอย่างนั้นรึ?”
อวี้ถังงงงัน “หรือว่าไม่ใช่ล่ะเจ้าคะ?”
คนสกุลเฉินเอามือทาบอกหัวเราะ “สกุลของพวกเราไม่ใช่ยังมีพี่เจ้าอีกคนหรือไร?”
ทุกคนต่างตกใจ
อวี้หย่วนใบหน้าขึ้นสี
อวี้เหวินรีบถาม “นี่ตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่? ทาบทามให้อาหย่วน ไฉนไม่ไปหาพี่สะใภ้ใหญ่กลับมาหาทางเจ้า?”
ใช่แล้ว!
อวี้ถังทำหูตั้ง
คนสกุลเฉินกล่าว “เป็นสกุลเว่ย นายหญิงเว่ยฝากฝังมา กล่าวว่าเรื่องของอาถังและลูกชายคนรองของสกุลพวกเขานั้นน่าเสียดาย อยากจะเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลพวกเราต่อ กลัวว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะติดขัดอันใด จึงให้แม่สื่อมาหยั่งเชิงข้าก่อน ข้ามาหาเจ้าก็เพราะปรึกษาเรื่องนี้”
อวี้หย่วนใบหน้าแดงก่ำ อยากไปฟังเช่นกัน แต่กลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพียงยืนอยู่ตรงนั้น
อวี้เหวินกล่าว “สกุลพวกเขาไม่ใช่ว่ามีเพียงลูกชายห้าคนหรอกรึ? ลูกสาวมาจากไหนกัน? หรือสกุลเว่ยยังมีครอบครัวอื่นอยู่อีก?”
คนสกุลเฉินป้องปากหัวเราะ “นายหญิงเว่ยอยากเป็นแม่สื่อให้หลานสาวผู้ที่อยู่ในสกุลเว่ยตั้งแต่เล็กจนโตคนนั้นกับอาหย่วนของพวกเรา”
“แม่หนูคนนั้นเอง!” เห็นได้ชัดว่าอวี้เหวินมีความประทับใจอยู่บ้าง “ได้ ได้ ข้าคิดว่าใช้ได้ เช่นนั้นเจ้าเข้าไปพูดกับพี่สะใภ้หน่อยเถิด สกุลเว่ยนั้นใจดีมีเมตตา ข้าก็เสียดายที่ไม่อาจแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขา”
คนสกุลเฉินมองอวี้หย่วนด้วยรอยยิ้มไปที “เช่นนั้นข้าไปล่ะ แม่สื่อของเขายังรอคำตอบอยู่!” แม้จะพูดเช่นนี้ แต่คนกลับไม่ขยับไปไหน ทำเอาอวี้หย่วนเขินอายจนอยากจะขดตัวเป็นวงกลม
สองสามีภรรยาอวี้เหวินหัวเราะ ถามอวี้หย่วน “เจ้าว่าอย่างไร? แม้จะกล่าวว่าเรื่องใหญ่อย่างงานแต่งต้องฟังพ่อแม่ แต่พวกเราก็คาดหวังให้พวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตที่ดีด้วยกันได้ เจ้าก็ลองคิดดูว่ายินยอมหรือไม่”
อวี้หย่วนหน้าแดงจนแทบจะไหลเป็นหยดเลือดได้ ผงกศีรษะอย่างส่งๆ ไป
———————————————————–
[1] ผ้าลู่โฉว ผ้าไหมชนิดหนึ่งของซานซี เนื้อผ้าหนาและทนทาน
[2] แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยแตก เปรียบเปรยว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น ย่อมมีเหตุผล
[3] เทศกาลฉงหยาง เป็นเทศกาลที่ตรงกับวันที่เก้าเดือนเก้า ชาวจีนถือว่าเป็นเลขมงคล เป็นวันที่เหมาะกับการยินดีเฉลิมฉลอง ทั้งในวันนี้จะเฉลิมฉลองโดยการชมดอกเบญจมาศ เที่ยวขึ้นเขาหรือที่สูงเพื่ออธิษฐานขอพร ทัดใบจูอวี๋ (สมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง) ดื่มเหล้าเบญจมาศ กินขนมฉงหยาง (ขนมนึ่งที่ทำด้วยแป้งข้าว แต่งหน้าด้วยธัญพืช) เป็นต้น