ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 64 ถกเถียง
สายตาของอวี้ถังรุนแรงถึงขนาดนั้น เผยเยี่ยนคิดจะเมินเฉยย่อมเป็นเรื่องยาก
เพียงแต่เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้ผู้นี้ต้องการจะทำอะไร จู่ๆ ก็ชี้หัวหอกมาที่เขา
เผยเยี่ยนขบคิดในใจ แววตาที่จดจ้องนั้นของอวี้ถังหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาแค่นเสียง ‘เหอะ’ อยู่ในใจ เงยหน้ามองผู้คุ้มกันในบ้านคุมตัวชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำ หน้าตาดุดันสองคนเข้ามา
คงจะเป็นผู้ลี้ภัยสองคนนั้น
เผยเยี่ยนมองพินิจอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง
เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม ท่าทีกระสับกระส่าย ผิวภายนอกยังเผยให้เห็นถึงร่องรอยเขียวคล้ำ
เผยเยี่ยนพยายามข่มใจจึงไม่ได้เผลอเบ้ปากออกมา
สรุปแล้วไม่ได้มีประสบการณ์แต่อย่างใด ในเมื่อนำมาเป็นพยาน อย่างไรก็ควรได้เปรียบกลับไป สภาพเช่นนี้ ให้คนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าถูกทรมานมา รอสักพักก็คงไม่ใช่เหลือจุดอ่อนให้คนอื่นจับได้หรอกกระมัง?
เผยเยี่ยนดื่มชาหนึ่งคำอย่างเงียบๆ รู้สึกว่ารสชาติของชาในวันนี้ยังคงไม่เลว
เขากล่าวถามเผยหม่านที่อยู่ด้านข้างเสียงเบา “วันนี้ใครเป็นคนชงน้ำชา? เป็นชาแดงของเขาถงซานรึ?”
“ขอรับ!” เผยหม่านล่าวเสียงเบา
เผยเยี่ยนไม่ได้เจาะจงเรื่องชาอะไรเป็นพิเศษ วันนี้เลือกชาแดงของเขาถงซานมารับแขก เพียงเพราะว่าปีนี้สกุลเผยได้รับชาชนิดนี้มาเป็นจำนวนมากก็เท่านั้น
“อากาศเย็นอยู่บ้าง สาวใช้ในจวนท่านบอกว่าหลายวันนี้ท่านท้องไส้ไม่ค่อยดี ให้พวกเราเตรียมชาที่พอบรรเทาอาการเสียหน่อย” เผยหม่านกล่าวต่อ “หากนายท่านไม่ชอบ ข้าจะให้คนเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง!” เผยเยี่ยนกล่าว “ค่อยยังชั่วแล้ว!”
ขณะที่พูด เขาก็รู้สึกถึงสายตาของอวี้ถังที่มองมายังทางเขาอีกครั้ง
นี่มันอะไรกันอีก?
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างเรียบนิ่ง ปราดมองไปที่อวี้ถัง
ก่อนจะเห็นดวงตากลมโตของอวี้ถัง ยามนี้กลับเบิกกว้างขึ้นมามองเขาราวกับลูกลำไย
เผยเยี่ยนตกใจเล็กน้อย
ปกติเขาก็ไม่เคยเห็นดวงตาของใครเบิกกว้างได้เท่านี้มาก่อน…ก็ไม่เสียทีเดียว…นอกเหนือจากแมวแล้วล่ะนะ
เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเข้าไปอีก
ใบหน้านั้นก็เหมือนเช่นกัน
เหมือนแมวที่กำลังโมโห
เผยเยี่ยนอดไม่ได้ จึงมองไปอีกครั้ง
อวี้ถังโมโหจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ห้องโถงเงียบสงัดเกินไปแล้ว
ทุกคนต่างรอฟังคำพูดของเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนกลับพูดคุยเรื่องชากับเผยหม่าน
ชั่วขณะนั้นทุกคนล้วนไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนหมายความว่าอย่างไร
เศรษฐีชนบทพวกนี้มาเป็นพยานให้สกุลอวี้ หรือควรต้องพูดว่ามาเป็นพยานให้ทั้งสกุลหลี่และสกุลอวี้ ส่วนมากต่างก็เห็นแก่หน้าของสกุลเผย ให้ความสำคัญในฐานะที่เผยเยี่ยนนั่งเป็นผู้ตัดสินความเป็นธรรมให้กับคนอื่นเป็นครั้งแรก หลังจากขึ้นเป็นผู้นำสกุล มีเพียงสองสามคนที่มาช่วยพูดคุย สนับสนุนสกุลอวี้ ส่วนสกุลใดมีเหตุผลที่แท้จริง นั่นก็ต้องดูว่าเผยเยี่ยนจะพูดอย่างไร เผยเยี่ยนยืนอยู่ข้างสกุลไหน ท่าทีของเผยเยี่ยนย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้
เขาทำเช่นนี้ ทุกคนต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก อีกเดี๋ยวทั้งสองสกุลโต้เถียงกันขึ้นมา พวกเขาควรใช้ท่าทีอย่างไร ยืนอยู่ฝั่งไหนเล่า?
หลี่ตวนกลับแอบโล่งใจ
อย่างน้อย เผยเยี่ยนก็ไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งสกุลอวี้ให้เห็นอย่างชัดเจน
เขาไม่รอให้สกุลอวี้ได้พูดก็ชิงสร้างปัญหาให้ก่อน กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “คาดว่านี่คงจะเป็นพยานสองคนที่อวี้ซิ่วไฉพูดถึงเมื่อครู่ เหนือความคาดหมายข้าจริงๆ สองคนนี้เคยได้รับการดูแลจากสกุลข้า ภายหลังยามที่ทางการมาตรวจสอบ จึงพบว่าแท้จริงเป็นโจรสลัดที่หนีตายเข้ามาจากทางฝูเจี้ยน ภายหลังก็ปล่อยคนลี้ภัยที่พักอยู่ในที่นาออกไป สองคนนี้ยังเคยพยายามคิดรีดไถเงินจากข้า คาดไม่ถึงว่ากลับมาเป็นพยานให้สกุลอวี้”
ความหมายของคำพูดคือ สองคนนี้เดิมทีก็เป็นพวกคนไร้คุณธรรม เพื่อเงินแล้วถึงกระทั่งสามารถเล่นแง่กับผู้มีพระคุณอย่างพวกเขา นำมาเป็นพยานย่อมไม่น่าเชื่อถือ ทั้งจงใจเอ่ยถึงตำแหน่งซิ่วไฉของอวี้เหวินออกมา ก็เพราะอยากใช้ฐานะของตัวเองข่มอวี้เหวิน ให้ทุกคนคล้อยตามตนเอง ให้ผู้คนรู้สึกว่าคำพูดของเขาน่าเชื่อถือมากกว่า
เมื่อครู่ที่ต่อกรกับหลี่ตวน อวี้เหวินก็ตระหนักถึงเล่ห์เหลี่ยมของหลี่ตวนแล้ว ยามนี้ได้ฟังเขาพูด ใบหน้ายิ่งดำคล้ำ ดีที่เขาก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักความเหมาะสม หาได้หุนหันพลันแล่นขึ้นมาเพราะคำพูดเล็กน้อยของหลี่ตวนไม่ กลับกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “คนลี้ภัยสองคนนี้เป็นโจรพเนจรหรือไม่ ยังต้องให้ทางการตรวจสอบ ยามนี้คุณชายใหญ่สกุลหลี่ตัดสินชี้ขาดเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเร็วเกินไป”
หลี่ตวนเรียกเขาว่าซิ่วไฉ เขาก็เรียกหลี่ตวนว่าคุณชายใหญ่สกุลหลี่ ใช้อายุและความอาวุโสข่มหลี่ตวน นี่ก็เป็นสิ่งที่อวี้ถังเตือนเขาเมื่อครู่
“แต่เวลานั้นมีคนสกุลเว่ยเห็นว่าคนที่ไปหาเว่ยเสี่ยวซานก็คือสองคนนี้ สองคนนี้ก็ยอมรับว่าตัวเองได้รับคำสั่งมาจากสกุลหลี่ อาศัยที่เว่ยเสี่ยวซานมีชื่อเสียงเล็กน้อยเรียกเขาออกมา จากนั้นก็หลอกไปที่ลำน้ำเล็กๆ หลังสกุลเว่ย ทำให้จมน้ำตาย แล้วนำร่างไปทิ้งในแม่น้ำที่เว่ยเสี่ยวซานมักไปจับปลาอยู่บ่อยๆ ข้าว่า คงไม่ถึงขั้นที่มีคนกล้ากล่าวให้ร้ายตัวเองว่าลงมือฆ่าคนหรอกกระมัง!”
“อวี้ซิ่วไฉพูดไม่ถูก!” ขณะที่หลี่ตวนกล่าว สายตาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าบึ้งตึง ทั้งแฝงมาด้วยความโกรธเกรี้ยวที่ปิดไม่มิด แต่กลับสดใสงดงามของอวี้ถังเข้า “เดิมทีก็เป็นโจรที่หนีตาย จะมีคดีฆาตกรรมมากหรือน้อย เกี่ยวกันอย่างไร? ใครพอถึงยามเข้าตาจน ล้วนคิดปกป้องชีวิตตัวเองก่อนทั้งนั้น คำพูดของสองคนนี้จะเชื่อได้อย่างไร?”
เขานึกไม่ถึงว่าคุณหนูสกุลอวี้ก็มาเช่นกัน
แต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้คนหนึ่ง แต่หน้าตาที่สะอาดหมดจด ทั้งดวงตาที่พร่างพราวราวกับดวงดาวระยิบระยับ อย่างไรก็ไม่อาจปกปิดความโดดเด่นของนางได้
เขาไม่คิดอยากจะมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้กับสกุลอวี้
แต่บางเรื่องก็เป็นเพราะชะตากรรมเลวร้าย
เวลานี้ไม่อาจจัดการอะไรได้ ก็ย่อมไม่สามารถควบคุมได้ตลอดไป
รูปลักษณ์งดงามเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ดวงตาที่เผยความซุกซน วิบวับพร่างพราว พาให้อยากค้นหาโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นคนอย่างไรกันแน่ ไฉนจึงได้มีสีหน้า แววตาเช่นนี้
หลี่ตวนเหลือบมองเผยเยี่ยนอย่างว่องไว
เขากังวลเกี่ยวกับเผยเยี่ยนอยู่บ้าง…กลัวว่าจะพบความงามของคุณหนูอวี้ จะเข้าข้างสกุลอวี้ด้วยเหตุนี้ ถึงกระทั่งอาจจะเกิดความคิดไม่ดีอะไรขึ้นมา
คุณหนูสกุลอวี้เป็นเช่นนี้ก็ดี
ปลอดภัย!
หัวเขาแล่นอย่างรวดเร็ว พุ่งความสนใจไปยังอวี้เหวินแทน
อวี้เหวินใบหน้าดำราวกับก้นหม้อ “ความหมายของคุณชายใหญ่สกุลหลี่คือ เห็นกับตา ได้ยินกับหูก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ แล้วอย่างไรจึงจะนับว่าเป็นความจริง?”
หลี่ตวนคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
เขาคิดว่าอวี้เหวินจะโต้แย้งกับเขาเรื่องพยานหลักฐานอย่างคนลี้ภัยสองคนนี้ต่อ ทว่าอวี้เหวินกลับถีบลูกหนังนี้มาฝั่งเขาแทน
หรือพวกเขายังมีพยานบุคคลหรือหลักฐานอะไรอีก?
หลี่ตวนระแวดระวังในใจขึ้นมาหลายส่วน กลับไม่เผยสีหน้าอันใด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพียงคิดไม่ออกว่าเหตุใดสกุลพวกเราจึงต้องเอาชีวิตคุณชายรองสกุลเว่ยให้ได้ด้วย?”
อวี้เหวินอึกอัก
หลี่ตวนกลับชิงเอ่ยปากก่อนเขา “ข้ารู้ดี พวกเจ้าคิดว่าสกุลพวกเราอยากสู่ขอคุณหนูอวี้ กลัวว่าคุณหนูอวี้เกี่ยวดองกับสกุลเว่ย ดังนั้นจึงฆ่าคุณชายรองของสกุลเว่ย แต่อวี้ซิ่วไฉ เจ้าไม่คิดว่าหลักการเช่นนี้มันไร้สาระเกินไปหน่อยหรือ? คุณชายรองสกุลเว่ย นั่นเป็นชีวิตคนๆ หนึ่งเชียว ไม่ใช่ลูกแมวลูกหมาที่ไหน สกุลข้าอยากสู่ขอคุณหนูอวี้ ไม่ได้อยากจะผูกบัญชีแค้นเสียหน่อย! แม้ว่าสกุลพวกเราจะบีบบังคับ ก็คงจะคิดวิธีจ้างพวกอันธพาลไประรานคุณหนูอวี้ จากนั้นก็วางแผนให้น้องชายข้าทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม นอกจากจะได้รับความซาบซึ้งใจจากคุณหนูอวี้ ยังสามารถเชื่อมงานแต่งครั้งนี้ได้ ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่คุณหนูอวี้ถูกพวกอันธพาลคุกคาม เป็นสกุลพวกเราที่อับจนหนทางจึงทำเรื่องเช่นนั้นออกมา เรื่องนี้ข้ายอมรับ แต่เรื่องที่บงการพวกลี้ภัยไปสังหารคุณชายรองสกุลเว่ย สกุลพวกเราไม่อาจเป็นแพะรับบาปได้!”
ทุกคนยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
หลี่ตวนเพิ่งจะกล่าวจบ ทุกคนก็อดไม่ได้ เริ่มกระซิบกระซาบโต้เถียงกันขึ้นมา
“คาดไม่ถึงว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย”
“สกุลหลี่อยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เกิน…เกินไปแล้ว”
“เห็นท่าแล้วคุณหนูอวี้คงจะงดงามสมคำร่ำลือที่ได้ยินมาเช่นนั้นจริงๆ!”
เสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ทำให้อวี้เหวินโกรธจนพูดไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นยังพาให้อวี้หย่วนผุดลุกขึ้นมา กำหมัดพุ่งไปหาหลี่ตวน
ชาติก่อน อวี้หย่วนก็เคยปะทะกับหลี่ตวนเช่นกัน
หลี่ตวนเจ้าเล่ห์กลับกลอก ต่อหน้าทุกคนกลับไม่ตอบโต้สักนิด ผู้คนต่างชมเขาว่ามีจิตใจสูงส่ง แต่ลับหลังหลี่ตวนกลับส่งคนไปลอบทำร้ายอวี้หย่วน ดีที่ยามนั้นอาหลิ่วที่ขายสาลี่แถวธารเสี่ยวเหมยบังเอิญทราบเรื่อง จึงส่งจดหมายมาบอกอวี้หย่วน ทำให้อวี้หย่วนรอดพ้นมาได้ อวี้ถังก็เริ่มคลางแคลงสกุลหลี่ ทั้งสงสัยหลี่ตวนในเวลานั้นขึ้นมาเช่นกัน
อวี้ถังก้าวขึ้นมาด้านหน้า คว้าอวี้หย่วนเอาไว้ กดเสียงเบาในลำคอ “ท่านพี่ ความมุทะลุไม่อาจแก้ไขปัญหาใดได้ ในเมื่อพวกเรามาคุยเรื่องเหตุผลกับสกุลหลี่ ข้าก็ย่อมไม่อาจให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์ต่อไปได้แล้ว นับแต่นี้ไปก็คงไม่มีชื่อเสียงดีงามอะไร เรื่องพวกนี้ เทียบกับชีวิตของคุณชายรองสกุลเว่ยแล้ว เป็นเรื่องน้อยนิด วันนี้พวกเรามาก็เพื่อหาความเป็นธรรมให้คุณชายรองเว่ย ท่านไม่ควรทำเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กๆ ได้”
นายท่านเว่ยนั่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขา คำพูดนี้ย่อมได้ยินอย่างกระจ่างชัด ขณะนั้นเขาก็น้ำตาคลออย่างซาบซึ้ง คิดว่าหากผ่านสองปีสามปี งานแต่งของอวี้ถังยังไม่ถูกจัดการ ก็จะให้เว่ยเสี่ยวชวนไปสู่ขออวี้ถัง
กล่าวโดยสรุปคือ ไม่อาจให้หญิงสาวที่ดีขนาดนี้อย่างอวี้ถังแต่งงานกับคนอื่นเรื่อยเปื่อยได้
เผยเยี่ยนที่ทำหูตั้งนั่งไกลไปอยู่บ้าง ได้ยินไม่ชัดว่าอวี้ถังพูดอะไร กลับคิดว่าคุณหนูสกุลอวี้ย่อมเสนอความคิดอะไรให้คนในบ้านเป็นแน่
เห็นสีหน้าเรียบนิ่งของนาง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคำพูดของหลี่ตวนไม่ได้กระทบถึงนางแต่อย่างใด
หากไม่ใช่ว่านางมีความอดทนอดกลั้นอยู่แล้ว ก็คงคิดแผนรับมือไว้นานแล้วเป็นแน่
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างหน้าหรืออย่างหลัง หญิงสาวสามารถก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ ล้วนทำให้คนนับถือแล้ว
จู่ๆ เขาก็อยากรู้ว่า ตกลงคุณหนูสกุลอวี้เป็นสตรีเช่นไรกันแน่
นางเคยผ่านเรื่องอะไรมา ถึงเปลี่ยนจากตาปลากลายเป็นไข่มุกที่ล้ำค่า มีความเปล่งประกายเป็นของตัวเองได้
เผยเยี่ยนพลันอยากรู้ว่าสกุลอวี้จะพูดอะไรต่อไป ทั้งจะทำสิ่งใดบ้าง
และสกุลอวี้ หรือควรจะพูดว่าอวี้ถัง ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง
เขาเห็นอวี้ถังจัดแจงชุดเล็กน้อย หยัดกายตรงดั่งต้นสน เดินออกมาจากด้านหลังนายท่านเว่ยด้วยท่าทีหนักแน่น ผ่อนคลาย หยุดอยู่เบื้องหน้าหลี่ตวน
หลี่ตวนตกใจอย่างคาดไม่ถึง
พวกเศรษฐีชนบทที่กระซิบกระซาบกันยิ่งเงียบเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน จากความประหลาดใจ สู่ความกระจ่างใจและสนใจหลังจากที่คาดเดาตัวตนของอวี้ถังออก จวบจนพากันเงียบกริบ มองนางด้วยดวงตาใสกระจ่าง รอนางเอ่ยปากพูด ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
นี่ดีกว่าที่อวี้ถังคาดไว้มาก
อย่างน้อยเศรษฐีชนบทพวกนี้ก็ไม่ได้ตะโกนออกมาถามว่านางเป็นใคร คิดว่านางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งไม่ควรยืนพูดคุยอยู่ตรงนี้
อวี้ถังมีความมั่นใจขึ้นมาหลายส่วน นัยน์ตาที่เดิมทีพร่างพราวราวดวงดาว ยิ่งส่องแสงระยิบระยับขึ้นไปอีก กระจ่างวับวาวอย่างเห็นได้ชัด
“คุณชายใหญ่สกุลหลี่” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ท่าทีเยือกเย็น แววตาที่มองหลี่ตวนนั้นสนิทชิดเชื้อราวกับสหาย กล่าวแนะนำตัวเองอย่างใจกล้าไม่รีบร้อนอันใด “ข้าคนสกุลอวี้ อวี้ถัง ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่สกุลหลี่รู้จักข้าหรือไม่?”
ต่อให้เป็นฝัน หลี่ตวนก็ยังคาดไม่ถึงว่าอวี้ถังจะกล้าออกหน้าด้วยตัวเอง
เหตุใดจึงไม่มีคนในสกุลอวี้ขัดขวางนาง?
นางรู้หรือไม่ว่าตัวเองทำเช่นนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไรตามมา?
อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่ชื่อเสียงเรื่องห้าวหาญของหญิงสาวย่อมหนีไม่พ้นแล้ว
สมองของหลี่ตวนแล่นไม่ทันอยู่บ้าง กล่าวคำว่า ‘รู้จัก’ อย่างเหม่อลอย
อวี้ถังแย้มยิ้มเล็กน้อย “หากข้าฟังไม่ผิด ความหมายของเจ้าเมื่อสักครู่ คือยอมรับว่าพวกอันธพาลที่รังควานข้าในหมู่บ้านชนบทนั้น เป็นการบงการของสกุลพวกเจ้าอย่างนั้นรึ?”
นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้เถียง
หากใช้ประโยชน์ถูกทาง ก็จะเหมือนดั่งเรื่องเหวินจวินขายสุรา[1] กลายเป็นเรื่องเล่าหวานซึ้งในพวกบัณฑิตสุภาพชน ไม่อาจกระทบถึงชื่อเสียงของสกุลหลี่และหลี่จวิ้น
หลี่ตวนยอมรับแล้ว
———————————
[1]เหวินจวินขายสุรา เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักของชายหญิง บิดาของเหวินจวินไม่เห็นด้วยกับงานแต่ง เหวินจวินจึงหนีตามคนรักไปเปิดร้านขายสุรา ภายหลังบิดารับรู้ถึงความทุกข์ยากก็ใจอ่อน ทั้งสองคนจึงกลับมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข