ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 6 เรื่องเล่า
ชาติก่อน อวี้ถังไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับตอนที่นายท่านสามได้ขึ้นเป็นผู้นำของสกุลเผย สาเหตุหลักก็เพราะนางมารู้ว่านายท่านสามเป็นผู้นำสกุลเผยก็ตอนที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่แล้ว แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดู นางกลับไม่เข้าใจเลยสักนิด
ต่อให้กิจการของสกุลเผยจะยิ่งใหญ่เพียงใด สำหรับบัณฑิตคนหนึ่ง การรับตำแหน่งผู้นำสกุล หมายถึงต้องเดินออกห่างจากเส้นทางขุนนาง การรั้งตัวอยู่บ้านนอกเพื่อดูแลกิจการของสกุล จะเทียบกับการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก ได้รับจารึกชื่อบนหน้าประวัติศาสตร์ได้อย่างไร?
อีกทั้งสกุลใหญ่อย่างเช่นสกุลเผยนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกหลานที่ออกไปรับตำแหน่งยังต่างถิ่นจะไม่ล้มเหลวด้วยเหตุจากกำลังทรัพย์ ทุกๆ ปีจะมีเงินสนับสนุนส่งให้ก้อนหนึ่ง ลูกหลานของสกุลเผยที่เป็นขุนนางต่างแดนสามารถแสดงออกถึงอุดมการณ์อันสูงส่งของตนได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินทอง ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลังจากสกุลหลี่ได้ขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจใหม่ถึงได้พยายามกวาดเงินจากทุกทาง…สกุลหลี่อยากจะเป็นให้ได้อย่างสกุลเผย เป็นสกุลยิ่งใหญ่ที่มีบัณฑิตและขุนนางสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น
แน่นอนว่า อวี้ถังเพิ่งรู้เรื่องราวเหล่านี้หลังจากที่แต่งเข้าสกุลหลี่แล้ว
หลู่ซิ่นผู้นี้แม้นิสัยจะไม่ได้ดีเด่ แต่คบเพื่อนเจ้าเล่ห์ไม่ได้ความไว้หลายคน ข่าวสารของเขาฉับไว แม้จะเชื่อไม่ได้ทั้งหมด แต่ใช่ว่าทั้งหมดจะเชื่อไม่ได้ ในเมื่อเขาบอกว่าสกุลเผยกำลังทะเลาะกันเรื่องใครจะขึ้นเป็นผู้นำสกุล เป็นไปไม่ได้ว่าจะไม่มีมูลความจริงเลย อย่างน้อยคนของสกุลเผยก็ต้องมีปากมีเสียงกันเพราะเรื่องนี้
ทว่านายท่านสามสกุลเผยเป็นคนเช่นนั้นหรือ?
อวี้ถังเค้นความทรงจำที่มีต่อนายท่านสามเมื่อชาติก่อน
ลึกลับ เก็บตัว แข็งแกร่งและสูงส่งเหนือผู้คน
เขากอบกุมชะตากรรมสุกลเผยไว้ในกำมือ และควบคุมเมืองหลินอันไว้ทั้งหมด
เหมือนกับเหยี่ยวที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า เวลาปกติทุกคนจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน แต่พอเจอกับเรื่องใหญ่โตเข้า ก็จะสัมผัสได้ถึงเงาที่ถูกเขาครอบงำอยู่
ขนาดสกุลหลี่ประจบประแจงสกุลเผยถึงเพียงนั้น นางยังไม่เคยพบหน้านายท่านสามเลยสักหน สกุลหลี่คิดสอดมือเข้าไปแย่งการค้าของสกุลเผยครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่กล้าลงมือจริงจังเสียที
คนเช่นนี้ จะลงไปทะเลาะกับลูกหลานบ้านใหญ่เพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลหรือ?
อวี้ถังฉงนใจนัก
นางอดจะหันไปเอ่ยกับหลู่ซิ่นยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ข่าวสารของท่านลุงหลู่ฉับไวยิ่ง! ในเมื่อการให้นายท่านสามรั้งตัวอยู่เพื่อสืบทอดกิจการเป็นความต้องการของท่านผู้เฒ่า หมื่นเรื่องนั้น กตัญญูคือสิ่งแรก บ้านใหญ่มีอะไรให้โต้แย้งกัน?”
เมื่อก่อนอวี้ถังไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนี้ หลู่ซิ่นได้ยินก็ฉงนในใจ ตื่นตะลึงเล็กน้อย เขาหัวเราะแล้วหันไปเอ่ยกับอวี้เหวินว่า “อาถังโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองแล้วสินะ!”
ความหมายก็คือ พวกเขาคนโตกำลังสนทนากัน อวี้ถังเป็นสตรีนางหนึ่ง ไม่ควรสอดปากตามอำเภอใจ
น่าเสียดาย อวี้เหวินแต่ไรก็ไม่เคยรู้สึกว่าบุตรสาวของตนเองเป็นคนนอก หากสงสัยก็ถามออกมา มีสิ่งใดไม่ถูกต้องเล่า
เขายิ้มพลันเอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ อาถังของพวกเราโตแล้ว รู้ความ รู้จักคิดแทนและดูแลบิดามารดาได้แล้ว” ระหว่างที่พูด เขาก็คิดได้ว่าที่บุตรสาวทำตัวเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ก็เพราะสกุลอวี้กำลังประสบปัญหา ในใจพลันรู้สึกเจ็บปวด สีหน้าก็หม่นแสง ถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง
อวี้ป๋อกลับถูกวาจาของหลู่ซิ่นดึงความสนใจไป
เขาทำมาค้าขายอยู่ด้านนอก รู้จักถึงความยิ่งใหญ่ของสกุลเผย ถึงขนาดพูดได้ว่า ถ้าสกุลเผยทางนั้นมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงใบหญ้าปลิว พวกเขาที่ทำมาค้าขายก็ต้องโยกไหวขยับตัวตามไปด้วยเช่นกัน
“เช่นนั้นสกุลเผยจะมีบ้านใหญ่เป็นผู้สืบทอดหรือว่าเป็นนายท่านสามกันแน่เล่า?” เขาใส่ใจปัญหานี้มากกว่า “ท่านหลู่สามารถพูดให้ชัดเจนอีกสักนิดได้หรือไม่”
หลู่ซิ่นเห็นว่าสองพี่น้องไม่ได้คล้อยตาม ในใจก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพียงเอ่ยเสียงอู้อี้ตอบไปว่า “ตำแหน่งผู้นำสกุลเผยจะตัดสินใจเลือกอย่างเร่งร้อนได้อย่างไร? แม้ท่านผู้เฒ่าเผยจะเป็นผู้นำสกุล แต่สกุลเผยบัดนี้แตกกอเป็นสามกิ่งก้าน หากส่งต่อให้ลูกชายคนโตของภรรยาเอก ใครก็พูดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ทว่าท่านผู้เฒ่าเผยกลับข้ามหน้าบ้านใหญ่กับบ้านรองไปเช่นนี้ สองกิ่งก้านนั้นย่อมไม่ยินดีแน่! เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องยื้อแย่งกันดู”
เขาพูดจนจบประโยค น้ำเสียงเจือความยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นพบเจอกับหายนะ
อวี้ถังยิ่งรู้สึกรังเกียจคนผู้นี้ยิ่งกว่าเก่า
เมื่อครู่ยังไปเกาะข้าวเขากิน พอหันหลังกลับก็อยากเห็นสกุลเผยเกิดเรื่องจนทนไม่ไหว
นางลอบกลอกตาใส่หลู่ซิ่น
อวี้ป๋อรู้ว่าหลู่ซิ่นเป็นคนพูดจาเช่นนี้แต่ไหนแต่ไร จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงเอ่ยอย่างกังวลว่า “ไม่รู้ว่าปัญหาของสกุลเผยจะยุติลงเมื่อไร หากว่าพวกเขาปล่อยทิ้งถนนฉางซิ่งไม่สนใจเช่นนี้…”
ต่อให้สกุลอวี้มีเงินทองมาสร้างร้านค้าใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีปัญญาเปิดกิจการได้อยู่ดี
ใครจะมาเดินหาซื้อข้าวของกลางซากปรักหักพังกันเล่า?
หลู่ซิ่นไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ เขาพูดพร่ำถึงเรื่องซุบซิบในสกุลเผยไม่หยุดปาก อย่างเช่นว่า นายท่านใหญ่สกุลเผยแต่งกับบุตรสาวคนโตของผู้ทำพิธีบวงสรวงคนปัจจุบันแห่งราชสำนัก บุตรชายสองคนล้วนเป็นต้นอ่อนชั้นดีในการเล่าเรียนเขียนอ่าน ตั้งแต่เล็กก็ติดตามท่านตาศึกษาหาความรู้ อายุเพียงไม่มาก แต่กลับมีวิชาความรู้เป็นเลิศแล้ว
นายท่านรองนิสัยดั่งพระโพธิสัตว์ดินปั้น[1] ไม่ว่าเจอะเจอเรื่องใดล้วนพูดเพียงว่าประเสริฐอยู่คำเดียว เขาแต่งกับบุตรสาวของจวี่เหริน[2]ซึ่งเป็นสหายร่วมเรียนกับท่านผู้เฒ่า มีบุตรสาวและบุตรชายอย่างละหนึ่งคน
นายท่านสามเป็นลูกหลง ตั้งแต่เด็กก็ดื้อซนยิ่งนัก ชอบเล่นปืนผาหน้าไม้ ไม่ชอบเขียนอ่าน อายุได้เจ็ดแปดขวบก็ยังนั่งนิ่งๆ ไม่เป็น มักจะโดดเรียนจากสำนักศึกษาไปดูละครขับร้องไม่ก็การแสดงปาหี่ที่หลีหยวน[3] พอโตขึ้นมาหน่อย ก็รู้จักเข้าบ่อนพนันชนไก่ ก่อเรื่องให้ผู้ดูแลต้องคอยตามหาไปทั่วท้องถนน เป็นคุณชายจอมเสเพลที่ขึ้นชื่อในเมืองหลินอัน นายท่านใหญ่สกุลเผยคิดจะสั่งสอนน้องชายคนสุดท้องผู้นี้สักครั้ง แต่ล้วนถูกท่านผู้เฒ่าเผยห้ามเอาไว้ ตอนนั้นใครๆ ต่างก็พูดว่า ชื่อเสียงนับร้อยปีของสกุลเผยคงต้องจบลงด้วยน้ำมือของนายท่านสามเผยเป็นแน่ ใครจะคาดคิดว่าเขากลับสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้อย่างราบรื่น? ไม่ต้องพูดถึงคนนอก แค่คนสกุลเผยเองก็ยังแตกตื่นตกใจกันถ้วนหน้า คิดว่านี่ใช่เรื่องเข้าใจผิดกันหรือไม่ ท่านผู้เฒ่าเผยยังลำเอียงจนเกินงาม เมื่อรู้ว่านายท่านสามสอบผ่าน ก็เอาเหรียญอีแปะใส่เต็มตะกร้าไม้ไผ่สานไปโปรยหน้าประตูใหญ่ ประกาศเรื่องงานมงคลให้บุตรชายคนเล็กอย่างใหญ่โตว่า ต้องแต่งกับบุตรีภรรยาเอกจากสกุลขุนนางขั้นสามขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ เรื่องนี้กลับสมหวังดั่งใจท่านผู้เฒ่าเผยเสียได้ รองมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักคนปัจจุบันต้องชะตากับนายท่านสามเผย หากมิใช่เพราะนายท่านใหญ่มาสิ้นไปก่อน งานมงคลนี้คงสำเร็จไปแล้ว…
อวี้ถังฟังอย่างออกรสออกชาติยิ่ง
ชาติก่อนนางไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าของนายท่านทั้งสามแห่งสกุลเผยมาก่อน
คนอื่นเมื่อพูดถึงนายท่านสามเผย ทั้งทางตรงทางอ้อมล้วนแฝงถึงความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติทำนองว่า ‘ข้ารู้จัก’ หรือไม่ก็ ‘ข้าเคยเจอ’ ‘ข้าเคยดื่มสุราร่วมโต๊ะอาหารกับนายท่านสามมาก่อน’ นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตอนที่นายท่านสามยังเยาว์จะเคยคึกคะนองไม่เป็นโล้เป็นพายเยี่ยงนี้
นางนึกว่านายท่านสามเป็นคุณชายผู้หนักแน่น รู้ความ เพียบพร้อมด้วยมารยาทตั้งแต่เด็กเสียอีก
อวี้เหวินคล้ายว่าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนายท่านสามนี้เช่นกัน พึมพำแต่ว่าไม่น่าเชื่อ
หลู่ซิ่นเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “แพ้เป็นอ๋อง ชนะเป็นโจร ตอนนี้เขาอายุยังน้อยแต่ได้เป็นถึงเจิ้งกวนแห่งหกกรม ทั้งสกุลเผยมีเจตนาปูทางให้เขา ใครจะสมองตื้นขนาดนั่งวิจารณ์นายท่านสามต่อเล่า ไม่เหมือนเช่นพวกเรานี้ ไร้หลักยึดเหนี่ยว ถูกผู้อื่นเล่นงานเพราะเห็นเป็นแค่ดอกจอกที่ลอยไปลอยมา”
อวี้เหวินรู้ทันว่าเขาจะเริ่มคร่ำครวญอีก รีบร้อนกล่อมเขาว่า “เจ้าก็ยังดีกว่าข้า บิดาข้าเป็นพ่อค้าขายเครื่องลงรัก บิดามารดาเจ้าเป็นถึงซิ่วไฉ เคยเป็นถึงที่ปรึกษาทางการทหารให้ใต้เท้าจั่ว นับว่าเป็นสกุลบัณฑิต”
ใต้เท้าจั่วมีนามว่ากวงจง เป็นจิ้นซื่อสองป้าย ตอนรับตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการที่ซูโจวและเจ้อเจียง ก็ขับไล่โจรสลัดไปได้หลายครั้ง สร้างความสงบสุขให้ปวงประชาชาวซูโจวและเจ้อเจียง เขาถูกเลื่อนขั้นให้เป็นเจ้ากรมกลาโหม ภายหลังเมื่อเสียชีวิตก็ได้รับพระราชทานนามเพื่อเป็นเกียรติศักดิ์แด่ผู้วายชนม์ว่าเซียงเม่า เขาเป็นขุนนางที่มีความสามารถ มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในซูโจวและเจ้อเจียง
กระทั่งเด็กสาวที่ไม่เคยสนใจโลกภายนอกอย่างอวี้ถังยังเคยได้ยินชื่อและเรื่องเล่าของใต้เท้าผู้นี้
หลู่ซิ่นเริ่มลำพองใจ ให้มารดาของอวี้ถังยกสุรามา เขาต้องการจะดื่มกับสองพี่น้องสกุลอวี้สักยก หลังจากดื่มไปได้พักใหญ่ก็เริ่มพูดเรื่องบรรพบุรุษของเขาขึ้นมาว่า “…บิดาข้าเคยติดตามใต้เท้าจั่วออกทะเล วาดผังแผนที่ ทั้งยังช่วยใต้เท้าจั่วฝึกฝนทหารเรือ”
อวี้ถังคิดว่าหลู่ซิ่นกำลังคุยโว
อาหารหนึ่งมื้อนั่งทานกันจนพระจันทร์แขวนโด่งบนปลายยอดต้นหลิว อวี้หย่วนประคองหลู่ซิ่นที่เมาโซเซและพูดจาเลอะเลือนไม่หยุดปากเข้าไปพักที่เรือนสกุลอวี้
เช้าวันต่อมา หลู่ซิ่นนอนหลับจนตะวันสายโด่งถึงจะตื่น
สีหน้าเขาขาวซีด ปากก็พ่นกลิ่นเหล้าออกมาพลางเดินหัวหมุนไปทั่วห้องเพื่อหารองเท้า “เวรแล้ว! เวรแล้ว! หลี่ฮุ่ย บ่าวรับใช้ของเจ้าหาจากไหนกัน? เหตุใดเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็ทำให้ดีไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเช้านี้มีขบวนแห่ศพของนายท่านใหญ่เผย ข้ายังต้องไปช่วยจัดการงานพิธีอีก ตอนเช้ากลับไม่มีใครมาปลุกข้า! เจ้าทำข้าเสียเรื่องแล้ว!”
อวี้เหวินในใจรู้สึกผิด ทางหนึ่งก็ช่วยเขาหารองเท้าที่ไม่รู้ถูกโยนไปใต้เตียงตอนไหนจนเจอ ทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างลุแก่โทษว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร สกุลเผยห่างจากเรือนข้าไปนิดเดียว ข้าให้อาเสาพาเจ้าไปทางลัดก็แล้วกัน”
“เร็ว! เร็ว! เร็ว!” หลู่ซิ่นร้องเร่ง น้ำชายังไม่ทันได้ดื่มสักอึก ก็ตามบ่าวรับใช้ของอวี้เหวินที่ชื่อว่าอาเสาออกนอกประตูไปแล้ว
อวี้ถังที่อยู่หลังผ้าม่านเม้มปากหัวเราะ แล้วหมุนกายไปรับอาหารเช้าเป็นเพื่อนมารดา
ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับญาติผู้พี่อวี้หย่วนมาพบอวี้เหวิน
อวี้หย่วนมารับบทสรรเสริญที่อวี้เหวินเขียนทั้งคืนแล้วจากไป ส่วนป้าสะใภ้รั้งตัวอยู่ต่อ
อวี้ถังคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องสินค้าชุดนั้นที่ถูกไฟไหม้ไปพร้อมกับร้าน ถึงได้คอยแอบฟังผ่านลูกกรงหน้าต่าง
ท่านป้าสะใภ้ใหญ่คิดไหว้วานบิดานางไปเกลี้ยกล่อมท่านลุงให้เดินทางไปซื้อเครื่องลงรักที่เจียงซีจริงๆ เสียด้วย
อวี้ถังถึงค่อยวางใจได้บ้าง
หลังจากส่งท่านป้าสะใภ้ใหญ่และรับประทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว อวี้เหวินก็ออกไปข้างนอก บอกว่าจะไปดูร้านค้า
คนสกุลเฉินรู้แล้วว่าร้านค้าของสกุลถูกไฟไหม้ แต่ไม่รู้ถึงระดับความเสียหายที่เกิดขึ้น นางมาส่งอวี้เหวินหน้าประตูพร้อมกำชับว่า “เงินทองเป็นของนอกกาย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนล้วนมีท่านลุงใหญ่เป็นคนจัดการดูแล หากไม่มีท่านลุงใหญ่ กิจการของเราคงไม่อาจอยู่รอดมาได้ มีปัญหาอะไรก็ค่อยๆ พูดจากันนะเจ้าคะ เรือนเรายอมเสียหายมากกว่าหน่อยก็ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ”
อวี้เหวินพยักหน้าหงึกหงักอย่างขอไปที ตอนดึกกลับมาก็บอกคนสกุลเฉินกับอวี้ถังว่า “พี่ใหญ่กับอาหย่วนมีเรื่องด่วนต้องเดินทางไปเจียงซีสักหน พวกเราก็เตรียมอาหารแห้งและกับข้าวง่ายๆ ให้พวกเขาพกไปกินระหว่างทางเถอะ”
คนสกุลเฉินยิ้มรับจนตาหยี แล้วพาป้าเฉินไปที่ห้องครัว
อวี้ถังถึงได้ถอนหายใจพรูดอย่างโล่งอก
ปัญหาในเรือนสุดท้ายก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดี ขอเวลาอีกไม่นานเท่านั้น จะต้องรอดพ้นชะตากรรมเลวร้ายอย่างชาติก่อนไปได้แน่
อวี้ถังไปช่วยงานคนสกุลเฉินที่ห้องครัวด้วยความเบิกบานใจ
หลู่ซิ่นหน้าม่อยคอตกกลับมาเยือนอีกครั้ง
เขาพูดกับอวี้เหวินด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า “ครั้งนี้เจ้าทำข้าลำบากเกือบตาย! เมื่อเช้าตอนที่ข้าไปถึงจวนสกุลเผย คุณชายใหญ่เผยได้ทุ่มกระถางแตกไปแล้ว พ่อบ้านใหญ่สกุลเผยก็ถลึงตาใส่ข้าไม่หยุด ระยำ! มันคิดว่ามันเป็นตัวอะไร? ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งที่สกุลเผยเลี้ยงเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เห็นแก่หน้าสกุลเผย ใครอยากจะรู้จักมันบ้าง!”
น้อยครั้งที่หลู่ซิ่นจะด่าทอผู้อื่นเสียๆ หายๆ อวี้เหวินตะลึงไปครู่หนึ่ง หลู่ซิ่นก็พูดต่ออีกว่า “ไม่ได้การแล้ว! ข้าอยู่หลินอันต่อไปไม่ได้แล้ว น้ำนิ่งต้องตายในบึง หากข้ายังอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น ข้าจะไปเมืองหลวง บิดาข้ายังพอมีสหายเก่าที่เมืองหลวงอยู่บ้าง” เขาพูดจบก็หมุนตัวไปลากมืออวี้เหวินมาจับไว้ “หลี่ฮุ่ย ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้นไม่ใช่ว่าอยู่ที่เจ้าหรือ? วันก่อนเจ้าบอกว่าชื่นชอบนักอยากจะซื้อต่อ เอาอย่างนี้ พวกเรามาซื้อขายกันให้จบ ข้าไม่ขอพูดอะไรมาก สองร้อยตำลึง จ่ายมาสองร้อยตำลึงเจ้าก็เอาภาพนี้ไปได้เลย”
————————————————————-
[1]พระโพธิสัตว์ดินปั้น หมายถึง ต่อให้เป็นคนดีแสนประเสริฐเพียงใด ก็ย่อมมีอารมณ์และเส้นตายที่ไม่อาจก้าวข้าม
[2] จวี่เหริน ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการระดับภูมิภาค โดยผู้ที่เข้าสอบรอบนี้ต้องผ่านการสอบซิ่วไฉ ซึ่งก็คือการสอบระดับท้องถิ่นมาก่อน
[3]หลีหยวน หรือสวนลูกแพร์ คำนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง โดยจักรพรรดิถังเสวียนจงให้บรรดานักดนตรีและนักแสดงมาฝึกร้องรำทำเพลงในบริเวณสวนลูกแพร์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ